หว่านเหวินเปียวหน้าดำคร่ำเครียดเมื่อไม่ได้ข่าวคราวของน้องสาว ชาวบ้านที่ช่วยตามหาต่างก็เป็นห่วงหว่านซูฉีไม่น้อย ด้วยภาพของหญิงสาวนั้นคือคนที่อ่อนแอที่สุดของหมู่บ้าน การที่หายตัวไปแบบนี้ทุกคนจึงกลัวว่าจะเกิดอันตรายกับเธอ
อีกทั้งเวลานี้พี่สะใภ้อย่างซวงซวงเป็นลมไปแล้ว ดีที่อนามัยอยู่ไม่ไกลมาก และพอมีหมอประจำอยู่ด้วย จึงได้รีบเข้ามาดูซวงซวงทันทีที่มีคนไปตาม
“ภรรยาผมเป็นยังไงบ้างครับหมอ” หว่านเหวินเปียวถามด้วยอาการร้อนใจน้ำเสียงนั้นดูเป็นกังวล ตอนนี้เหมือนทุกอย่างประดังประเดเข้ามา ห่วงทั้งภรรยาและน้องสาวจับใจ คล้ายกับจะทำอะไรไม่ถูกแล้ว
“ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก ภรรยาคุณเพียงหน้ามืดเท่านั้น แต่ทางที่ดีอย่าให้มีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจอีกล่ะ ไม่อย่างนั้นจะอันตรายแก่เด็กในท้องได้ เดี๋ยวหมอจะจัดยาบางส่วนให้ก่อน ส่วนยาบำรุงพรุ่งนี้หมอจะเข้าเมืองไปเอายาจากโรงพยาบาลมาให้ ที่อนามัยยาบำรุงคนท้องหมดพอดี”
อนามัยแห่งนี้มียาจำกัดและยาบางอย่างไม่มีเก็บไว้มากนัก เวลานี้ยาบำรุงคนท้องหมดพอดี พรุ่งนี้เขาตั้งใจจะไปเอาอยู่แล้ว
หว่านเหวินเปียวได้ยินดังนั้นได้แต่ยืนนิ่งคล้ายกับคนไม่มีสติ ชาวบ้านเห็นชายหนุ่มเป็นแบบนั้นจึงตอบรับและไปส่งหมอคนนี้เอง
“ละ…ลูก หมอพูดว่าฉันกำลังจะมีลูก นี่เมียฉันท้องแล้วใช่ไหม”
“ใช่น่ะสิ เวลานี้น้องสะใภ้ท้องแล้ว นายเองกำลังจะเป็นพ่อคนแล้วเหมือนกัน” ชายหนุ่มอายุมากกว่าหว่านเหวินเปียวตอบกลับ ก่อนจะส่ายหน้าอย่างหน่ายใจที่สหายรุ่นน้องคนนี้ความรู้สึกช้า
ทันทีที่รู้ว่าภรรยาท้องแล้ว หว่านเหวินเปียวจึงหันกลับมาหาปู่ด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว
“ปู่ครับ ช่วยอนุญาตให้บ้านรองของเราแยกบ้านด้วยเถอะครับ ไม่ใช่เพราะเรื่องของซูฉีอย่างเดียว แต่เวลานี้เมียผมท้องแล้ว ผมไม่อยากให้เมียต้องทำงานหนักอีก หวังว่าปู่จะเข้าใจ และทำให้ความปรารถนาของหลานชายคนนี้เป็นจริง”
ส่วนคนที่คิดร้ายต่อน้องสาว ชายหนุ่มไม่คิดจะปล่อยไปเช่นกัน หากเกิดอะไรขึ้นกับซูฉีอย่าคิดว่าบ้านใหญ่จะอยู่อย่างสงบอีกเลย
“เอาสิ ปู่ไม่ห้าม ให้ใครไปตามหัวหน้าหมู่บ้านมาเถอะ ฉันจะทำเรื่องแยกบ้านให้เอง” ปู่หว่านไม่ต้องคิดอะไรเลย เรื่องนี้เขาตัดสินใจด้วยตัวเอง หลานทั้งสองคนของลูกชายคนรองที่จากไปทุกข์ระทมมามากพอแล้ว ชายชราใกล้ลงโลงเช่นเขาคงทำให้ลูกชายที่ล่วงลับไปได้แค่นี้
“ขอบคุณครับปู่” หว่านเหวินเปียวไม่คิดว่ามันจะง่ายดายขนาดนี้ แต่เมื่อปู่อนุญาตแล้ว เขาจึงไหว้วานให้คนรู้จักไปตามหัวหน้าหมู่บ้านมาให้ ไม่นานหัวหน้าหมู่บ้านก็เดินทางมาถึงพร้อมกับพยานและกรรมการหมู่บ้าน
“สรุปแล้วอาเปียวจะแยกบ้านใช่ไหม” เรื่องนี้หัวหน้าหมู่บ้านพอจะรู้ว่าถ้าเกิดหาหว่านซูฉีไม่เจอ พี่ชายอย่างเหวินเปียวก็จะขอแยกบ้าน จึงได้ถามย้ำอีกครั้ง
“ครับลุงหัวหน้าหมู่บ้าน ผมต้องการแยกบ้านครับ ตอนนี้ปู่อนุญาตแล้ว” หว่านเหวินเปียวตอบรับด้วยความเด็ดเดี่ยว ไม่มีแล้วที่จะใจอ่อนและยอมโดนผู้เป็นย่าโขกสับอีก
“อกตัญญูจริง ๆ พวกแกมันเลี้ยงไม่เชื่อง” ย่าหว่านพูดเสียดสีหลานชายจากบ้านรองด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว แต่พอมองไปทางสามี กลับเห็นเขาส่งสายตาตำหนิมาให้ นางจึงสงบปากสงบคำของตนเอง
หัวหน้าหมู่บ้านพอได้ยินอย่างนั้นจึงรีบจัดการเขียนข้อความลงในหนังสือสัญญาแยกบ้านทันที เพราะกลัวว่าแม่เฒ่าหว่านจะเอ่ยคัดค้านขึ้นมาอีก
เนื่องจากหมู่บ้านแห่งนี้หากผู้อาวุโสในบ้านคนใดคนหนึ่งไม่ยินยอม ลูกหลานที่ต้องการจะแยกบ้านก็ไม่มีสิทธิ์ เนื่องจากที่ผ่านมาในอดีตจนบัดนี้ทุกคนได้ยึดเอาความกตัญญูเป็นหลัก
“ฉันขอถามหน่อย การที่อาเปียวแยกบ้านแล้วถ้าอย่างนั้นบ้านหลักต้องแบ่งเงินกองกลางให้ด้วย ฉันเลยอยากจะถามว่าบ้านใหญ่จะแบ่งอะไรให้บ้าง จะได้ลงในรายละเอียดของหนังสือสัญญาแยกบ้านนี้”
เมื่อได้ยินคำถามของหัวหน้าหมู่บ้าน ย่าหว่านตีอกชกหัวขึ้นมาอีกแล้ว พร้อมกับโวยวายว่าหลานชายจากบ้านรองเป็นคนที่อกตัญญูยิ่งนัก
“อกตัญญู บ้านรองอกตัญญูอีกแล้ว ขอแยกยังไม่พอ ยังจะมาขออาหารและขอเงินไปอีก ทั้ง ๆ ที่บ้านใหญ่ก็ไม่ได้ร่ำรวย หรือว่ามีเงินเหลือกินเหลือใช้ขนาดนั้น”
ชาวบ้านและพยานหลายคนที่ได้ยินคำพูดนี้ และอยู่ร่วมเหตุการณ์ในครั้งนี้ด้วย ต่างก็เบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากมองหน้าย่าหว่านด้วยสายตาที่รังเกียจไปมากกว่านี้
“ไม่แบ่งก็ไม่เป็นไรครับ ต่อจากนี้ไปผมขอทำหนังสือตัดขาดด้วย ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะตอนพ่อแม่ผมอยู่ หรือพ่อแม่ผมจากไปแล้ว บ้านรองของเราทำงานมาแทบจะไม่ได้จับเงินเลย อาหารที่ได้กินล้วนเป็นของเหลือจากบ้านใหญ่ทั้งนั้น เวลานี้ในเมื่อผมแยกบ้านและขอตัดขาดแล้ว
ดังนั้นหลังจากนี้ไป ผมจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับบ้านใหญ่อีก ถ้าย่าไม่ยอม ผมจะไปแจ้งความเรื่องที่ลูกสาวของลุงใหญ่หลอกซูฉีน้องสาวของผมไปในเมือง ไม่รู้ว่าเวลานี้เป็นตายร้ายดียังไงบ้าง"
แม้อาหารจะมีความจำเป็นต่อทุกคน และเงินก็คือปัจจัยหลักที่ต้องใช้ในการดำรงชีวิต แต่ทว่าเวลานี้เขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ขอเพียงได้ตัดขาดจากบ้านใหญ่ก็พอ อีกทั้งหลังจากนี้เขาก็ไม่คิดจะอยู่ในหมู่บ้านนี้อีก เขาและครอบครัวพร้อมที่จะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมือง ต่อให้จะลำบากกว่าอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้เป็นร้อยเท่าพันเท่าก็ตาม
เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านได้ยินแบบนั้น เขาจึงรีบลงรายละเอียดในหนังสือสัญญาและทำหนังสือตัดขาดให้ทันที โดยไม่คิดจะขอความเห็นจากผู้อาวุโสในบ้านหว่านอีกแม้แต่คำเดียว
ซึ่งตัวปู่หว่านเองก็ไม่คัดค้านอันใด นี่คือสิ่งเดียวและสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำให้ครอบครัวของลูกชายคนรองได้
เมื่อสัญญาแยกบ้านและหนังสือตัดขาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านจึงยื่นให้กับหว่านเหวินเปียวและปู่หว่านคนละฉบับ ส่วนอีกฉบับเขาเก็บไว้เองเพื่อนำไปยื่นกับสำนักงานพลเรือนในอำเภอ
แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังจะแยกย้ายกัน รถยนต์คันใหญ่ก็เคลื่อนเข้ามาจอดหน้าบ้านหว่าน โดยมีหญิงสาวอย่างหว่านซูฉีลงจากรถมาพร้อมกับจื่อหาน และคนสุดท้ายที่ลงมาคือผู้พันหยาง หรือหยางซีห่าวนั่นเอง !!
“กลับมาแล้ว ซูฉีกลับมาแล้ว อาเปียวมาดูเร็ว น้องสาวนายกลับมาแล้ว” ชาวบ้านคนอื่นส่งเสียงขึ้นมาด้วยความดีใจ ก่อนจะตะโกนเรียกให้หว่านเหวินเปียวรีบออกมาดู
นี่สร้างความแปลกใจและดีใจให้กับผู้เป็นพี่ชายอย่างมาก เขาจึงรีบออกมาดู
“ซูฉี น้องกลับมาแล้ว น้องปลอดภัยใช่หรือไม่”
ชายหนุ่มรีบวิ่งเข้ามาสำรวจร่างกายน้องสาว เนื่องจากกลัวว่าเธอจะได้รับอันตราย จนลืมดูไปว่ามีว่าที่น้องเขยยืนอยู่ไม่ห่างกัน ก่อนจะดึงร่างน้องสาวเข้ามากอดด้วยความดีใจอีกครั้ง
“อะแฮ่ม ไม่ต้องกอดขนาดนั้นก็ได้ น้องสาวนายโตแล้ว อีกทั้งเวลานี้ฉีเอ๋อร์เป็นว่าที่ภรรยาของฉันนะ ฉันหวง” หยางซีห่าวพูดขึ้นมาเสียงราบเรียบ แต่ว่าสายตาที่มองมามีแววขบขันไม่น้อย
“อ้าว ท่านผู้พันหยาง ทำไมถึงอยู่กับซูฉีล่ะครับ พี่ภรรยาด้วยเหมือนกันไปเจอซูฉีจากที่ไหน”
“ถ้าเช่นนั้นผมเป็นคนขอตอบก็แล้วกัน ผมเจอคุณจื่อหานตรงปากทางเข้าหมู่บ้านเลยรับขึ้นรถมาด้วยกัน ส่วนฉีเอ๋อร์นั้นผมเจอในเมือง ว่าที่ภรรยาของผมกำลังถูกขายให้คนกลุ่มใต้ดินพอดี ผมเลยได้ช่วยกลับมา จากนั้นจึงได้พาเธอไปลองชุดแต่งงานและกินมื้อเที่ยงด้วยกัน"
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้พันหยาง คราวนี้ไม่เพียงแต่หว่านเหวินเปียวที่ตกใจจนแทบสิ้นสติ แต่รวมไปถึงชาวบ้านและหัวหน้าหมู่บ้านที่อยู่ตรงนี้ ต่างก็ตกใจจนไม่อยากจะเชื่อว่า หว่านซูฉีจะถูกล่อลวงไปขายให้กับพวกใต้ดิน
“จริงหรือซูฉี ที่ท่านผู้พันพูดมาเรื่องจริงใช่หรือไม่” หัวหน้าหมู่บ้านถามเป็นคนแรกด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงเช่นนี้กับคนในหมู่บ้านของตน ถ้าผู้พันหยางไม่ไปพบเข้า อะไรจะเกิดกับหลานสาวบ้านหว่านกันล่ะ
หว่านซูฉีมีท่าทีหวาดกลัวอยู่ในอ้อมกอดของพี่ชาย หญิงสาวต้องแสดงให้แนบเนียนที่สุด เนื่องจากในหมู่บ้านเธอยังเป็นคนที่อ่อนแอและขี้โรคอย่างไม่มีใครเทียบได้ ดังนั้นการแสดงในครั้งนี้เธอต้องไม่หวั่นไหวไปกับสายตาของว่าที่สามีในอนาคตของเธอ
เมื่อไม่มีคำตอบจากหว่านซูฉี แต่ท่าทีของหญิงสาวที่แสดงให้ทุกคนเห็นนั้นเป็นเครื่องช่วยยืนยันแล้วว่า คำพูดของผู้พันอย่างนั้นเป็นความจริง
ดังนั้นชาวบ้านทุกคนจึงมองไปยังสองแม่ลูกของบ้านใหญ่หว่านด้วยความรังเกียจทันที
“อะไร? เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ พวกฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ทำไมต้องมองกันอย่างกับฉันและลูกเป็นนักโทษแบบนั้นล่ะ” สะใภ้ใหญ่ร้องโวยวายขึ้นมา และไม่ยอมรับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมาจากตนเองและลูกสาว