“ยังไม่อาบน้ำอีกเหรอ?” เสียงทุ้มห้าวดังขึ้นพร้อมๆ กับร่างใหญ่ที่กำลังสวมเสื้อผ้าและเดินออกมาจากห้องนอน ตมิสาหันตามเสียงอัตโนมัติ แต่สายตาของเธอกลับฉายแววซึมเซาอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งใช่ว่าคนใกล้ตัวจะไม่สังเกต
“หอมยังไม่ง่วงค่ะ” ปกติก็ไม่เคยง่วงอยู่แล้วเวลาที่เขาออกไปทำงาน กัณฑ์รพีเหลือบมองนาฬิกาบนฝาผนังแล้วเดินตรงไปยังร่างเล็กที่นั่งดูทีวีอยู่ตรงโซฟาสีเบจ มือก็ผูกเนคไทไปด้วย
“ถามว่ายังไม่อาบน้ำอีกเหรอ ไม่ได้ถามว่าง่วงหรือเปล่า”
“ความหมายก็แปลว่ายังไม่อยากอาบเพราะยังไม่อยากนอนไงคะ”
“...” คำตอบทำเอาคนถามย่นคิ้วเข้าหากัน โดยปกติตมิสาไม่เคยใช้คำพูดแบบนี้กับเขาสักครั้ง แสดงให้เห็นว่าต้องเกิดความไม่ปกติอะไรสักอย่างขึ้นแน่ๆ
“มีอะไรก็คุยมาสิ เห็นเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไปรับที่บริษัทแล้วนะ” เขาพูดพลางสาละวนอยู่กับเนคไทที่คอของตัวเอง
“เปล่าค่ะ หอมไม่ได้เป็นคนที่มีอะไรจะต้องพูด”
“หมายความว่าคนที่มีอะไรต้องพูดคือฉันงั้นเหรอ” ชายหนุ่มสวนทันควัน วาจายียวนของตมิสาช่างสร้างความหงุดหงิดเล็กๆ ให้เขาได้ดีนักล่ะ
“แล้วคุณมีอะไรล่ะคะ...” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยถามด้วยปฏิกิริยาที่ไม่ต่างจากคำพูด เธอนั่งนิ่งสายตาจดจ้องทีวีตรงหน้าโดยไม่คิดหันมาแลเขา
“เป็นบ้าไปแล้วรึไง” กัณฑ์รพีเริ่มโมโหที่ถูกกวนประสาท นั่นเพราะเขาคุ้นชินแต่การถูกตมิสาเอาอกเอาใจ ไม่เคยแสดงอาการต่อต้านเช่นตอนนี้
“...” คนถูกถามด้วยอารมณ์คุกรุ่นหันมองพลัน รู้สึกจุกนิดๆ เมื่อแววตาสื่อประสานกันและมองเห็นความรำคาญใจในดวงเนตรคมกร้านของคนรักหนุ่ม ตมิสากลืนน้ำลายลงคอหันกลับมาสนใจช่องทีวีที่เปิดไว้เหมือนเดิมโดยไม่คิดตอบโต้อะไรให้ป่วยการอีก
“อยู่กับฉันมีอะไรก็ให้พูดมาตรงๆ อย่าสำบัดสำนวน เพราะฉันไม่ได้มีเวลามาเล่นลิ้นกับเธอมากนักหรอกนะ” ชายหนุ่มจัดการกับเสื้อผ้าของตัวเองเสร็จก็ยืนเท้าสะเอวมองคนหาเรื่องตาไม่กะพริบ มันต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้ตมิสาเกิดอาการพ่อแง่แม่งอนแบบนี้ และจำเป็นอย่างยิ่งที่เขาจะต้องรู้ให้ได้
เพราะมันคงเป็นเรื่องสำคัญหรือสะกิดใจเธอไม่น้อย...
“ไหนเล่ามาซิ” เขากล่าวอย่างรู้ทันเชิงบังคับไม่ให้มีทางเลือก และยังคงยืนเท้าสะเอวเหมือนผู้ปกครองที่กำลังเค้นหาเอาความจริงจากเด็กน้อย
“คุณไปทำงานเถอะ หอมอยากอาบน้ำแล้ว”
“หอม...เธอก็รู้ว่าฉันไม่ชอบให้เธอทำตัวแบบนี้ มีอะไรก็ต้องคุยกันตรงๆ ไม่งั้นจะรู้ความจริงเหรอว่ามันมีเรื่องอะไรที่ทำให้เธอไม่สบายใจ” ชายหนุ่มส่ายหน้าพลางมองทางด้านข้างของหญิงสาวขณะพูด เธอกำลังเล่นสงครามประสาทอันน่าระอากับเขาอยู่
“เปล่าค่ะ ไม่มีจริงๆ นี่ก็ดึกแล้ว คุณรีบไปสิคะเดี๋ยวคนที่นั่นเขาจะรอ”
“...” กัณฑ์รพีเอียงหน้ากะพริบตาอย่างครุ่นคิดถึงบางอย่างที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้น หญิงสาวกำลังออกอาการหึงหวงเขาอยู่เงียบๆ แต่เพราะเหตุใดล่ะ หรือว่า...
“ใครบอกอะไรกับเธอ ตมิสา...” เขาถามเมื่อค่อนข้างแน่ใจ
“หอมง่วงแล้วค่ะ...”
“เดี๋ยว! ปกติเห็นรอฉันจนหลับคาทีวีแทบทุกคืน ถามจี้ใจดำเข้าหน่อยถึงกับง่วงเลยหรือ ฮึ...” เขากล่าวพร้อมดึงแขนกระตุกร่างเล็กที่กำลังลุกหนีเข้าสู่อ้อมกอดตัวเองอย่างง่ายดาย เมื่อรู้ที่มาที่ไปก็ให้นึกขำ แม่หนูน้อยของเขาขนาดหึงยังไม่รู้ตัวเองอีก
“ผู้หญิงที่พาไปโรงแรมเมื่อคืนเขาเป็นนักร้องใหม่ มาจากต่างประเทศเพิ่งมาถึง ไม่มีที่พักฉันเลยพาไปเปิดห้องที่โรงแรมของเพื่อนให้เธอพัก ที่ต้องเปิดเป็นชื่อฉัน เพราะตอนแรกให้เด็กมันโทร.ไปจองให้ อีกอย่างได้รับส่วนลดด้วย พอทำสัญญากันเสร็จฉันก็พาเขาไป มันเป็นทางผ่านกลับบ้านพอดี...ก็แค่นี้แหละ”
“คุณ...” ตมิสาพูดอะไรไม่ออก รู้สึกอายนิดๆ ที่ถูกเขารู้ทัน รู้ละเอียดยิบเสียด้วยว่าเธอสงสัยเขาในข้อหาอะไรบ้าง น่ากลัวจริงๆ
“ฉันรู้...มีคนบอกเธอใช่ไหม? แต่ช่างมันเถอะ ฉันก็ไม่ได้อยากปิดบังอะไร เพียงแต่เห็นว่าเธอไม่ค่อยสนใจเรื่องงานที่ฉันทำก็เลยไม่ได้เล่าเท่านั้นเอง” เขาเสริมให้อีกเมื่อดูท่าทางเธอยังไม่หายข้องใจสักเท่าไหร่
“...” ตมิสากัดริมฝีปากเพราะหมดคำพูด ไม่รู้จะสืบสวนเขายังไงดี แต่เมื่อได้รับคำตอบที่คาใจ อาการตรอมตรมที่มีมาตลอดทั้งวันก็ดูเหมือนจะคลายตัวความหม่นหมองลดระดับเหลือน้อยลงมาก
“เหตุที่ต้องเซ็นสัญญากันกลางคืนก็บอกแล้วว่าเขาเพิ่งมาถึง อีกอย่างผู้จัดการร้านกับกัปตันก็ไม่อยู่ด้วย ฉันเลยต้องจัดการเอง หรือต่อให้เขามากลางวัน ฉันก็ไม่ว่างอยู่ดี เพราะมันเป็นเวลาพักผ่อน คอยไปรับไปส่งเธอ”
“รู้แล้วค่ะ พอแล้ว...” ความขัดเขินยังมีอยู่ให้เห็น ตมิสาลอบหายใจอย่างโล่งอก แม้จะไม่มีหลักฐานมายืนยัน แต่หญิงสาวก็เชื่อใจว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นคือความจริง กัณฑ์รพีไม่ใช่คนชอบโกหกเพื่อเอาตัวรอด นิสัยของเขาจริงจัง มีความเป็นผู้นำสูง และตรงไปตรงมา “สบายใจขึ้นก็ดีแล้ว ทีหลังมีอะไรให้ถามนะ อย่าเก็บไว้คนเดียว ฉันไม่อยากให้เรามีปัญหากันเพราะเรื่องเหลวไหลจริงบ้างไม่จริงบ้างจากปากคนอื่น”
“หอมขอโทษค่ะ...” หญิงสาวกล่าวหงอยๆ ในขณะที่อ้อมแขนอุ่นล้ำกระชับโอบร่างเธอเอาไว้แน่นยิ่งขึ้น
“คืนนี้...ไปที่ร้านกับฉันนะ ตั้งแต่เปิดร้านครั้งใหม่นี้ เธอยังไม่เคยไปสักครั้งเลยนะ” เขาไม่ใส่ใจคำขอโทษของเธอ เพราะไม่ได้เห็นเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร และยังเชิญชวนให้เธอไปกับเขาเพื่อสร้างความมั่นใจให้มากยิ่งขึ้น
“หอมไม่ชอบคุณก็รู้ มัน...เสียงดังมาก แออัด แล้วก็ตาลายค่ะ” เธอตอบอ้อมแอ้ม จำได้ว่าตั้งแต่คบหากันมา การไปเยือนสถานบันเทิงยามวิกาลที่คนรักหนุ่มเป็นเจ้าของ เกิดขึ้นเพียงครั้งหรือสองสามครั้งเท่านั้น จนถึงบัดนี้แม้เขาจะอยากพาไปหลายหนหลายที เธอก็ปฏิเสธมาตลอด เพราะไม่ชอบและรู้สึกว่ามันเหมือนอยู่คนละโลกกับตัวตนของเธอเลย
“อยู่แต่บนห้องก็ได้ ฉันไปไม่นานหรอกเดี๋ยวก็กลับ ช่วงนี้ยังต้องคอยดูแลอยู่มีหลายอย่างให้ต้องเป็นห่วง” เขาบอกน้ำเสียงแฝงด้วยความไม่สบายใจลึกๆ ซึ่งหญิงสาวรับรู้ได้ แต่นึกไม่ถึงหรอกว่ามันร้ายแรงกว่าที่เธอจะคิดถึงมากมายนัก
“ไปไม่นาน...ถ้าอย่างนั้นหอมรอที่ห้องดีกว่าค่ะ ไม่อยากไปเป็นภาระให้คุณ เพราะหอมไม่เหมาะกับที่นั่นจริงๆ”
“ตามใจ อุตส่าห์จะพาไปด้วยเอาให้ตัวติดหนึบกันไปเลยจะได้ไม่ต้องระแวงกันอีก” เขาพูดพลางซบเกยคางที่ปกคลุมด้วยเคราสั้นๆ อึมครึมไว้บนบ่าเล็กแคบ
“ใครระแวงกันคะ หอมแค่...”
“อย่าคิดมาก แล้วก็อย่าคิดไปเองสิ เอาล่ะ สายแล้วฉันต้องรีบไป ถ้าง่วงก็นอนซะ ไม่ต้องรอหรอกรับรองว่าคืนนี้ไม่กลับผิดเวลาแน่ๆ จ้ะ” ร่างบางเคลิ้มระทวยไปกับการเอาใจที่น่ารักของเขา แก้มขาวถูกขโมยจูบหนักๆ อย่างมันเขี้ยวก่อนที่เขาจะหมุนตัวเธอให้หันหน้าเข้าหากัน
“...” สายตากลมโตสีน้ำตาลเหลือบมองใบหน้าเขาอย่างขัดเขินปนละอายใจ แต่ก่อนที่กลีบปากบางเฉียบจะได้ขยับเจรจา ชายหนุ่มก็มอบจุมพิตหวานล้ำให้เสียก่อน ริมฝีปากหนาเม้มขบดูดดื่มแทรกเรียวลิ้นร้ายเข้าควานหาความอุ่นซ่านภายใน สองแขนก็รวบร่างเล็กเข้ามากอดแนบอัตโนมัติลูบไล้ไปตามแผ่นหลังเล็กจินตนาการเห็นไปถึงภายใต้อาภรณ์เรียบหรูในวันทำงาน
“อื้อ!” ตมิสาครางฮือประท้วงเมื่อริมฝีปากของเธอถูกขบกัดแรงขึ้น แต่ความหวานล้ำที่เขาป้อนสัมผัสด้วยปลายลิ้นยังคงตรึงไม่ให้ถอยห่าง กลับเป็นกัณฑ์รพีเองที่จำต้องผละออกอย่างเสียดาย
“ต้องไปทำงานก่อน แต่เดี๋ยวจะกลับมาเอาคืนทั้งต้นทั้งดอก รู้นะ...ว่าฉันชอบให้เธอรอ...ในชุดแบบไหน” มือใหญ่ปัดป่ายไรผมบนดวงหน้า แต่สายตาคมกริบจดจ้องหญิงสาวแทบจะจับกลืนราวกับเธอนั้นคืออาหารอันโอชะ
“ไปเถอะค่ะ...” ตมิสาผลักอกสมชายชาตรีออกเบาๆ เพื่อให้การร่ำลานี้สิ้นสุดลงเสียที เธอยังไม่กล้าสบสายตาแห่งปรารถนาอันเร่าร้อนนั้น ด้วยกลัวว่ากัณฑ์รพีจะทำเธอแทนงาน
ชายหนุ่มยิ้มร้ายขำๆ กับท่าทีเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของเธอ เมื่อกี้ยังงอนตุ๊บป่องๆ อยู่เลย แถมไม่มีเหตุผลเสียด้วย แต่ดูตอนนี้สิ เหมือนแมวน้อยเชื่องๆ ตัวหนึ่งไม่มีผิด เขาตัดใจ ตัดความต้องการที่ก่อตัวเพราะเผลอเมคเลิฟเพียงน้อยนิดเมื่อครู่ออกห่างจากเธอเพื่อไปทำหน้าที่ของตัวเอง รอให้กลับมาก่อนเถอะ...พ่อจะคิดต้นคิดดอกที่ทำเอาปวดหัวกับเรื่องไม่เป็นเรื่องให้คุ้มเลยคอยดู “ว่าไงไอ้เสือ...ดูนายเหนื่อยๆ ไปนะ” หัตถาเพื่อนชายของเขาเอ่ยถาม กัณฑ์รพีวางแก้วลงบนโต๊ะหันมายิ้มมุมปากให้เพื่อนอย่างกวนๆ เพราะมันนี่แหละที่ทำให้ตมิสาไม่ยอมลาออกจากงาน แม้จะอ้างว่าอยากทำงานหาเงินเองก็เถอะ แต่ถ้าไอ้เพื่อนตัวดีของเขาปิดบริษัทซะก็หมดเรื่อง เขาจะได้ไม่ต้องปวดหัวไปทุกด้านแบบนี้
“แกก็รู้ อย่ามาทำเป็นไก๋” เขาตอบยียวนแข่งกับเสียงดนตรีที่ดีเจเปิดกระหึ่ม แต่ก็ยังพอสนทนากันรู้เรื่องหากนั่งใกล้ๆ กันแบบนี้
“เฮ้ย! นี่อย่าบอกนะว่าซีเรียสเรื่องหอมไม่ยอมออกจากงานขนาดนี้”
“ตอนนี้ฉันมีปัญหารอบด้าน ถ้าหากเขาอยู่บ้านเฉยๆ ฉันก็ไม่ต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลัง” คราวนี้ใบหน้าหล่อเหลาดูเคร่งเครียดถนัดตาท่ามกลางแสงไฟสลัวที่เปิดสลับหลากสีสัน
“ร้ายแรงมากเลยเหรอ” กลายเป็นว่าหัตถาเองก็พลอยกังวลไปด้วย แม้กัณฑ์รพีจะดูเคร่งขรึมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและอยากให้ตมิสาหยุดงานมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้ดูจะอาการหนักกว่าทุกๆ ที บางอย่างแฝงอยู่ในอารมณ์ขณะที่ชายหนุ่มรุ่นน้องกำลังสื่อสารกับเขา
“หอมดื้อมาก ดูอ่อนแอไม่มีปากมีเสียงแบบนั้น แต่ลองตัดสินใจอะไรแล้วไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครง่ายๆ เลยและฉันก็หาเหตุผลมาอธิบายถึงความจำเป็นไม่ได้ด้วย เดี๋ยวจะเตลิดกันไปใหญ่ ฉันไม่อยากให้เขากังวลมากนัก”
“เฮ้ย! มีเรื่องอะไรกัน ดูแกจริงจังแล้วก็เครียดกว่าทุกที เรื่องมันคอขาดบาดตายถึงขนาดไหนกันวะ” หัตถากะพริบตารอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“ฉันทำธุรกิจกลางคืนมีขัดผลประโยชน์กันบ้างเหมือนที่แกก็มีศัตรูอยู่รอบตัวนั่นแหละ ฉันก็แค่เป็นห่วง เพราะเขาไม่ได้อยู่ในสายตาฉันตอนที่ไปทำงานเท่านั้นเอง” เจ้าของสถานบันเทิงหนุ่มกล่าวกับเพื่อนโดยไม่ได้บอกความจริงทั้งหมด และไม่เป็นการรู้สึกผิดเพราะไม่ได้โกหกด้วย “โห...จะมากไปป่ะ อีแค่ไปทำงานไม่กี่ชั่วโมงเนี่ยนะ อีกอย่างงานที่ว่าก็ทำในบริษัทฉันด้วยแสดงว่าแกไม่ไว้ใจฉันเลยใช่ไหม” “เออ!!” กัณฑ์รพีตอบตรงๆ ยกแก้วเหล้าสีอำพันขึ้นมากระดกดื่ม อันที่จริงก็ไม่เชิงไม่ไว้ใจหรอกนะ แต่ใครเล่าจะดูแลตมิสาได้ดีเท่าเขา ที่สำคัญใครก็ไม่สมควรได้เฉียดเธอทั้งนั้นนอกจากเขา
“แกนี่มัน ไอ้! ไอ้บ้า! หึงเหรอวะ อย่าลืมนะว่าหอมเขารู้จักกับฉันก่อนจะเจอแก อีกอย่างถ้าไม่ใช่เพราะฉันช่วย แกไม่มีทางจีบหอมสำเร็จหรอกจะบอกให้ หอมน่ะ...ปิดกั้นตัวเองจะตาย”
“ทวงบุญคุณเหรอ...ก็ไหนๆ แกก็เคยช่วยฉันจีบหอมจนสำเร็จมาแล้ว แกก็ช่วยทำให้หอมออกจากงานเพื่อฉันอีกสักครั้งสิวะ” ชายหนุ่มต่อรองในผลประโยชน์ของตัวเอง
“บ้าสิ! ฉันไม่มีเหตุผลอะไรจะไล่เขาออกหรอก แล้วถ้าหากหอมมารู้ทีหลังว่าฉันร่วมมือกับแก ฉันก็เสียคนกันพอดี คนของแกแกก็คุยเอาเองสิวะ” หัตถายกเครื่องดื่มในมือดื่มบ้างก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ กับความคิดของเพื่อนที่รังแต่จะโยนเหามาใส่หัวเขาทั้งนั้น
“วิธีน่ะมี แต่ไม่อยากทำเท่านั้นเอง...ถ้าไม่จำเป็นนะ”
“เฮ้ยๆ!! ค่อยๆ คุยกัน แค่เรื่องจะให้ออกจากงานมาเป็นแม่บ้าน อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไปหน่อยเลย หอมจะเสียใจเอาเปล่าๆ” หัตถาเอ่ยปากเตือนด้วยรู้อุปนิสัยของพนักงานตัวเองดีว่าเปราะบางแค่ไหน
“ถึงได้บอกว่าจะไม่ทำถ้าไม่จำเป็น...” น้ำเสียงทุ้มเย็นเอ่ยแทรกบทเพลงที่เปิดขับกล่อมในร้านอีกครั้ง หัตถารู้สึกได้ถึงความไม่ปกติในแต่ละคำพูดของเพื่อนหนุ่มในค่ำคืนนี้ กัณฑ์รพีจะต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างที่ปิดบังเขา ไม่อย่างนั้นคงไม่เครียดหน้าย่นหน้ายับกับอีแค่เรื่องเมียดื้อไม่ยอมลาออกจากงานหรอก
หัตถาถอนหายใจอย่างคลายความอึดอัด แม้จะเป็นเพื่อนกันมาหลายปี แต่ก็ใช่ว่าจะรับรู้ข่าวคราวของกันและกันไปเสียทุกเรื่อง กัณฑ์รพีเป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยสังสรรค์กับเพื่อนฝูงนอกเสียจากบังเอิญเจอหรือพบปะกันในงานสังคมต่างๆ ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีใครรู้เห็นความเป็นไปของหนุ่มใหญ่คนนี้มากนัก และความสัมพันธ์ของเขาก็นับได้ว่าสนิทสนมที่สุดแล้วแม้หลายๆ ครั้งจะมองไม่ออกเลยว่าเพื่อนคนนี้คิดหรือกำลังจะทำอะไรก็ตาม
“ค่อยๆ คุยกันก็ดีนะ ฉันเป็นห่วงหอม เขาไม่มีใครนอกจากนายถ้าทำให้เขาเสียใจ เขาคงรู้สึกแย่มาก” เมื่อรู้ว่าไม่อาจห้ามก็คงทำได้แค่เตือนให้ระวังความรู้สึกของอีกฝ่ายไว้บ้างเท่านั้น
การสนทนาเงียบไปโดยปริยายมีแต่เสียงเพลงที่อึกทึกดังก้องร้านและแสง สี เสียงละลานตาเท่านั้นที่ช่วยกลบเกลื่อนอาการตึงเครียดของกัณฑ์รพีเอาไว้ หัตถาลอบสังเกตสีหน้าของเพื่อนอยู่ตลอดเวลา ในความหล่อเหลาที่มองเห็นว่าเรียบเฉย เขากลับรู้สึกได้ถึงความกังวลที่เคลือบแฝงอยู่รอบๆ ร่างบึกบึนนั้น
“มานั่งอยู่ตรงนี้เอง ฉันนึกว่าคุณกลับบ้านไปแล้วเสียอีก” หญิงสาวผู้มาใหม่ในชุดเดรสสีดำรัดรูปดูเซ็กซี่เย้ายวนเปล่งเสียงหวานทักพร้อมก้มลงนิดๆ มายังชายหนุ่มทั้งสองเพื่อให้ได้ยินถนัดหู เนื่องจากเสียงเพลงกำลังบรรเลงกระหึ่มทั่วทั้งร้าน หัตถาหันขวับไปมองโดยอัตโนมัติในขณะที่กัณฑ์รพีทำแค่ปรายหางตาและยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม
“สวัสดีครับคุณมิลลา คุณเริ่มงานมะรืนนี้นี่ครับ มีอะไรหรือเปล่าถึงแวะมา” ชายหนุ่มวางแก้วน้ำเมาลงก่อนจะตะโกนแข่งกับเสียงดนตรีถามกลับ หัตถายังคงมองสลับระหว่างสองหนุ่มสาว “ฉัน...เอ่อ...มาดูสถานที่ค่ะจะได้ไม่ประหม่า ขอนั่งด้วยคนนะคะ” หญิงสาวไม่รอคำตอบย้ายร่างงามทุกสัดส่วนไปนั่งบนเก้าอี้ตรงกันข้ามกับสองหนุ่มซึ่งอยู่ติดมุมสุดเพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียดจนเกินไป
“หัตถานี่คุณมิลลา เธอมาเป็นนักร้องประจำให้กับทางร้าน มิลลาครับ นี่หัตถาเพื่อนผมเองครับ”
“เรียกมิลลี่ก็ได้ค่ะคุณหัตถา ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” เธอกล่าวขณะที่หัตถาเองก็ทักทายตอบด้วย พนักงานเสิร์ฟเข้ามาคอยให้บริการทันที
จากนั้นทั้งสามก็นั่งดื่มและพูดคุยกันสักพัก ก่อนที่กัณฑ์รพีจะปลีกตัวไปพบกับลูกน้องซึ่งเข้ามารายงานความคืบหน้าในเรื่องที่ได้รับมอบหมาย จากนั้นเขาก็ขอตัวกลับบ้านอย่างกะทันหันปล่อยให้สองหนุ่มสาวนั่งดื่มกันตามลำพัง