ดวงตะวันลาลับขอบพสุธา เข้าสู่ช่วงเวลาของรัตติกาลอันมืดมิดอีกครั้ง เหล่าผีเสื้อกลางคืนหรือหมู่ภมรทั้งหลายต่างออกจากรังเรือนตามหาแสง สีและเสียง ความบันเทิงอันไร้ขีดจำกัดที่สร้างความสุขผ่อนคลายให้กับพวกเขา หลังจากเหนื่อยหน่ายกับชีวิตในช่วงกลางวันมาแสนนาน
นอกจากนี้แล้ว ราตรีกาล...ยังนำพาซึ่งอาชีพให้กับคนจำนวนมากอีกด้วย เป็นสมดุลที่มนุษย์ต่างสรรค์สร้างเพื่อการเอาตัวรอด ทั้งทำมาหากินและพักผ่อนเสพในสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบ ให้ทั้งกลางวันและกลางคืนมีสีสันท่ามกลางความเป็นไปซึ่งไม่มีที่สิ้นสุดของโลก
“เรียบร้อยดีไหม” ชายร่างใหญ่วัยสี่สิบต้นๆ ยืนมองบรรยากาศภายนอกในยามค่ำคืนของเมืองหลวงผ่านกระจกใสบนห้องทำงานในคอนโดหรูที่ตัวเองพำนัก
“ครับ...ปัญหาติดตรงพวกผู้หญิงที่เราบังคับให้ขายตัวแล้วมีเจ้าหน้าที่ของทางมูลนิธิเข้ามาดูแล ตำรวจที่เราเลี้ยงไว้ก็ไม่กล้าหือเพราะเจ้าของเป็นรัฐมนตรีคนหนึ่งในกระทรวงด้วย ดีที่ผมจ้างให้คนรับสมอ้างว่าได้เช่าที่ของเราทำกิจการ ปัดทุกอย่างให้พ้นจากความรับผิดชอบของคุณ แต่เราคงต้องจ่ายให้แพะหนักหน่อยครับ”
“ช่างมัน! จ่ายไป ทำตามข้อเรียกร้องของมันทุกอย่าง ขอแค่ให้ฉันรอดก็พอเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา” อธิปกล่าวกับลูกน้องที่ยืนรายงานอยู่ด้านหลัง เขาหายใจเต็มแรงกัดฟันกรอดอย่างเจ็บแค้นที่ถูกถล่มอย่างย่อยยับเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน กระทั่งตอนนี้เรื่องคาราคาซังก็ยังไม่ยอมจบง่ายๆ แม้จะต้องจ่ายเงินไปไม่น้อยเพื่อปกปิดความผิดของตัวเองก็ตาม
“แล้วเราจะเอายังไงกับคนก่อปัญหาครับ”
“คงวู่วามไม่ได้ มันไม่ใช่ไก่อ่อนอย่างที่เราคิดไว้ตอนแรก แต่ไม่ต้องห่วงหรอกยังไงฉันก็ไม่มีวันปล่อยให้มันเสวยสุขอยู่แบบนี้ตลอดไปหรอก ฉันจะทำทุกทางเพื่อโค่นแกให้ได้ไอ้กัณฑ์รพี” อธิปกล่าวอาฆาต ความสูญเสียครั้งนี้มันจะต้องมีคนรับผิดชอบ และเขาจะไม่ตีงูให้หลังหักเหมือนที่ผ่านมา จะจับมันหักคอถ่วงน้ำสับเป็นชิ้นๆ ไม่ให้เหลือซากเลยคอยดู
“นายมีวิธีแล้วเหรอครับ หรือว่าต้องการให้ผมทำอะไรหรือเปล่า”
“ก็บอกว่าต้องเงียบไปก่อนไง! ขืนเล่นงานมันตอนนี้มันก็รู้ตัวกันพอดี ไอ้หนุ่มคนนี้ประมาทเหมือนคนอื่นๆ ไม่ได้ คิดว่าไม่มีพิษมีภัยแต่ที่ไหนได้ เงียบ...แต่ร้ายไม่ใช่เล่น” เพราะก่อนหน้าที่จะเล่นงานกัณฑ์รพี อธิปเองก็คิดไม่ถึงว่าไก่อ่อนสอนขันในสายตาเขาจะมีพิษสงร้ายกาจจนสร้างความเสียหายให้เขาได้ขนาดนี้ หากจะมีการเอาคืนก็ต้องรอบคอบกันหน่อย แต่ยังไงก็ปล่อยให้เป็นก้างขวางคอในเส้นทางของเขาไม่ได้
“คะ...ครับๆ...” สมุนหนุ่มพยักหน้างึกๆ เมื่อเจ้านายออกอาการโกรธายิ่งกว่าเดิม “หน้าที่ของพวกแกตอนนี้ก็คือทำยังไงก็ได้อย่าให้เรื่องมาถึงตัวฉัน ส่วนไอ้ตัวแสบฉันจะหาทางกำจัดมันเองให้มันได้รู้เสียทีว่าใครเป็นใคร!” ผู้เป็นนายสั่งการเสียงดังทุ้มแฝงความเคียดแค้นชิงชังอย่างเห็นได้ชัด แน่ล่ะ...ก็ตั้งแต่ก้าวขึ้นมาเป็นนักบริหารกิจการยามราตรีระดับแนวหน้า
อธิปก็ไม่เคยถูกใครลูบคมมาก่อน ทั้งอำนาจ เงิน และบารมีของเขาแผ่คลุมไปทั่วทั้งวงการ ใครๆ ก็รู้ ใครๆ ก็เกรงขาม ผู้ใดบังอาจขวางทางเสือก็จะถูกกำจัดด้วยสารพัดวิธีจนกระเด็นไปตามๆ กัน แต่มาวันนี้กลับมาถูกเด็กเมื่อวานซืนเล่นงานซะอ่วม มีหรือที่คนอย่างอธิปจะยอมง่ายๆ
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ...” ลูกน้องคนสนิทบอกกล่าวก่อนจะถอยหลังและหันกลับเดินออกไปพร้อมปิดประตูอย่างเงียบๆ ปล่อยให้นายเหนือหัวยืนจับมือไขว้ด้านหลังแล้วมองรัตติกาลของเมืองหลวงต่อไป แต่หากในสมองอันร้ายกาจของอธิปนั้นไม่ได้หยุดนิ่งเหมือนร่างกายที่ยืนไม่ไหวติง
แผนการกำจัดมารผจญตัวเบ้งหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดระยะ รอเพียงเวลาเหมาะสม เหตุการณ์เหมาะเจาะ แล้วเขาจะลงมืออีกครั้งอย่างเด็ดขาด คราวนี้มันจะไม่มีทางพลาดจนกลับกลายเป็นตัวเองที่เจ็บหนักซ้ำสองเป็นอันขาด...รับรอง
ร่างเล็กนั่งทอดถอนหายใจเบาๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ปากกาในมือหมุนกลับไปกลับมามากกว่าจะจดจ่อเขียนงานที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ หนึ่งวันผ่านไป สองวัน สามวัน หรืออีกกี่วันก็ตาม ตมิสาไม่สามารถขจัดความสับสนในหัวใจตัวเองให้หมดสิ้นไปเสียที ปัญหาลุ่มๆ ดอนๆ ระหว่างเธอกับกัณฑ์รพีแฟนหนุ่มยังคงค้างคาอยู่ในใจแม้จะนอนกอดกันทุกคืน เห็นหน้ากันทุกเช้าค่ำก็ตาม
ใจหนึ่งพยายามบอกว่าความปรารถนาอันเร่าร้อนของเขาไม่ใช่เรื่องใหญ่หากว่าหัวใจดวงนั้นเป็นของเธอแต่เพียงผู้เดียว แต่...ความหวาดกลัว ระแวงมันก็แย้งกระตุกอยู่มิวายให้ต้องหวั่นสะพรึงจนกลายเป็นความอึดอัด กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ร่ำไป “หอม พักกลางวันแล้วนะไปกินข้าวกันเถอะ ไม่หิวรึไง” เสียงใสเจื้อยแจ้วจากเพื่อนสาวทำให้ลมหายใจเหนื่อยหน่ายสุดท้ายหยุดลง สายตากลมแฝงความหม่นหมองไม่สบายใจหันมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนที่ยืนอยู่ข้างๆ “หอมไม่ค่อยหิวเลย แก้วไปกินก่อนเถอะจ้ะ” ตมิสายิ้มตอบให้เพื่อนแล้วเอ่ยบอกเสียงเอื่อย
“ไม่สบายหรือเปล่า แก้วสังเกตเห็นหอมเหมือนมีอะไรในใจนะ หน้าตาไม่สดใสอย่างเมื่อก่อนเลย” เพียงพรถามแทงใจดำ แต่หากยังไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงเท่านั้น
“เปล่าจ้ะ...หอมเหนื่อยน่ะ ช่วงนี้...เอ่อ...คุณซีลเขากลับบ้านเกือบเช้าทุกวันเพราะต้องไปดูแลผับ หอมอยู่บ้านคนเดียวเลยนอนไม่ค่อยหลับเท่านั้นเอง” อาจจะมีส่วนแต่ก็ไม่ทั้งหมด
“อ๋อ...เรื่องแค่นี้เองเหรอ แก้วคิดว่าหอมมีปัญหากับคุณซีลเขาเสียอีก เห็นว่าเขาอยากให้ออกจากงานไม่ใช่เหรอ” เพื่อนสาวถามต่อขณะเดินมาด้านหน้าโต๊ะทำงานของตมิสาและทอดร่างลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้าม
“ก็...หอมไม่อยากให้ใครคิดว่าเกาะเขากินน่ะแก้ว คุณซีลเขาดีกับหอมมาก หอมอยากทำให้เขาเห็นว่าที่หอมคบกับเขาไม่ใช่เพราะเงินทองที่เขามี...”
“แต่แก้วคิดว่าคุณกัณฑ์รพีเขาก็เข้าใจหอมนะ เขาคงอยากให้หอมเป็นแม่บ้านเต็มตัวคอยดูแลเขามากกว่า ดูเขารักหอมออกจะตายไป ใครเห็นเป็นต้องอิจฉากันทั้งนั้น”
เพียงพรยังยิ้มให้กำลังใจเพื่อนเหมือนเดิม เธอกับตมิสาค่อนข้างสนิทกันเพราะอยู่ในวัยใกล้เคียงกันที่สุดในแผนก เวลาสมัครเข้าทำงานที่นี่ก็ห่างกันไม่นาน มิหนำซ้ำยังเคยเป็นรูมเมทกันมาก่อนสมัยที่เพิ่งเข้าทำงานช่วงแรกๆ ด้วย
“คือ...เอ่อ...หอมยังอยากหาเงินเองน่ะแก้ว อย่างน้อยก็ได้ช่วยเหลือตัวเองมีเงินส่งให้ตากับยายโดยไม่ต้องเป็นภาระเขาด้วย” “แก้วเข้าใจนะว่าหอมเป็นคนดีแต่บางครั้งชีวิตคู่มันก็ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา แก้วแน่ใจว่าคุณกัณฑ์รพีเขาไม่ได้คิดอย่างหอมหรอก เขารวยจะตายไม่มีทางคิดว่าหอมเป็นภาระแน่ๆ เชื่อเราสิ”
“ขอบใจจ้ะแต่ถึงยังไงหอมก็ยังอยากทำงานที่นี่อยู่ดี หอมรักที่นี่ รักทุกคน ผูกพันกับที่นี่มากยังไม่อยากหยุดทำงานที่ตัวเองรักตอนนี้น่ะ ขอหาประสบการณ์สักพักไม่แน่ต่อไปหอมอาจจะเก็บเงินแล้วเปิดบริษัทหรือร้านอะไรเล็กๆ สักแห่ง”
ตมิสาบอกถึงความคาดหวังของตัวเองในอนาคตเพื่อให้เพื่อนคลายกังวลเรื่องเธอ ทั้งที่ใจของตัวเองนั้นหาได้มีความแน่นอนอะไรเลยสักนิด
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วล่ะจ้ะ แต่ถ้ามีปัญหาไม่สบายใจสัญญาได้ไหมว่าหอมจะไม่เก็บมันไว้คนเดียว ต้องเล่าให้แก้วฟังนะ แก้วจะได้ช่วยหอมหาทางออก”
“จ้ะแก้ว...ขอบใจมากนะ” ตมิสาบอกเพื่อนอย่างซาบซึ้งในน้ำใจ การใช้ชีวิตในเมืองหลวงของเธอนับได้ว่าโชคดีพอสมควร ทั้งหน้าที่การงานและผู้คนที่พบเจอก็ล้วนแล้วแต่เป็นไปได้สวยทั้งสิ้น แม้กระทั่งคนรัก...เขาก็รักเธอแต่...
“ตอนแรกคิดว่าทะเลาะกับคุณกัณฑ์รพีเสียอีก เห็นดูเครียดๆ มาเป็นเดือนแล้ว แต่ถ้าบอกว่าเขายังรักหอมดีแก้วก็สบายใจแล้ว ทีนี้...เราก็ไปกินข้าวกันเถอะ หิวไม่หิวก็ต้องกินมันถึงเวลาแล้วเดี๋ยวจะไม่สบายซะเปล่าๆ”
“อืม...ถ้าอย่างนั้นก็ได้จ้ะ เดี๋ยวหอมจะสั่งอะไรเบาๆ มากินเป็นเพื่อนแก้วก็แล้วกัน” เมื่อถูกคะยั้นคะยอมากเข้าก็นึกเกรงใจความหวังดีของเพื่อน
ตมิสาจึงยอมโอนอ่อน ่สองสาวยิ้มให้กันและลุกขึ้นพากันเดินออกจากห้องทำงานไปรับประทานอาหารตามที่ตกลงกัน โดยที่ตมิสานั้นหาได้หมดความกังวลเรื่องส่วนตัวของเธอไม่
ทางด้านเพียงพรเองก็ยังไม่หายเคลือบแคลงพฤติกรรมแปลกๆ ของเพื่อนสาวคนสนิท เธอรู้สึกได้ว่าตมิสากำลังทุกข์ใจ หดหู่ แต่เมื่อเพื่อนไม่พูดก็ไม่อาจคาดคั้นอะไรได้มาก
“เอ๋...หอมนี่มันรอยอะไรน่ะ” ตมิสาหยุดชะงักเช่นเดียวกับเท้าของเพียงพร หญิงสาวหน้าซีดเผือดหันมองหน้าเพื่อนที่ดูจะตกตะลึงไม่น้อยอยู่เหมือนกัน
“เปล่านี่ ไม่มีอะไร รีบไปเถอะเดี๋ยวจะหมดเวลาพักเสียก่อน” เธอพูดพลางหลบสายตาหวาดหวั่นใคร่รู้แล้วรีบดึงคอเสื้อปกปิดรอยเจ้าปัญหาที่เผลอโผล่พ้นออกมานอกเสื้อผ้า อุตส่าห์ใส่แบบมิดชิดแล้วเชียวแต่ด้วยร่องรอยมันมีอยู่ทั่วตัว เธอจึงไม่ทันระวังไม่คิดว่าตรงต้นคอด้านหลังจะมีอยู่ด้วย
“เดี๋ยว! เกิดอะไรขึ้น หอมโดนอะไรมา หรือว่า...ถูกทำร้าย...” เพียงพรสันนิษฐานพร้อมๆ กับฉุดอุ้งมือของเพื่อนให้ออกจากการปิดบัง แต่ตมิสาขัดขืนและพยายามเดินเลี่ยง
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ แก้วเข้าใจผิดแล้วล่ะ ไม่มีอะไรหรอก” เธอยังบ่ายเบี่ยงความสงสัยของเพื่อนสนิทมือข้างหนึ่งตะปบคอเสื้อตรงสันคอด้านหลังแน่น ใจสั่นรัว
“หน้าซีดแบบนี้ยังจะมาปฏิเสธอีกเหรอ เขาทำร้ายหอมใช่ไหม ก็ไหนบอกว่ารักกันดี แล้วทำไมเป็นแบบนี้เกิดอะไรขึ้น”
“แก้ว! หอมบอกว่าไม่มีอะไรไงล่ะ มันไม่ใช่อย่างที่แก้วคิดหรอก คุณซีลเขาดีกับหอมมาก แต่...แต่...คือ...มันเป็นเรื่องระหว่างเราน่ะ ช่างเถอะๆ เอาเป็นว่าคุณซีลเขาไม่ได้ตั้งใจทำร้ายหอมหรอกนะ” ด้วยความรีบร้อนและไม่ทันตั้งตัวเมื่อถูกเห็นร่องรอยสวาทอันป่าเถื่อนเข้า ตมิสาจึงลนลานหาคำแก้ตัวพัลวันเสียงสั่นพร่า “ไม่ได้ตั้งใจ? ก็แสดงว่าเขาทำ มิน่าช่วงหลังๆ มานี้หอมถึงได้ใส่แต่เสื้อผ้ามิดชิดตลอด มันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวใช่ไหม” “แก้ว...หอม...” “หอมยังเห็นแก้วเป็นเพื่อนอยู่หรือเปล่า ทำไมเกิดเรื่องร้ายแรงขนาดนี้หอมถึงไม่ปรึกษาแก้วล่ะ จะทนทุกข์ทรมานอยู่คนเดียวเพื่ออะไร” เพียงพรเข้าไปจับมืออีกข้างของตมิสาพร้อมทั้งบีบเบาๆ ให้กำลังใจและปลอบประโลมในทีเพื่อให้เพื่อนผ่อนคลายจากการปิดกั้นตัวเอง
“แก้ว...แก้ว...ฮือๆๆ” ตมิสาโผเข้ากอดเพื่อนด้วยความตื้นตัน ปล่อยความอัดอั้นให้ไหลออกมาเป็นน้ำตาและเสียงคร่ำครวญปานว่ากักเก็บมันเอาไว้มานานแสนนาน และถือโอกาสปลดปล่อยเมื่อรู้สึกว่ามีที่ระบาย
“หอมเป็นอะไร นี่อย่าบอกนะว่าคุณกัณฑ์รพีเขาทำร้ายหอมจริงๆ” เพียงพรตกใจแต่ก็รีบโอบกอดเพื่อนสาวเอาไว้ เธอไม่ลืมเหลือบมองไปรอบๆ โชคดีที่เป็นเวลาพักกลางวันพนักงานคนอื่นๆ จึงออกไปรับประทานอาหารกันหมด
“ไม่ใช่แก้ว ไม่ใช่อย่างนั้น...”
“เอ่อ...แก้วว่าเราไปหาที่คุยกันดีกว่านะ อยู่ตรงนี้เดี๋ยวใครมาเห็นจะเก็บเอาไปพูดผิดๆ ถูกๆ กันเปล่าๆ หอมใจเย็นๆ นะ แก้วอยู่นี่แก้วจะไม่มีวันทิ้งหอมไปไหนเด็ดขาด เราเป็นเพื่อนกันนะ...” เพียงพรปลอบใจเพื่อนสนิทที่ยังสะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมอกเธอ ก่อนจะผละห่างและพาตมิสาออกไปจากบริเวณนั้น
“ดื่มน้ำก่อนนะหอม...รู้สึกดีขึ้นบ้างไหม” เพียงพรถามเพราะปล่อยให้เพื่อนสาวสะอื้นไห้อยู่พักหนึ่งหวังให้เธอปลดปล่อยความไม่สบายใจ
“ขอบใจนะแก้ว...” ตมิสาเช็ดซับน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้าในมือ ก่อนจะรับเอาแก้วน้ำมาดื่มดับกระหาย หากเวลาผ่านไปเกือบหมดช่วงพักกลางวันแล้วแต่หญิงสาวกลับไม่ได้รู้สึกหิวหรืออยากกินอะไรเลย
“ทีนี้เล่าให้แก้วฟังได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น”
“เอ่อ...” เธอเม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างคิดหนัก สายตาหลบจากเพื่อนที่กำลังหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกตัวในสวนหย่อมหลังบริษัท ซึ่งเป็นที่ซึ่งเพียงพรพามาหลบผู้คนเมื่อเธอไม่สามารถควบคุมอารมณ์เศร้าของตัวเองอยู่
“หอม...นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะ แล้วแก้วก็คิดว่าหอมแก้ปัญหาไม่ได้ด้วยถึงได้ทุกข์หนักขนาดนี้ หอมรู้ตัวไหมว่าตั้งแต่คบกับคุณกัณฑ์รพี หอมดูเปลี่ยนไปมาก ร่างกายซูบผอม ไม่ร่าเริง ทำงานก็ไม่มีสมาธิต้องตามแก้ไขกันตลอด ถ้าไม่หาทางออกตัวหอมเองนั่นแหละที่จะแย่...” เพียงพรบอกกับเพื่อนพร้อมถอนหายใจอย่างเครียดๆ เมื่อคนตรงหน้าทำท่าไม่อยากปริปากพูดอะไรเลย
“หอมขอโทษ แต่มันเป็นปัญหาส่วนตัว หอมไม่อยากให้ใครต้องมาไม่สบายใจเพราะเรื่องของหอม”
“หอมคิดว่าแก้วเป็นคนอื่น?”
“ไม่ใช่นะแก้ว เพียงแต่...หอมพูดไม่ได้จริงๆ”
“เขาทำร้ายถึงขนาดนี้ยังจะปกป้องเขาอีกเหรอ”
“เขาไม่ได้ตั้งใจ...มันเป็น...เอ่อ...แก้ว! อย่าบังคับหอมเลยนะ ตอนนี้หอมกำลังพยายามหาทางคุยกับเขาอยู่ หอมคิดว่าเขาต้องเข้าใจ แต่หอมยังยืนยันว่าคุณซีลเขาดีกับหอมทุกอย่าง เราแค่...สวนทางกันในบางเรื่องเท่านั้น” ตมิสาพยายามอธิบายสิ่งที่เพื่อนเข้าใจผิด หรือ...จะเรียกว่าเข้าใจถูกแต่คลาดเคลื่อนนิดหน่อยก็ได้
“ก็ได้ถ้าหอมมั่นใจแบบนั้นแก้วก็คงไม่วุ่นวายกับหอมอีก” เพียงพรกล่าวอย่างเบื่อหน่ายแกมไม่พอใจที่ความหวังดีถูกตัดรอน
“หอมไม่ได้คิดว่าแก้ววุ่นวาย แก้วเป็นเพื่อนรัก หอมรู้ว่าแก้วหวังดี แต่เรื่องระหว่างหอมกับคุณซีลมันเป็นเรื่องที่หอมพูดกับใครไม่ได้จริงๆ แต่หอมสัญญานะแก้วถ้าหากมันบานปลายจนทนไม่ไหวจริงๆ แก้วจะเป็นคนแรกและคนเดียวที่หอมไว้ใจบอกเรื่องทั้งหมด” หญิงสาวจับมือของเพื่อนบีบอย่างเอาใจ ไม่อยากให้คิดมาก แต่ก็ไม่อาจขอความเห็นอะไรได้ในตอนนี้ เรื่องน่าอาย...มันเป็นความลับใครก็ไม่ควรมารับรู้
“ถ้าอย่างนั้นหอมไม่ต้องเล่า แก้วจะถามเองหอมแค่ตอบคำถามของแก้ว”
“...”
“แก้วไม่ได้อยากรู้เรื่องชาวบ้าน แต่สำหรับหอมเราเป็นเพื่อนกัน แก้วรู้ว่าหอมลำบากใจที่จะพูด แต่แก้วขอยืนยันว่าอยากช่วยแบ่งเบาความทุกข์ของหอมจริงๆ”
“เอ่อ...คือ...” ตมิสาไม่ได้ตอบ เธอกะพริบตาด้วยความอึดอัดใจ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธเพื่อนสาวไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว
“คุณกัณฑ์รพีเขามีผู้หญิงคนอื่นใช่ไหม”
“ไม่ใช่จ้ะ เขาไม่ได้มีใครหอมมั่นใจนะ” คนถูกถามตอบกลับ ดวงตากลมโตเบิกกว้างยามที่พูดปกป้องผู้เป็นสามีทางพฤตินัย
“ถ้าอย่างนั้นเขาเป็นคนโมโหร้ายชอบทุบตีหอมเป็นประจำใช่หรือเปล่า”
“ไม่...ไม่ใช่คุณซีลไม่มีวันทำแบบนั้นกับหอมหรอก” ตมิสายังปฏิเสธอย่างไม่มีพิรุธ นั่นทำให้เพื่อนของเธอถึงกับหน้าเสีย
“ขออย่าให้สิ่งที่ฉันคิดเป็นจริงเลยนะ มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันอยากจะเดา” เพียงพรกล่าว ด้วยว่าตัวเองนั้นก็ไม่ใช่เด็กสาวแรกรุ่น แฟนหรือก็มีเป็นตัวเป็นตน การเป็นอยู่ของชีวิตคู่เธอก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง
“แก้ว...”
“คุณกัณฑ์รพี...เขา...รุนแรงกับเธอ แบบ...แบบ...คู่รัก” เพียงพรอ้อมแอ้มถาม เธอใจสั่นอย่างบอกไม่ถูกเมื่อต้องกล่าวถึงเรื่องส่วนตัวของเพื่อนสาว “คือ...” ขณะที่อีกคนรอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ คนที่ต้องตอบก็หน้าแดงก่ำเมื่อถูกจี้โดนตอ อาการกระอักกระอ่วนเล่นงานจนร่างกายชาวาบไปหมดหากเป็นคนธรรมดาย่อมเข้าใจว่าเรื่องแบบนี้มันน่าบัดสีเกินกว่าจะรับได้จริงๆ “ใช่เหรอ...โธ่! หอม ทำไมเป็นแบบนี้เธอทนได้อย่างไร” เพียงพรหน้าสลดทันทีที่รู้คำตอบ เธอเป็นผู้หญิงมีหรือจะไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนสาว “มันไม่ใช่อย่างนั้นนะแก้ว คุณซีลเขารักหอมแล้วเขาก็ดีกับหอมทุกอย่าง เขาแค่...”
“เขาป่วยนะหอม เขาไม่ปกติ ถ้าเขาทำให้เธอเจ็บตัวขนาดนี้แสดงว่าเขาเป็นพวกวิปริตนะ”
“แก้ว!” สิ่งที่เพียงพรพูดดูเหมือนจะรุนแรงเกินไปในความรู้สึกของเธอที่มีให้กับชายหนุ่ม เขาอาจมีความต้องการที่แตกต่าง และเธอเองก็ขลาดกลัว แต่ก็ไม่เคยนึกอยากใช้คำนั้นประณามเขา
“แก้วขอโทษ แต่มันเรื่องจริงใช่ไหมหอม ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ หอมนั่นแหละที่จะเป็นอันตรายรู้ไหม เหมือน...เหมือนในข่าววันก่อนน่ะ”
“หยุดพูดเถอะแก้ว...” ตมิสาหน้าซีดลงไปอีกเมื่อเพื่อนรื้อฟื้นสิ่งที่เธอไม่อยากจำ ทางด้านเพียงพรเองก็เงียบทันทีอย่างรู้สึกผิดที่ปากเสียพูดจาไม่ระวังทั้งๆ ที่อีกฝ่ายใจไม่ดีอยู่แล้ว
“เอ่อ...ขอโทษนะ แก้วเผลอปากไปหน่อย หอมใจเย็นๆ ก่อนก็แล้วกันแก้วยินดีเป็นที่ปรึกษาให้ ถ้าหอมยังยืนยันคำเดิมว่าเขารักและดีกับหอมอยู่แก้วก็อยากให้หอมคุยกับเขา คือ...แก้วรู้ว่าหอมไม่ได้เป็นแบบนั้นน่ะ” เพียงพรวางตัวไม่ถูกเมื่อความจริงที่รู้เปิดเผย แต่มันช่างเป็นเรื่องที่ไม่น่ารู้เอาเสียเลย
“จ้ะ...คือคุณซีลเขาก็ไม่ได้เป็นมากมายถึงขนาดนั้นหรอกนะ เอ่อ...มันแค่...หอม...ไม่ชอบเท่านั้นเอง” กลายเป็นว่าเธอต้องยอมรับโดยปริยาย แต่ก็รู้สึกโล่งนิดๆ ที่มีคนมาแบ่งเบาความอัดอั้นตันใจ อย่างน้อยต่อไปนี้มีอะไรที่ผิดปกติไปจากเดิมเธอก็จะได้มีคนคอยรับฟังปัญหาบ้าง “อืม...ก็เข้าใจนะว่าหอมรักเขามาก ผู้หญิงเราก็มักจะเป็นแบบนี้กับผู้ชายคนแรกในชีวิตเสมอทุ่มเท ปกป้อง และอยากอยู่กับเขาตลอดไปแก้วไม่ได้ว่าที่หอมรักเขาเพราะแก้วเองก็เป็นแค่เพื่อนไม่ใช่เจ้าชีวิตของหอม... แต่แก้วอยากให้หอมคิดให้ดีๆ ว่าหอมรักเขาหรือหลงเขากันแน่ ถ้าเป็นความรักเราจะยังพอแยกแยะออกว่าอะไรผิดหรือถูก แต่ถ้าเป็นความหลงแล้ว เราจะมองแต่ความดีของเขาเท่านั้น และจะพยายามหาทางออกหาข้อแก้ตัวให้กับสิ่งไม่ดีในตัวเขาเพื่อปลอบใจตัวเราเอง หอมคิดว่าตัวเองเป็นแบบไหนล่ะ”
“คือหอม...” จริงอย่างที่เพียงพรว่ามานั่นแหละ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกที่มีต่อกัณฑ์รพีเรียกว่าอะไร รู้แต่เพียงว่าเธอขาดเขาไม่ได้เพียงแค่คิดว่าต้องห่างกัน ใจมันก็จะขาดรอนๆ เสียแล้ว
“เฮ้อ! หอมเอ๊ย เธอยังไม่รู้ใจตัวเองเลย” คนพูดถอนหายใจยาวพร้อมส่ายศีรษะเบาๆ อย่างหวั่นๆ แม้จะรู้จักตมิสาได้เพียงไม่นานแต่ก็รู้ว่าเพื่อนสาวไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องความรักมาก่อน ไม่เคยรู้เล่ห์เหลี่ยมของผู้ชาย เมื่อลองได้รักแล้วก็ทุ่มหมดตัวหมดใจไม่คิดระวังเลยต้องมาเจอบทบาทหนักเมื่อคนรักคนแรกเป็นหนุ่มรูปงามที่มีคุณสมบัติความเป็นชายฉกรรจ์ครบถ้วน
ที่สำคัญเขามีรสนิยมไม่ธรรมดา อาจจะเกินกำลังที่หญิงสาวใสซื่ออย่างตมิสาจะรับมือได้ตลอดรอดฝั่ง ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คนที่เสียใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้นตัวตมิสาเองนั่นแหละ
“แก้ว...หอมกำลังคิดจะคุยเรื่องนี้กับเขาอยู่...”
“แต่ไม่กล้า...” เพียงพรสวนทันควัน
“คุณซีลรู้ว่าหอมกลัว...เขาก็สัญญาว่าจะไม่ เอ่อ...เกินเลยกว่านี้”
“แล้วมันเป็นอย่างที่เขารับปากหรือเปล่าล่ะ”
“มันก็...ไม่เชิง แต่เขาไม่เคยทำให้หอมเจ็บปางตายอย่างในหนังสือพิมพ์หรือพวกที่เสพติดความรุนแรงถึงขนาด ใช้...เอ่อ...ใช้พวกอุปกรณ์บ้าๆ อะไรแบบนั้นน่ะ”
ตมิสาอธิบายพร้อมหลบสายตาเพื่อนอย่างเอียงอายในสิ่งที่ตัวเองพูดออกไป สำหรับสาวกร้านโลกจัดจ้านเรื่องแบบนี้คงธรรมดาพูดคุยกันได้ในกลุ่มโดยไม่คิดอะไร แต่สำหรับเธอที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนย่อมเห็นเป็นเรื่องน่าบัดสีบัดเถลิง ไม่ควรให้ใครมารับรู้ด้วย
“อืม...แต่ถ้าหอมไม่ชอบ หอมก็ต้องหาทางคุยกับเขานะ เราจะไปรู้เหรอ อนาคตเขาอาจมีความต้องการที่มากขึ้นก็ได้”
“หอมกำลังคิดหาทางออกอยู่ แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง พอจะเข้าเรื่องนี้ทีไรทะเลาะกันทุกที”
“ลองปรึกษาจิตแพทย์ดูไหม” เพียงพรแนะนำ นั่นทำให้คู่สนทนาของเธอมองกลับตาโตด้วยความตกใจ
“จิต...จิตแพทย์?”
“เฮ้ย! แก้วไม่ได้คิดว่าเขาเป็นโรคจิตนะหอม แค่คิดว่าถ้าลองปรึกษาหมอด้านนี้ดูน่าจะพอมีทางออกเท่านั้นเอง”
“คุณซีลเขาไม่ยอมไปหรอก หอมก็เคยชวนเขาเหมือนกันจ้ะ แต่ก็ทะเลาะกันเขาคิดว่าหอมว่าเขาเป็นคนป่วย” เธออธิบายให้เพียงพรฟังเสียงอ่อน พร้อมหายใจออกมาด้วยความรู้สึกที่ยังไม่คลายความกังวล
“ส่วนมากก็เป็นแบบนี้แหละ ไม่มีใครยอมรับตัวตนที่แท้จริงของตัวเองได้หรอก” เพียงพรกล่าวพร้อมเอื้อมไปจับมือตมิสามากำไว้หลวมๆ ส่งยิ้มให้เป็นกำลังใจ “ไม่เป็นไร ต่อไปนี้หอมไม่ต้องคิดจนเครียดอยู่คนเดียวแล้วนะ มีอะไรก็ระบายกับแก้ว สองหัวดีกว่าหัวเดียวเผื่อเราจะช่วยกันหาทางออกที่ดีที่สุดได้” “จ้ะแก้ว ขอบใจแก้วมากนะ...” หญิงสาวรู้สึกซึ้งในน้ำใจของเพื่อน แม้จะคบกันไม่นานแต่มิตรภาพก็สวยงามมาเสมอ จริงอย่างที่เพียงพรว่า สองหัวดีกว่าหัวเดียว กระนั้นเธอก็คงไม่เอาทุกอย่างมาเล่าทั้งหมดหรอก เรื่องในมุ้งจะนำออกจากมุ้งมาแบ่งปันให้คนอื่นรับรู้ไปเสียทุกอย่างมันก็หาใช่เรื่องสมควรไม่
“เกือบหมดเวลาพักแล้ว ไปหาขนมรองท้องกันหน่อยดีกว่าหอม ไม่อย่างนั้นกระเพาะคงพังแน่ๆ เดี๋ยวต้องไปเคลียร์งานกันต่ออีก”
สองสาวพูดคุยกันเรื่องส่วนตัวเสร็จสรรพก็พากันออกไปหาอะไรรับประทานกันเสียที เรื่องราวต่างๆ ยังคงตันตื้อสำหรับตมิสาแต่ตอนนี้อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องอัดอั้นเก็บมันไว้คนเดียวโดยไม่รู้จะหาทางออกอย่างไรอีกแล้ว