อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจศัตรู ตอนที่ 2

3917 คำ
บรรยากาศยามค่ำคืนมาเยือนอีกครั้ง ความมืดมิดหาใช่ปัญหาสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวยามวิกาลที่แข่งขันกันเปิดแสงสีเสียงเพื่อดึงดูดลูกค้าเข้ามาใช้บริการ Red Bar เองก็เปิดต้อนรับเหล่านักท่องราตรีตามปกติเป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์มาแล้วหลังจากที่ถูกปิดมาสามเดือนเต็มๆ ท่ามกลางความระแวดระวังของฝ่ายรักษาความปลอดภัยทุกคนเตรียมพร้อมและไม่เคยไว้วางใจแม้จะยังไม่มีเหตุการณ์คุกคามเข้ามาก็ตาม             “บรรดานักเที่ยวแห่กันมาเกือบเท่าเดิมแล้วนะครับนาย” พิชิตหนึ่งในทีมการ์ดดูแลความปลอดภัยกล่าว ขณะที่พวกเขายืนประกบนายจ้างอยู่ที่โต๊ะมุมหนึ่งในร้าน             “ไม่ขาดทุนทุกคืนก็ผ่านแล้วล่ะ...” กัณฑ์รพีกระดกแก้วเหล้าในมือเข้าปากแล้วกล่าวกับลูกน้อง                                                                            “คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับเรื่องลูกค้าหรอกครับ แต่ทางนายอธิปสิผมว่าเงียบเกินไป ไม่น่าไว้ใจเลย” อนุชาญหัวหน้าการ์ดกล่าวเพื่อนร่วมทีมสองสามคนหันมาพยักหน้าให้กันอย่างเห็นด้วย                                                        “คงกำลังเคลียร์ปัญหาเรื่องร้านที่ถูกเผาอยู่ ได้ข่าวว่าจ้างแพะรับผิดแทนไปแล้ว...” ชายหนุ่มผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าของสถานบริการยังกล่าวเสียงเนิบ        “เลวจริงๆ มีเงินนี่มันช่างทำได้ทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่เปลี่ยนคนผิดให้เป็นคนถูกกันต่อหน้าต่อตา” อนุชาญกล่าวอย่างเคร่งเครียด แม้จะสร้างความเสียหายให้ฝ่ายตรงข้ามไม่น้อย แต่เป้าหมายก็รับกรรมไม่สาสมในความคิดของเขา             “เราต้องระวังให้มากๆ อธิปมันเอาเราแน่ ชอบเล่นสกปรกด้วยไม่รู้มันจะมาไม้ไหน เราต้องระวังให้มากๆ เสียหายไปตั้งไม่รู้กี่ล้าน คนพาลอย่างมันไม่มีวันยอมหรอก” กัณฑ์รพีกล่าวน้ำเสียงยังทุ้มมั่นคง ท่ามกลางเสียงเพลงอินโทรที่เปิดเบาๆ ต้อนรับนักเที่ยวช่วงหัวค่ำ             “ผมกลัวมันจะมุ่งเป้าไปที่นาย...”             “นั่นก็อยู่ในความคิดของฉันเหมือนกัน แต่ไม่ต้องห่วงหรอกฉันไปไหนมาไหนไม่เป็นที่เป็นเวลา นอกจาก...” เวลาไปรับไปส่งตมิสา ใจพลันก็นึกหวั่นว่าหญิงสาวจะถูกดึงเข้ามาพัวพันด้วย เพราะวางใจอะไรไม่ได้ว่าฝั่งตรงข้ามจะเอาคืนเขาทางไหนบ้าง             “นั่นล่ะครับที่ผมเป็นห่วง นายน่าจะมอบหน้าที่นี้ให้คนอื่นนะครับ จะได้ไม่เป็นจุดเด่นให้พวกมันจับตามอง อีกอย่างพวกมันอาจเปลี่ยนเป้าหมายไปเล่นงานคุณตมิสาก็ได้นะครับ”             “ไม่ต้อง!! ฉันจะจัดการเอง” ชายหนุ่มตอบเสียงดังกึ่งตะคอกเมื่อลูกน้องเสนอความคิดที่ไม่เข้าหูเขาเสียเลย อย่าว่าแต่ให้คนอื่นไปรับไปส่ง ทุกวันนี้เขาไม่อยากให้ตมิสาก้าวออกจากห้องในคอนโดด้วยซ้ำไป หากแต่ไม่อยากบังคับจิตใจมากนักจึงยอมอ่อนข้อให้เรื่องที่เธอยังอยากทำงานอยู่             “ครับ...” อนุชาญขานรับจุดประสงค์ของนายหนุ่มก่อนจะพยักหน้าบอกให้ทุกคนออกไปทำหน้าที่ของตัวเอง เพราะดูเหมือนว่ายามนี้กัณฑ์รพีคงอยากนั่งดื่มเหล้าอยู่คนเดียวมากกว่า             เสียงเพลงเคล้าคลอบรรยากาศท่ามกลางแสงสีระยิบระยับ เหล่าผีเสื้อราตรีที่กินดื่มสังสรรค์โต๊ะรอบๆ ต่างหันมองจิกตาเชิญชวนบุรุษผู้มีใบหน้าและบุคลิกชวนฝัน ทว่ากัณฑ์รพีไม่เคยให้ความสนใจผู้หญิงกลางคืนเหล่านี้เลย อาจมีบ้างก่อนหน้าที่จะเจอกับตมิสาที่เขาปลดปล่อยความต้องการในแบบผู้ชาย หญิงสาวหลายคนที่ใจกล้าเดินเข้ามาเสนอให้เขาแบบตรงๆ จึงหน้าแตกไปตามๆ กันหลายรายแล้ว             ลูกน้องออกไปหมด ชายหนุ่มยังนั่งอยู่ที่โต๊ะประจำของตัวเองเพื่อสอดส่องบรรยากาศในร้าน ซึ่งเขาทำแบบนี้เสมอรอจนกระทั่งช่วงดึกที่ดนตรีเปลี่ยนแนวให้คึกคักขึ้นนั่นแหละเขาจึงจะปลีกตัวขึ้นไปนั่งตรวจสอบบนห้องกระจกทึบ ซึ่งถูกดัดแปลงให้ใช้งานหลายรูปแบบ ทั้งเป็นที่ทำงาน ที่นอน และสถานที่คอยสอดส่องดูความเป็นไปในร้าน บางคืนหากไม่มีอะไรมากมายเขาก็รีบกลับเพื่อได้ใช้เวลาอยู่กับตมิสา ชีวิตของคนกลางวันกับคนกลางคืนสวนทางกันเสมอ เห็นทีว่าเขาคงต้องจัดการให้เด็ดขาดเกี่ยวกับเรื่องหน้าที่การงานของคนรักสาวเสียแล้ว             เวลาทำหน้าที่ของมันไปเรื่อยๆ ลูกค้าในร้านก็ทยอยกันมามากขึ้นเมื่อเริ่มดึกเข้าไปทุกที ชายหนุ่มยกนาฬิกาตรงข้อมือขึ้นมาดูก็พบว่าเกือบจะสี่ทุ่มเข้าไปแล้ว อีกเดี๋ยววงดนตรีสดแนวอินดี้ก็จะขึ้นบรรเลงให้ความสุขสนุกสนานแก่นักเที่ยวเหล่านั้น                                                                                                             กัณฑ์รพีเตรียมตัวขึ้นไปด้านบนเพราะไม่ชอบแนวเพลงวัยรุ่นพวกนี้เท่าไหร่ โดยส่วนตัวแล้วเขาชอบฟังเพลงเบาๆ คลาสสิกมากกว่า แต่จะให้ทำอย่างไรได้เมื่อจับธุรกิจด้านนี้แล้วก็ต้องจัดหาสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อให้กิจการอยู่รอด   “นายครับ! เดี๋ยวก่อนครับ!” เสียงตะโกนเรียกแทรกเสียงดนตรีทำให้คนกำลังตั้งท่าเดินออกจากบริเวณนั้นชะงัก เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นลูกน้องคนหนึ่งในร้านนั่นเอง                                                                                               “มีอะไรเหรอกัส?”             “ครับ...คือพอดีนักร้องที่ทางเราติดต่อให้มาประจำที่นี่เดินทางมาถึงแล้วครับ” กัสตอบด้วยความรวดเร็ว             “อ้าว! แล้วมาบอกฉันทำไมก็ให้ผู้จัดการร้านคุยกับเขาสิ”             “พี่เมฆไม่อยู่ครับ พอดีนักร้องในวงบลูเลิฟเกิดอุบัติเหตุตอนนี้เคลียร์กันอยู่ที่โรงพัก พี่เมฆกับพี่อ่ำเลยไปช่วยเคลียร์ให้ไม่อย่างนั้นคงกลับมาไม่ทันคิวเล่นตอนเที่ยงคืนนะครับ”             “ไปกันทั้งผู้จัดการทั้งกัปตันเลยเหรอวะอืม...ถ้าอย่างนั้นก็บอกให้เขามาวันอื่นแล้วกันฉันไม่ว่างจะอยู่อีกหน่อยเดี๋ยวจะกลับแล้ว” เจ้าของร้านหนุ่มอธิบายส่งๆ             “ไม่ได้นะครับ คุณมิลลาเธอบินตรงมาจากฮ่องกงเพราะได้รับการติดต่อจากเรา ถ้าปัดไปเธอคงไม่ร่วมงานกับเราแล้วล่ะครับ”             “มิลลา?” กัณฑ์รพีทวนชื่อนักร้องที่กัสบอก ว่าไปก็คุ้นๆ อยู่นะ แต่ร้านของเขามีพวกนักร้องวงดนตรีเข้ามาแคสติ้งงานกันไม่เว้นวัน และตัวเขาก็ไม่ได้ดูแลเรื่องนี้ด้วยตัวเองเสียด้วย ยังไงก็จำไม่ได้หรอกว่าทางร้านเคยติดต่อใครหรือใครมาติดต่อไว้บ้าง             “ครับ คุณมิลลาที่เป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงมาก ผับดังๆ ทั่วเอเชียต่างก็แย่งซื้อตัวเธอไปทำสัญญาไงครับ แต่เธอก็ตกลงจะร่วมงานกับเรา นายจะไล่เธอกลับไปอย่างนั้นเหรอครับ”                                                                     “ไม่ได้ไล่...แค่บอกให้มาวันหลัง เอาเถอะๆ เชิญเขาไปพบฉันที่ห้องก็แล้วกัน” พูดจบร่างใหญ่ในชุดกางเกงยีนส์เสื้อยืดสีเข้มสวมทับด้วยเสื้อสูทลำลองก็เดินหายลับไปทางบันไดชั้นบน กัสจึงหันหลังกลับไปทำตามคำสั่ง             ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! “เชิญ...” สิ้นเสียงตอบรับของเจ้าของห้อง ประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างบอดี้การ์ดคนหนึ่งตามมาด้วยสตรีร่างระหงเดินตามหลังเข้ามาติดๆ             “สวัสดีครับคุณมิลลา เชิญนั่งก่อนนะครับ กัส! เดี๋ยวนายใช้ใครเอาเครื่องดื่มขึ้นมาให้คุณมิลลาเธอหน่อยนะ เอ่อ...ไม่ทราบคุณจะดื่มอะไรดีครับ” กัณฑ์รพีเหลือบมองผู้มาเยือนพร้อมผายมือเชิญชวนให้เธอนั่งและสั่งการลูกน้องแบบรวดเดียวจบ             “ขอเป็นน้ำอุ่นก็แล้วกันค่ะ...” เสียงใสเพราะพริ้งตอบกลับ ชายหนุ่มนึกตระหนักว่าตัวเองลืมเสียสนิทเขายังไม่รู้จักเธอว่าเป็นคนประเทศไหน และไม่รู้ด้วยว่าเธอพูดภาษาอะไรได้บ้าง เข้ามาถึงก็ซัดภาษาแม่ใส่เลย ก็ดี...หญิงสาวพูดไทยได้ฉะฉานไม่เบา             “ขอโทษด้วยครับที่ทำให้รอนาน พอดีที่ร้านมีปัญหานิดหน่อยผู้จัดการกับกัปตันร้านที่ผมให้ดูแลคุณ เขาไม่อยู่” ชายหนุ่มวางปากกาในมือลงบนโต๊ะยิ้มให้คู่สนทนาสาว ในขณะที่กัสเดินออกไปข้างนอกแล้ว             “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันรอได้ ถ้าอย่างนั้นเราจะคุยกันเรื่องงานกันเลยหรือเปล่าคะ”             “ถ้าคุณสะดวกเราคุยกันเลยก็ได้ครับไม่มีปัญหา ก่อนอื่นผมแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมกัณฑ์รพีเป็นเจ้าของที่นี่ ยินดีมากที่ได้ร่วมงานกับคนสวยๆ มีความสามารถอย่างคุณมิลลา”ในขณะที่เขาพูดสายตาของชายหนุ่มก็เผลอสำรวจคนตรงหน้าไปด้วยตามประสาผู้ชาย มิลลาคนนี้สวยไม่เบา ปากคอคิ้วคางรับกับใบหน้ารูปไข่อย่างไม่มีที่ติ ผิวขาวรูปร่างผอมโปร่งในชุดเดรสสีดำแขนกุดความยาวปิดหัวเข่า จัดได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวยเอามากๆ คนหนึ่งเลยทีเดียว             ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงหลงใหลในความมีเสน่ห์ของเธออย่างไม่ต้องมีข้อกังขา แต่...มาเจอกันตอนนี้รู้สึกมิลลาหาใช่สเปคเขาไม่ บอกตรงๆ ติดใจความซื่อความไร้เดียงสาของใครบางคนมากกว่าเป็นไหนๆ             “ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการค่ะคุณกัณฑ์รพี ฉันมิลลา ยุตนันท์เอเนอร์ค่ะ” เจ้าของชื่อเสียงสวยแนะนำตัวเองบ้าง เธอกะพริบตาถี่เพื่อพยายามไม่มองเขาซึ่งๆ หน้า พร้อมหายใจเข้าลึกๆ ทำงานมาหลายที่ หลายประเทศ ผู้คนที่ต้องพบเจอก็มากหน้าหลายตา แต่สาบานได้เลยไม่เคยมีใครทำให้เธอประหม่าเช่นนี้มาก่อน             “คุณพูดไทยเก่งจัง เอ่อ...เป็นคนไทยเหรอครับ ขอโทษนะที่ถามแต่ผมมองหน้าคุณแล้วเหมือนไม่ใช่คนไทยเลย” แม้จะมีความเป็นเอเชียอยู่ในตัวก็ตามที แต่มองยังไงก็ไม่ใช่คนไทย 100% หน้าตาความเป็นลูกผสมในตัวหญิงสาวเด่นชัดมากเหลือเกิน             “ฉันเป็นลูกครึ่งค่ะ คุณแม่เป็นคนไทย ส่วนคุณพ่อลูกครึ่งจีนอังกฤษ ฉันก็เลยพูดได้หลายภาษามาตั้งแต่เด็กๆ” มิลลาอธิบายคร่าวๆ เธอยังปรับสีหน้าให้คงเดิมได้อย่างแนบเนียนด้วยเพราะอาชีพที่ทำอยู่ การเก็บอาการเอาไว้จึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นนัก             “อ๋อ...อย่างนี้น่ะเอง กัสมาพอดีคุณหิวหรือเปล่า ทานอะไรมาหรือยังครับ” เขายังชวนคุยนอกเรื่องเพราะไม่อยากให้แขกผู้มาเยือนตึงเครียดมากนัก “เรียบร้อยแล้วค่ะ เราคุยเรื่องงานกันเลยดีกว่า พอดีฉันยังไม่มีที่พัก มาถึงก็ตรงมาที่ร้านคุณเลยกลัวจะผิดนัด” หญิงสาวยกน้ำอุ่นขึ้นจิบพร้อมกล่าวอย่างมีจริต                                                                                                        “เหรอครับ เอาอย่างนี้ดีกว่านะ ถ้าอย่างนั้นผมจะให้เด็กไปเปิดห้องให้คุณก่อนเสร็จธุระทางนี้จะได้กลับไปพักผ่อนไม่ต้องเที่ยวหาโรงแรมที่พักให้เหนื่อย เอาไหมครับ...”                                                                                             “ขอบคุณค่ะ รบกวนคุณกัณฑ์รพีมากไปหรือเปล่าคะเนี่ย แหม...เกรงใจจังค่ะ มาวันแรกก็ต้องมาวุ่นวายเรื่องฉันเสียแล้ว”             “ไม่เป็นไรครับไหนๆ เราก็จะเป็นผู้ร่วมงานกันแล้ว ว่าแต่...ถ้าทำงานที่นี่ก็แสดงว่าคุณต้องอยู่กรุงเทพอีกหลายเดือน คุณจะพักที่ไหนล่ะครับ” ชายหนุ่มหมายถึงที่พักถาวรซึ่งไม่ใช่โรงแรมที่กำลังจะสั่งคนไปเปิดรอไว้เป็นการชั่วคราว             “ก็...ยังไม่ทราบเหมือนกันค่ะ คงต้องค่อยๆ คิดค่อยๆ หา บ้านฉันที่เมืองไทยก็มีค่ะแต่อยู่ต่างจังหวัดในกรุงเทพนี่ก็ไม่รู้จักใครด้วยสิคะเคยแต่แวะมาเที่ยว ครั้งนี้เป็นครั้งแรกค่ะที่มาอยู่เป็นกิจจะลักษณะ” มิลลากล่าวด้วยท่าทีสบายๆ ไม่ถือตัว พร้อมรอยยิ้มสดใสอยู่ตลอดเวลา ทว่าดวงตากลมโตซึ่งถูกกรีดกรายด้วยเครื่องสำอางกลับแวววาววิบวับเหมือนหัวใจที่เต้นผิดจังหวะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวในยามนี้             “คุณกัณฑ์รพีพอจะแนะนำคอนโดดีๆ สักแห่งให้ฉันได้ไหมคะ เอาแบบไม่ต้องหรูมากเน้นความสะอาดแล้วก็การรักษาความปลอดภัยดีก็พอ”             “อืม...ก็มีอยู่หลายที่นะครับ เอาเป็นว่าคืนนี้เราคุยเรื่องสัญญาคร่าวๆ กันก่อน จากนั้นที่เหลือคุณเมฆผู้จัดการจะมาคุยกับคุณอีกทีเรื่องการทำงาน พอเคลียร์ทุกอย่างทางนี้เรียบร้อยแล้วค่อยมาว่าเรื่องที่อยู่กัน อันที่จริงถ้าคุณไม่รังเกียจนะ ร้านเราก็มีที่พักรับรองพนักงานอยู่ แต่คุณคงไม่สะดวกเพราะอยู่รวมกันในตึกเดียวทั้งผู้หญิงผู้ชาย” กัณฑ์รพีกล่าวพร้อมเหลือบมองท่าทีของคู่สนทนา ซึ่งเธอก็ยังคงยิ้มนิ่งๆ เหมือนเดิม ไม่แสดงท่าทีใดๆ ออกมา             “จะเป็นการรบกวนมากไปหรือเปล่าล่ะคะ ฉันไม่ได้เรื่องมากหรอกแต่ค่อนข้างเป็นคนโลกส่วนตัวสูงเกรงว่าอยู่ไปจะทำให้คนอื่นๆ พลอยลำบากใจกันเปล่าๆ”             “อืม...แล้วแต่คุณจะสะดวกก็แล้วกันเอาเป็นว่าให้ทุกอย่างลงตัวก่อนแล้วผมจะช่วยเรื่องหาคอนโดให้ก็แล้วกัน” ชายหนุ่มกล่าวอย่างมีน้ำใจ ก่อนจะหยิบเอาเอกสารบางอย่างในแฟ้มส่งยื่นให้นักร้องสาว             “สัญญาครับลองอ่านคร่าวๆ ดูก่อนนะว่าคุณโอเคหรือเปล่า...”             มิลลารับเอาสัญญาในมือชายหนุ่มมาอ่านรายละเอียด ค่ำคืนนั้นทั้งคู่พูดคุยกันเรื่องงานที่ต้องทำร่วมกันอยู่พักใหญ่ จากที่กัณฑ์รพีอยากกลับไปหาแม่เนื้อนวลของเขาไม่ให้ดึกนักกลายเป็นว่ากว่าจะเสร็จเรื่อง กว่าจะเทคแคร์เรื่องที่พักให้มิลลาก็ปาเข้าไปเกือบตีสองแล้ว เมื่อกลับมาถึงคอนโดก็พบว่าตมิสาหลับคาโซฟาในห้องรับแขกเสียแล้ว ไฟก็เปิดทิ้งไว้ทั่วห้องเช่นเคยเพราะเป็นคนขี้กลัว หญิงสาวคงตั้งใจคอยทั้งคืนเพราะเมื่อตอนเย็นเขาเคยเกริ่นว่าจะกลับเร็วก่อนร้านปิด และเพราะยุ่งๆ เรื่องนักร้องคนใหม่เลยไม่ได้โทร.มาบอกเสียด้วย             “ยัยลูกหนูขี้เซา...” กัณฑ์รพีถอดถุงเท้ารองเท้ารวมไปถึงเสื้อสูทลำลองตัวนอกเสร็จก็หย่อนตัวลงนั่งข้างๆ หญิงสาวที่หลับใหลด้วยความเอ็นดู พร้อมทั้งเกลี่ยนิ้วไปตามพวงแก้ม ปัดปลายผมที่ประหน้าและก้มลงพรมจูบที่หน้าผากเบาๆ หลายครั้งที่ตมิสานอนรอเขาจนเข้าเฝ้าพระอินทร์ไปก่อนเช่นนี้ นึกแล้วก็ให้ละอายใจตัวเองที่ไม่สามารถดูแลเธอแบบใกล้ชิด ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเฉกเช่นคนอื่นๆ             “อื้อ...” คนถูกกวนครางอืออาในลำคอ เริ่มขยับตัวเมื่อการหลับถูกคุกคาม แต่เพราะความเหนื่อยเพลียและง่วงจัดหญิงสาวก็ยังไม่รู้สึกตัวตื่น กัณฑ์รพีมองอมยิ้มแล้วจูบซับหนักๆ ตรงแก้มขาวอีกครั้งก่อนที่ร่างเล็กจะถูกอุ้มเอาไว้ในอ้อมอกพาเข้าห้องนอนไป                                                                                                                                                                                 เช้าวันใหม่มาเยือน ตมิสาลุกขึ้นไปทำงานตามปกติโดยมีแฟนหนุ่มไปส่งอย่างไม่เกียจคร้านขนาดว่าเพิ่งได้หลับตานอนเพียงไม่กี่ชั่วโมง                      วันนี้กัณฑ์รพีมีท่าทีแปลกๆ อีกแล้วเคี่ยวเข็ญให้เธอออกจากงานเหมือนที่เขาเคยทำอยู่บ่อยๆ แต่ครั้งนี้รู้สึกชายหนุ่มจะจริงจังและเคร่งเครียดเป็นพิเศษ ซึ่งเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่อยากถามและไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไรมากมาย แค่บอกไปว่าขอเวลาอีกสักหน่อย เธอยังอยากทำงานหาเงินด้วยตัวเองอยู่นั่นทำให้ชายหนุ่มไม่พอใจนักแต่ก็ไม่ขัดคำขอของเธอ             รถคันหรูจอดหน้าบริษัทของหญิงสาวเธอไม่ลืมที่จะหอมแก้มสากๆ เอาใจคนรักอย่างที่ทำทุกวันก่อนจะเปิดประตูก้าวลงมายืนบนพื้นซีเมนต์ ยืนรอให้กัณฑ์รพีขับรถออกไปจนลับตาเสียก่อนเธอถึงได้ฤกษ์จะเดินเข้าบริษัททำงานของตัวเองบ้าง             โดยปกติเธอมักเป็นคนแรกๆ ที่มาถึงก่อนใคร เนื่องจากออกจากคอนโดเร็วหญิงสาวไม่อยากประสบปัญหาเรื่องจราจรที่ติดขัดนั่นเอง             “หอม!! มาแล้วเหรอ แก้วมารอแต่เช้าแล้วนะ!! มานี่เลยๆ” ตมิสายังไม่ทันหายงุนงงเมื่อจู่ๆ เพียงพรก็โผล่ออกมาจากไหนไม่รู้แล้วรีบปรี่ฉุดกระชากลากเธอให้เดินตามไปอย่างรวดเร็ว             “แก้ว!! เกิดอะไรขึ้น มีงานด่วนเหรอ เดี๋ยวๆ!! ค่อยๆ หอมจะล้มแล้วนะ”             “มาทางนี้ก่อนมีเรื่องสำคัญจะเล่า” คนลากชะเง้อมองไปตรงฟุตบาทหน้าบริษัทอย่างใจจดจ่อ เมื่อแน่ใจว่าคนคนนั้นขับรถออกไปแล้วจริงๆ ก็พาเพื่อนไปที่ห้องแผนกของตัวเอง             “เป็นอะไรแก้ว...ว่าแต่ทำไมวันนี้มาเช้าจัง”             “แก้วมีเรื่องสำคัญจะบอกหอม แต่ไม่กล้าโทร.ไปก็เลยรีบมานี่แหละ” เพียงพรละล่ำละลักตอบ จับสองมือเพื่อนแน่นแล้วหาเก้าอี้นั่งคุยกัน             “มีอะไรด่วนขนาดนั้นเลยเหรอ”             “ด่วน! มากด้วย”             “เกี่ยวกับหอมเหรอ...” หญิงสาวหน้าหวานถามกลับด้วยความสงสัยปนอยากรู้ขึ้นมาทันที             “เรื่องคุณกัณฑ์รพีเกี่ยวกับหอมไหมล่ะ”             “คุณซีล...คุณซีลทำไมเหรอ เกิดอะไรขึ้น” พอได้ฟังว่าเป็นเรื่องของใครตมิสาก็ถามเสียงหลงด้วยความกังวลใคร่รู้ เพราะที่ผ่านมากัณฑ์รพีไม่เคยมีปัญหาทำให้ใครคอยเอาโน่นเอานี่มาบอกเธอ แสดงว่ามันต้องสำคัญจริงๆ             “เอ่อ...ไม่รู้แก้วจะพูดดีหรือเปล่าสิ” กลายเป็นว่าคนส่งข่าวรู้สึกตะขิดตะขวงขึ้นมากะทันหันเมื่อเอาเข้าจริงๆ             “ยังไงกัน แก้วบอกหอมว่าเรื่องสำคัญ แต่พอหอมอยากรู้แก้วก็ไม่ยอมพูด เอาให้แน่นะ” หญิงสาวคาดคั้นเพื่อน ในใจตอนนี้เต็มไปด้วยความกังวลว่าจะเป็นเรื่องไม่ดี หรือมีอะไรเลวร้ายเกี่ยวกับปัญหาที่เคยคุยกันไว้ก่อนหน้าหรือเปล่า             “ก็ได้! แต่...หอมต้องใจเย็นก่อนนะ มันคือ...เฮ้อ! ถ้าหอมไม่ใช่เพื่อนนะ รับรองแก้วไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยเด็ดขาด คืองี้...เมื่อคืนน้องสาวของแฟนแก้วเขาเลิกงานกะดึกใช่ป่ะ เขาทำงานที่โรงแรมแล้วอยู่ทำโอทีสองสามชั่วโมงอ่ะ แก้วกับแฟนก็เลยออกไปรับไม่กล้าให้กลับเอง ทีนี้...แก้วเอ่อ...แก้วเห็น...”             “แก้ว! รีบเล่าสิเห็นใคร เห็นคุณซีลใช่ไหม!” ตมิสารบเร้า             “ใช่...เขา...มากับผู้หญิงคนหนึ่ง มีลูกน้องสองสามคนมาด้วย”             สิ้นคำนั้นมือที่กอบกำติดอยู่กับเพื่อนก็หลุดร่วงอย่างหมดเรี่ยวแรงทันที หัวใจหญิงสาวหล่นวูบร่างกายของเธอเย็นชาไปหมด แม้จะยังไม่รู้ว่าเรื่องเป็นมาอย่างไรแต่ด้วยนิสัยผู้หญิงแล้ว แค่รู้ว่าคนรักของตัวเองอยู่หรือพัวพันกับผู้หญิงคนอื่นจิตใจมันก็สั่นไหวคิดไปต่างๆ นานาแล้ว                                                        “แล้วยังไงต่อ” น้ำเสียงสั่นพร่าเอ่ยถาม พยายามกะพริบตาเรียกสติว่ามันอาจไม่มีอะไรอย่างที่ฟุ้งซ่านจนเกิดความกังวลไปเอง                                         “แก้วเห็นแค่นั้น เพราะเขาพากันขึ้นลิฟต์ไป แต่พอน้องหนิงน้องสาวของแฟนแก้วเลิกงาน แก้วก็เลยถามว่ารู้จักคุณกัณฑ์รพีหรือเปล่าหนิงก็บอกว่ารู้จัก เพราะคุณเขาเป็นเพื่อนกับเจ้าของโรงแรม ตอนแรกแก้วก็คิดในแง่ดีว่าถ้าอย่างนั้นเขาคงมีธุระกับเพื่อนของเขา แต่มันไม่ใช่ คุณกัณฑ์รพีมาเปิดห้องให้ผู้หญิงที่พามาด้วยนอนที่โรงแรม...” เพียงพรหยุดและมองดวงหน้าขาวซีดของเพื่อน นี่คงเป็นข่าวรับอรุณที่ทำร้ายจิตใจตมิสาที่สุด             “แล้ว...ประมาณกี่โมงที่แก้วเห็นเขา” เธอกลั้นใจถาม ใจหนึ่งอยากรู้ อีกใจก็อยากปิดตายไปเลย เพราะมันเจ็บหนึบไปทั้งสรรพางค์กายแล้ว             “ตีสองตีสามนะ เพราะหนิงมันเลิกงานแล้วทำโอทีต่อ ที่สำคัญ...หนิงยังบอกว่าคุณกัณฑ์รพีให้เด็กโทร.มาจองห้องตั้งแต่เที่ยงคืนแล้ว เปิดห้องในชื่อคุณซีลเขาด้วย”             คราวนี้คนฟังถึงกับจุกจนต้องกลั้นหายใจ ยกมือห้ามเพียงพรให้พอเพียงแค่นั้น หญิงสาวกลืนก้อนน้ำลายที่เปรียบเสมือนหินลงคออย่างเจ็บฝืด อยากให้เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกันเหลือเกิน             นี่ใช่ไหม...คือผลของการที่เธอเป็นอย่างที่เขาต้องการไม่ได้ ความรัก ความรู้สึกที่มีให้กันตลอดเวลาที่พ้นผ่าน มันไม่มีความหมาย ด้อยค่ากว่าตัณหาอันมืดมิดในตัวเขาจริงๆ ใช่ไหม             หรือว่าถึงเวลาแล้วที่ต่างจะต้องเลือกทางเดินใหม่เมื่อความรู้สึกระหว่างกันมันสวนทางและไม่สามารถมาบรรจบกันได้ และผู้หญิงคนนั้น...อาจเป็นคนที่ใช่สำหรับเขา เป็นคนที่รับในตัวคนทมิฬของเขาได้ แล้วเธอล่ะ...ตมิสา ต่อไปนี้เธอจะทำอย่างไร จะได้อยู่ ณ ส่วนไหนของหัวใจเขา             “หอม...เรายังไม่รู้รายละเอียดนะว่ามันเป็นยังไง หอมอย่าเพิ่งคิดไปไกล นี่เป็นแค่มุมมองของแก้วเท่านั้น ซึ่งบางทีคุณกัณฑ์รพีอาจมีเหตุผลอื่นก็ได้” มือเย็นเฉียบที่หลุดร่วงถูกเพื่อนรักกอบกุมขึ้นมาประคองลูบปลอบอีกครั้ง เพียงพรยิ้มอย่างให้กำลังใจ             “แก้วไม่อยากให้หอมเสียใจ แต่...แก้วก็เก็บสิ่งที่รู้เห็นไม่ได้จริงๆ เพราะหอมเป็นเพื่อนแก้วนะ”             “หอมเข้าใจแก้ว...ขอบใจมากนะ” เสียงสั่นแหบกล่าวพลางมองหน้าเพื่อนแบบไม่เต็มตานักก่อนจะเสหลบไปทางอื่นดึงมือเล็กอันเย็นเฉียบออกจากการจับกุม             “แก้วกินข้าวหรือยัง หอมเอากาแฟให้นะ”             “ไม่เป็นไรหอม...แก้วจัดการเอง ว่าแต่หอมเถอะไหวไหม”             “หอมไม่เป็นไรเรายังมีงานต้องทำอีกเยอะ เรื่องนั้นค่อยว่ากันเถอะจ้ะ” ตมิสาตอบส่งๆ ขณะลุกเดินไปยังโต๊ะทำงานของตัวเองทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ใครจะรู้จริงๆ แล้วทั้งจิตใจและร่างกายมันอ่อนระทวยแทบไม่มีกำลังเหลืออยู่เลย             เพียงพรมองเพื่อนแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าปลงๆ เธอรู้ว่าตมิสารักกัณฑ์รพีมากเพราะถือได้ว่าเป็นผู้ชายคนแรกที่หญิงสาวเปิดโอกาสให้เข้ามามีอิทธิพลในชีวิต แต่สำหรับโดยส่วนตัวแล้วเธอกลับคิดว่าทั้งคู่ไม่เหมาะสมกันเลย เพื่อนสาวของเธออ่อนแอและบอบบางเกินไปในขณะที่คนรักหนุ่มดุดันและทรงอิทธิพล เสมือนกระต่ายน้อยในกรงเล็บราชสีห์ ตมิสาเสียเปรียบทุกด้านอยู่วันยังค่ำ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม