ด้านของหว่านซูฉีและผู้พันหยาง สองคนนั่งรถยนต์ไปด้วยกันโดยมีผู้พันหยางเป็นคนขับ
รถยนต์คันนี้แล่นเข้าสู่เมืองใหญ่ และจุดหมายคือห้างสรรพสินค้าของรัฐ
หว่านซูฉีนั่งเงียบพร้อมกับเหม่อมองไปนอกหน้าต่างโดยไม่พูดไม่จา จนซีห่าวเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบที่ชวนน่าอึดอัดนี้ “ฉีเอ๋อร์หิวหรือยัง จะแวะหาอะไรกินก่อนไหม"
“พี่ซีห่าวหิวแล้วหรือคะ” หญิงสาวละสายตาจากข้างทางหันมาพูดกับชายหนุ่ม แม้จะไม่อยากเรียกพี่ก็ตาม
“ยังครับ ฉีเอ๋อร์ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมเรื่องแต่งงานของเรา” ดูคล้ายจะเป็นการถามลองเชิงและลองใจของหว่านซูฉีว่าเธอจะตอบอย่างไร
“ถ้าฉันบอกว่าไม่เต็มใจ คุณจะยกเลิกงานแต่งหรือไม่ล่ะท่านผู้พัน”
คราวนี้หว่านซูฉีไม่มีท่าทีอ่อนแอหรือหวาดกลัวใด ๆ ในสายตาอีก เพราะเธอยังไม่ต้องการแต่งงาน และไม่อยากใช้ชีวิตกับชายคนไหนนอกจากครอบครัวของเธอ
หยางซีห่าวกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ไม่คิดว่าหญิงสาวตรงหน้าจะหมดความอดทนได้เร็วขนาดนี้
“ปิดบังตัวตนกับครอบครัวตั้งหลายปี ทำไมกับผมแค่ไม่ถึงสองชั่วโมงกลับหมดความอดทนเสียล่ะครับ แบบนี้ก็หมดสนุกน่ะสิ” จากชายหนุ่มผู้เย็นชาต่อหญิงสาวที่เข้าใกล้ วันนี้หยางซีห่าวไม่มีท่าทีเหล่านั้นอีกแล้ว เขากลับนึกสนุกที่จะต่อปากต่อคำและยั่วให้ว่าที่ภรรยาโกรธตนเอง
“แล้วคุณจะเอายังไงท่านผู้พัน เราสองคนไม่ได้รักกัน อยู่กันไปมีแต่จะประสาทเสียเปล่า ๆ หากวันใดคุณเจอหญิงสาวที่รักขึ้นมาจะทำอย่างไร”
“คุณไม่อยากเป็นคุณนายผู้พันหรือไงครับ” ชายหนุ่มถามด้วยความแปลกใจ หญิงสาววัยนี้ส่วนมากล้วนอยากจะสบาย แล้วการเป็นคุณนายผู้พันมันไม่ดีตรงไหน
“หึ ไม่อยากเป็นค่ะ ฉันอยากใช้ชีวิตปกติสุข ต้องขอโทษแทนพี่ใหญ่ด้วย ที่ให้คุณต้องตอบแทนบุญคุณโดยการแต่งงานกับฉัน เพราะพี่ใหญ่คิดว่าฉันอ่อนแอ ขี้โรค เลยอยากให้มีคนปกป้อง แต่คุณก็เห็นแล้วนี่ฉันปกติดีทุกอย่าง ไม่ได้อ่อนแอและขี้กลัวอย่างที่ทุกคนเห็น"
หว่านซูฉีรู้สึกไม่ดีจึงขอโทษแทนพี่ชายอีกครั้ง แต่เธอยังยืนยันว่าไม่อยากแต่งงานกับเขาเหมือนเดิม
“สายไปเสียแล้วครับ แล้วไม่จำเป็นต้องขอโทษอะไรทั้งนั้น ในเมื่อผมลั่นวาจาไปแล้ว และที่สำคัญแม้ว่าตอนนี้เราสองคนอาจจะยังไม่รักกัน ต่อไปไม่แน่ว่า อาจจะมีลูกหลานเต็มบ้าน ต่อให้เวลานี้คุณไม่อยากแต่ง แต่คุณก็คงแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้วละฉีเอ๋อร์ หึ ๆ” หยางซีห่าวตอบกลับพร้อมกับหัวเราะในลำคอเล็กน้อย ชายหนุ่มรู้สึกว่าการต่อปากต่อคำกับหว่านซูฉีไม่ใช่เรื่องที่แย่นัก ออกจะชอบเสียด้วยซ้ำ
“หากเป็นเช่นนั้นคุณเปลี่ยนตัวเจ้าสาวได้ไหมล่ะ เปลี่ยนเป็นหมี่ลี่ลูกสาวจากบ้านใหญ่ ยังไงก็แซ่เดียวกัน จะได้ไม่ผิดสัญญา” นี่ดูเหมือนจะเป็นทางออกสุดท้ายของหว่านซูฉีแล้ว จึงเสนอการเปลี่ยนตัวเจ้าสาวออกมา และหวังว่าผู้พันหยางคนนี้จะตอบรับ
“คนที่พาคุณมาขายนั่นน่ะหรือ ไม่ไหวละ จิตใจโหดเหี้ยมผิดมนุษย์แบบนั้นผมไม่ชอบ และไม่อยากเข้าใกล้ด้วย”
“เมื่อครู่นี้คุณคงเห็นสิ่งที่ฉันทำหมดแล้ว ฉันโหดเหี้ยมยิ่งกว่าหมี่ลี่มากนัก ฉันฆ่าคนและคุณควรจะถอยห่าง ถ้าหากเรื่องนี้แดงขึ้นมาฉันคงไม่รอดจากการเป็นผู้ต้องสงสัย สรุปแล้วยุติการแต่งงานในครั้งนี้เถอะ ตำแหน่งคุณจะได้ไม่สะเทือนเพราะภรรยาฆ่าคนตาย"
หว่านซูฉียกเรื่องนี้มาอ้าง หากล่อลวงหญิงสาวมาขายเรียกว่าโหดเหี้ยม แล้วสิ่งที่เธอทำล่ะเรียกว่าอะไร
“เรื่องนั้นไม่ต้องกังวล ผมให้ลูกน้องจัดการกลบร่องรอยของคุณหมดแล้ว ถ้าเกิดผมไม่พูด คนของผมไม่พูด คุณไม่มีทางเดือดร้อนแน่ แต่ถ้าคุณยังปฏิเสธการแต่งงานแบบนี้ ก็ไม่แน่ว่าผมอาจจะเผลอพูดออกไป"
“หน้าไม่อาย อยากจะพูดก็พูดไปสิ ทุกคนรู้ว่าฉันอ่อนแอและขี้ขลาดแค่ไหน ไม่มีใครเชื่อคุณหรอก” หว่านซูฉีสวนกลับทันควัน
เธอไม่กลัวคำขู่นี้เลยแม้แต่น้อย ในสายตาชาวบ้านเด็กสาวจากบ้านรองหว่านเป็นคนอ่อนแอและขี้ขลาดอยู่แล้ว ไม่มีใครเชื่อหรอกนะว่าเธอกล้าฆ่าคน
“สำหรับฉีเอ๋อร์คงไม่มีใครเชื่อ แต่ถ้าเป็นเหวินเปียวล่ะ ผมคิดว่าทุกคนเชื่อเต็มร้อยเลยละ คุณจะลองดูไหม ด้วยอำนาจที่พอจะมีของผม หากจะยัดข้อหาชาวบ้านธรรมดาสักคนคงไม่ยาก"
น้ำเสียงนี้ช่างบาดหูและยียวนเหลือเกินสำหรับหว่านซูฉี เธอรู้ดีว่าชายหน้าหนาคนนี้ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ตัวเธอเองไม่เท่าไร อย่างมากแค่ต้องหลบซ่อนตัว แต่พี่ใหญ่นั้นไม่ใช่ ไหนจะพี่สะใภ้อีกล่ะ หากผู้พันบ้าคนนี้พูดจริงพี่ชายเธอไม่แย่หรอกหรือ
“คุณ !!” หว่านซูฉีเค้นเสียงลอดไรฟัน เวลานี้เธอโกรธจัดแล้วจริง ๆ
ยิ่งเห็นอาการและท่าทางแบบนี้ หยางซีห่าวกลับยิ่งพอใจเป็นที่สุด เนื่องจากท่าทางของหว่านซูฉีตอนนี้ไม่ต่างจากแมวตัวน้อยที่กำลังขู่ศัตรู
“เอาล่ะถึงแล้ว จะลงไปลองชุดเจ้าสาวดี ๆ หรือจะกลับบ้านแล้วรอฟังข่าว…”
“ยอมแล้ว ฉันยอมแล้วท่านผู้พัน แต่งก็แต่งสิกลัวที่ไหน แล้วอย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกัน แต่คุณต้องรับในสิ่งที่ฉันขอให้ได้ ตกลงไหม”
ในเมื่อต้องแต่งงานและไม่มีทางเลือกอื่น หว่านซูฉีจึงตกลงด้วยความจำยอม แต่เลือกที่จะยื่นข้อเสนอขึ้นมาเผื่อว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะเปลี่ยนใจ
“ไหนคุณลองพูดมาซิ ผมให้ไม่เกินสามข้อ” หยางซีห่าวอยากรู้ว่ากระต่ายป่าตัวนี้จะเล่นแง่อะไรกับเขาอีก จึงยอมให้เธอมีเงื่อนไขได้ถึงสามข้อ
“ข้อแรก ฉันไม่ชอบคนเจ้าชู้ ตลอดระยะเวลาที่เราแต่งงานกันคุณต้องไม่มีผู้หญิงอื่น”
“ข้อสองล่ะ”
“ข้อสอง ฉันต้องการอิสระ และต้องการความเป็นส่วนตัว ฉันจะไปไหนก็ไม่ต้องรายงานใครหรือต้องรายงานทุกครั้ง”
“ส่วนข้อสาม ฉันรู้ดีว่าเราสองคนไม่สามารถแยกห้องนอนได้ ดังนั้นคุณห้ามเอาส่วนนั้นมารุกล้ำร่างกายฉันเด็ดขาด”
เจอข้อสามเข้าไปหยางซีห่าวขำพรืดออกมาทันที กระต่ายป่าเล่นงานเข้าแล้วไหมล่ะ เอาง่าย ๆ คือไม่ยอมเข้าหอกับเขานั่นเอง
“คำตอบข้อหนึ่ง ผมไม่ใช่คนแบบนั้น ในเมื่อแต่งงานแล้วย่อมต้องมีภรรยาคนเดียว ส่วนข้อสองผมรับข้อเสนอนี้ คนเราต่อให้แต่งงานกันแล้วย่อมต้องมีพื้นที่ส่วนตัวบ้าง
แต่ข้อสาม ผมแต่งคุณมาเป็นเมียนะครับคุณว่าที่ภรรยา ไม่ได้เอามาไว้บูชา มีที่ไหนแต่งงานแล้วไม่ยอมให้รุกล้ำ ผมไม่ใช่คนตายด้านหรือไร้ความรู้สึกนะฉีเอ๋อร์"
ชายหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อย แต่แววตากลับเปล่งประกายความขบขันออกมา
“ถ้าอย่างนั้นแค่ช่วงระยะแรกก็ได้ ขอฉันทำใจหน่อยเถอะ” หญิงสาวตอบกลับอย่างจำยอม อีกทั้งเธอยังไม่พร้อมมีสามีเวลานี้
ร่างนี้เพิ่งจะอายุสิบเจ็ด วัยขนาดนี้ในยุคที่เธอจากมายังเรียนมัธยมอยู่เลย หว่านซูฉีคิดว่าตนเองยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะ เธอยังไม่อยากหาห่วงมาผูกคอ
ชาติก่อนใช่ว่าเธอไม่อยากมีใคร แต่เพราะมาเฟียเช่นเธอมอบหัวใจให้ใครไม่ได้ต่างหาก เลยไม่คิดว่ารักแท้มันจะมีอยู่จริง
“เอาเถอะ รีบลงมาจะได้ไปลองชุดแต่งงาน หรือเราแวะหาอะไรกินก่อนดีกว่า ผมเองก็เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน”
“กินอิ่มท้องป่อง จะลองชุดได้อย่างไรล่ะคะคุณ…” เมื่อเจอสายตาคมเข้มมองมา หว่านซูฉีจึงต้องรีบเปลี่ยนคำเรียกทันที
“พี่ซีห่าว”
“แล้วจะปล่อยให้ท้องหิวแบบนี้หรือไง”
“เอาเถอะ แล้วแต่พี่จะบัญชาเลยค่ะ ฉันคร้านจะเถียงด้วยแล้ว เปลืองพลังงานในร่างกาย” หว่านซูฉีค้อนให้หนึ่งที ก่อนจะลงจากรถและเดินตามชายหนุ่มเข้าไปในห้างสรรพสินค้า
ไม่มีใครในวงสังคมไม่รู้จักผู้พันหยาง การที่ชายหนุ่มเดินควงคู่มากับหญิงสาวคนหนึ่งจึงทำให้เป็นจุดสนใจของผู้คนไม่น้อย
ทั้งสองเดินเข้าร้านอาหารของรัฐที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ เพื่อกินอาหารด้วยกันมื้อแรก
พนักงานเดินเข้ามาสอบถาม และส่งรายการอาหารให้
“ฉีเอ๋อร์อยากกินอะไรสั่งเลยนะ” หยางซีห่าวเอ่ยขึ้นเพื่อให้ว่าที่ภรรยาสั่งอาหารได้ตามใจ
หว่านซูฉีส่งยิ้มให้เขาเล็กน้อย เธอรู้ดีถึงการมีมารยาท ในเมื่อเธอและเขาต้องใช้ชีวิตร่วมกันจึงไม่อยากทำลายชื่อเสียงของว่าที่สามี
หญิงสาวจึงสั่งอาหารเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น แม้จะอยากแกล้งให้เขาจ่ายเงิน แต่สภาวะขาดแคลนอาหารเช่นนี้ กินไม่หมดเสียดายแย่เลย
“กินแค่นี้จะอิ่มหรือ” หยางซีห่าวพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าหว่านซูฉีนั้นสั่งอาหารเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น แววตานั้นเป็นประกายขบขันเล็กน้อยกับท่าทางของเธอ ในใจตอนแรกคิดว่าหญิงสาวตรงหน้าคงจะกลั่นแกล้งเขา ด้วยการสั่งอาหารมามากมาย ไม่คิดว่าเธอจะรู้ความขนาดนี้
“อิ่มค่ะ สั่งมาเยอะหากกินไม่หมดคงเสียดายแย่ ยังมีชาวบ้านมากมายที่ขาดแคลนอาหาร พอนึกถึงเรื่องนี้ฉันไม่กล้ากินทิ้งกินขว้าง อีกอย่างพี่น่าจะรู้ว่าครอบครัวฉันเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น ไม่ค่อยได้กินอาหารดี ๆ เท่าไร”
“หลังแต่งงานแล้ว ฉีเอ๋อร์อยากจะกินอะไร พี่จะหามาให้ทุกอย่าง ขอแค่บอกเท่านั้น” น้ำเสียงและแววตาช่างอ่อนโยนยิ่งนัก ซูฉีคิดว่าชายคนนี้อาการหนักยิ่งกว่าเธอที่มีหน้ากากหลากหลายอารมณ์เสียอีก
พนักงานไม่คิดว่าท่านผู้พันหยางจะอ่อนโยนกับหญิงสาวได้ขนาดนี้ เขาคือหนึ่งในนายน้อยที่หญิงสาวหลายคนหมายปอง ข่าวคราวล้วนบอกว่าผู้พันหยางไม่เข้าใกล้ผู้หญิง และนิสัยเย็นชายิ่งนัก แต่สิ่งที่เห็นกลับตรงกันข้ามทั้งหมด