“พี่สาวหมี่ลี่ไม่ได้ทำอะไรฉันเลย พี่สาวบอกว่าจะพาซูฉีไปเที่ยวในเมืองไปซื้อชุดแต่งงาน แต่พอไปเจอพี่ชายหลายคนพี่สาวเขาก็วิ่งหนีไปโดยไม่สนใจฉัน ถ้าไม่ได้พี่ซีห่าวช่วยไว้ ฉันคงถูกขายไปแล้ว”
หว่านซูฉีรีบอธิบายให้ทุกคนฟังด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย เหมือนกับเธอพยายามจะปฏิเสธแทนผู้เป็นป้าสะใภ้และพี่สาวจากบ้านใหญ่ แต่ถ้าหากฟังดี ๆ จะรู้ได้ทันทีว่า คำพูดที่หว่านซูฉีพูดมานั้น คล้ายกับบอกเป็นนัย ๆ แล้วว่า เพราะหมี่ลี่ละทิ้งเธอแล้วหนีไปคนเดียว ทำให้เกือบพบเรื่องร้ายแรงเข้า
คราวนี้ละ เสียงของชาวบ้านต่างก็พูดกันไม่หยุดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับหว่านซูฉีหญิงสาวผู้อ่อนแอและขี้กลัวที่สุดของหมู่บ้าน
“พี่ใหญ่แล้วพี่สะใภ้ล่ะไปไหนคะ ฉันเหนื่อยแล้วเราเข้าไปพักกันเถอะ” หว่านซูฉีไม่อยากเป็นเป้าสายตาของว่าที่สามีอย่างเช่นผู้พันหยางอีกแล้ว จึงกระตุกแขนเสื้อพี่ชายและถามถึงพี่สะใภ้ ก่อนจะชวนเข้าบ้าน
“นั่นสิอาเปียว ทำไมพี่ไม่เห็นน้องสาวพี่เลยล่ะ ซวงซวงไปไหน” จื่อหานกวาดสายตามองหาน้องสาวเช่นกัน เมื่อไม่เห็นเลยถามขึ้นมาอีกคน
“ซวงซวงสลบครับพี่ แต่เวลานี้ปลอดภัยแล้ว หมอบอกว่าเป็นอาการแรกเริ่มของคนท้อง อีกอย่างซวงซวงมีความเป็นกังวลและห่วงซูฉีมากไปหน่อยเท่านั้นเองครับ ตอนนี้ผมแยกบ้านแล้วครับ ต่อไปคงต้องอาศัยบ้านพี่เขยไปก่อนสักระยะ"
เมื่อรู้ว่าแผนการที่วางไว้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี หว่านซูฉีจึงมีรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อย ส่วนแววตาเป็นประกายความโหดเหี้ยมส่งไปทางสองแม่ลูกบ้านใหญ่อย่างไม่ปิดบัง
“ถ้าอย่างนั้นวันแต่งงานผมต้องมารับจากบ้านคุณจื่อหานใช่ไหม ต่อไปคงไม่มีใครคิดร้ายหรือมีเล่ห์เหลี่ยมเรื่องการสับเปลี่ยนตัวเจ้าสาวของผมอีกแล้ว ต่อให้ฉีเอ๋อร์จะอ่อนแอหรือดูขี้โรค แต่เจ้าสาวของผมต้องเป็นเธอเท่านั้น !!”
หยางซีห่าวมองไปทางบ้านใหญ่ด้วยสายตาเย็นชาประดุจเหยี่ยว ตอนนี้เขาเตือนแล้ว หากยังกล้าทำอีกก็อย่าหาว่าผู้พันเช่นเขาโหดร้ายต่อชาวบ้านก็แล้วกัน
จากนั้นจื่อหานก็รีบเดินเข้าบ้านหว่านเพื่อไปอุ้มน้องสาวอันเป็นที่รัก ที่ในเวลานี้มีหลานตัวน้อยอยู่ในท้องออกมา และรีบพาไปยังบ้านของตนทันที โดยมีหว่านเหวินเปียวและหว่านซูฉีตามไปด้วย
ส่วนผู้พันหยางรีบขับรถตามไปเช่นกัน
เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วชาวบ้านจึงแยกย้ายกันกลับบ้านของตนเอง
“แม่คะ ฉันไม่ยอมนะ ท่านผู้พันพูดแบบนี้มิเท่ากับชอบและต้องการนังซูฉีเป็นเมียหรอกหรือ แล้วฉันจะได้แต่งเข้าตระกูลหยางหรือไม่ล่ะคะ”
หว่านหมี่ลี่กล่าวขึ้นมาอย่างกระฟัดกระเฟียด เนื่องจากเธอต้องการและยังหวังว่าตนเองนั้นยังสามารถแต่งงานเข้าตระกูลหยางแทนหว่านซูฉีได้ หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้แล้วเธอยังมีความหวังอีกหรือไม่
“แกอย่ามากดดันฉัน ฉันกังวลจะตายอยู่แล้ว ใครจะรู้กันล่ะว่ามันจะรอดมาได้ และคนที่ช่วยไว้คือผู้พันหยางเสียอีก” ผู้เป็นแม่กำลังหาทางเอาตัวรอด เวลานี้เธอไม่สนใจแล้วว่าใครจะเป็นอย่างไร ขอแค่ตนเองรอดพ้นจากภัยครั้งนี้ก็พอ
“ฉันเตือนแม่แล้วว่าอย่าทำแบบนี้ เพราะเมื่อไรที่พลาดขึ้นมาคนที่เดือดร้อนคือเราสองคน”
“ใครว่าฉันกับแกจะเดือดร้อนกันล่ะ ฉันไม่ได้ออกหน้าจัดการเรื่องนี้เสียหน่อย คนที่เดือดร้อนคือน้าชายของแกต่างหาก”
ผู้เป็นแม่อย่างปี้เจียวพูดขึ้น คล้ายกับปัดความรับผิดชอบเรื่องในครั้งนี้ให้พ้นตัว แถมยังโยนความผิดไปให้น้องชายเสียอีก นี่จึงทำให้หญิงสาวอย่างหว่านหมี่ลี่มองหน้าแม่ของตนด้วยความหวาดกลัว ที่แม่พูดละทิ้งน้าชายได้อย่างง่ายดาย
“ตะ...แต่นั่นน้องชายของแม่นะ ถ้าเกิดผู้พันหยางสืบเรื่องนี้ขึ้นมาละก็ คนที่เดือดร้อนและอาจจะติดคุกคือน้าชายนะ แม่ไม่คิดจะช่วยหน่อยหรือ” หว่านหมี่ลี่พูดขึ้นมาคล้ายกับไม่อยากจะเชื่อว่าแม่จะเป็นได้ถึงขนาดนี้
จะว่าไปแม่ของเธอก็เห็นแก่ตัวและเหี้ยมโหดไม่น้อย นี่ขนาดน้องชายแท้ ๆ ยังกล้าที่จะละทิ้งและโยนความผิดไปให้ ถ้าหากย่ารู้เรื่องแม่คงถูกพ่อขอหย่าแน่ ๆ
“แกเป็นลูกฉันนะหมี่ลี่ แทนที่จะช่วยปิดบังหรือเข้าข้างกัน กลับเข้าข้างคนอื่นและมาตำหนิฉันเสียนี่ น่ารำคาญ... แกจะไปไหนก็ไปอย่ามาอยู่รกหูรกตาฉันเลย”
นางปี้เจียวเอ่ยปากไล่บุตรสาวของตนให้พ้นหน้า เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรเธอไม่มีวันยอมรับว่าตนเองสั่งการให้น้องชายทำเรื่องนี้แน่ ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นแม่สามีก็ตาม
“นางเฒ่า ฉันคิดว่าหล่อนควรจะคืนสินสอดของตระกูลหยางให้กับเหวินเปียวและซูฉีไปเสีย ฉันให้เวลาสามวันไม่เช่นนั้นฉันจะหย่าขาดกับหล่อนซะ และส่งหล่อนกลับบ้านเดิมทันที”
ปู่หว่านเมื่อเข้ามาในห้อง เขาจึงพูดเรื่องสินสอดของบ้านรองที่ทางตระกูลหยางนำมาสู่ขอในคราวนั้น ต่อให้ ทรัพย์สินในส่วนที่เป็นอสังหาริมทรัพย์จะเป็นชื่อของหว่านซูฉีก็ตาม แต่ยังมีเงินอีกห้าร้อยหยวนที่ฝ่ายนั้นนำมาเป็นขวัญถุงให้ลูกสะใภ้ คนเป็นปู่เช่นเขาจึงไม่ควรยึดเงินส่วนนี้ไว้
“ได้ยังไงกัน เงินตั้งห้าร้อยหยวนเชียวนะ ไม่...ฉันไม่คืนหรอก ตอนแยกบ้านก็ไม่เห็นมีใครพูดถึง อีกอย่างนะตาแก่ ที่ดินและบ้านในเอกสารกรรมสิทธิ์ก็เป็นชื่อของนังซูฉี ฉันจะทำอะไรได้อีก เรื่องเงินยังไงฉันก็ไม่คืนเด็ดขาด” ย่าหว่านโวยวายเสียงดังเมื่อรู้ว่านางต้องค*****นและเอกสารกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินให้กับหลานจากบ้านรอง
“หล่อนจะคืนหรือไม่ฉันพูดอะไรไม่ได้หรอกนะ ที่ผ่านมาฉันไม่พูดใช่ว่าไม่รู้ หล่อนจะทำเรื่องอะไรฉันไม่เคยเข้าไปยุ่ง แต่เรื่องนี้ฉันต้องยุ่ง!! เจ้ารองตายไปแล้ว หล่อนเองก็เป็นแม่แท้ ๆ ทำไมถึงจงเกลียดจงชังลูกสะใภ้กับหลานนักหนา หล่อนลืมไปแล้วหรือว่า เมื่อก่อนแม่ฉันก็ไม่ได้ชอบหล่อนเหมือนกัน กว่าหล่อนจะพิสูจน์ตัวเองได้มันนานแค่ไหน
นี่สะใภ้รองก็ตายไปแล้ว หล่อนยังจะเบียดเบียนหลานทั้งสองอีกหรือ ความเป็นแม่เป็นย่าของหล่อนมีบ้างหรือไม่ เจ้าใหญ่หล่อนคิดว่าเป็นลูก แล้วเจ้ารองไม่ใช่หรือยังไง เอาสินสอดไปคืนหลานซะ!! ตายไปจะได้กล้าไปพบหน้าเจ้ารองและสะใภ้ได้”
ปู่หว่านกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อเห็นว่าสามีแข็งกร้าวขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความหวาดกลัวจึงเกาะกุมจิตใจย่าหว่านอีกครั้ง นางยอมพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ ไม่กี่วันต่อมา ย่าหว่านจึงเอาสินสอดทั้งหมดของตระกูลหยางมาคืนให้กับสองพี่น้องบ้านรองด้วยอาการที่ไม่เต็มใจ
ด้านของหว่านซูฉีและคนอื่น ๆ เมื่อกลับมาถึงบ้านของจื่อหาน หว่านเหวินเปียวจึงได้ถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอีกครั้ง
“ซูฉี เรื่องราวทั้งหมดเป็นมายังไงกันแน่ ทำไมน้องถึงได้กลับมาพร้อมกับผู้พันหยางล่ะ เรื่องราวมันคงไม่ได้มีแค่อย่างท่านผู้พันหยางเล่าให้ฟังใช่ไหม บอกพี่ได้หรือไม่”
ในความคิดของชายหนุ่ม ต่อให้น้องสาวจะเป็นคนอ่อนแอและขี้กลัวมากแค่ไหน แต่เรื่องที่เกิดขึ้นมันต้องมีมากกว่าที่ได้ยินแน่ ๆ
เท้าทั้งสองของหว่านซูฉีที่กำลังจะเดินไปหลังบ้านหยุดลงทันที เมื่อพี่ชายถามถึงเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้ง “เรื่องมันก็มีแค่นั้นแหละค่ะพี่ใหญ่ พี่คิดว่าฉันโกหกหรือคะ พี่สะใภ้ ดูพี่ใหญ่สิไม่เชื่อซูฉีแล้ว”
ใบหน้างามคล้ายกับจะน้อยใจขึ้นมา หว่านซูฉีจึงหันไปหาพี่สะใภ้ของเธอเพื่อขอความช่วยเหลือและขอความเห็นใจนี่คือไม้ตายของเธอเวลาที่ตอบคำถามพี่ชายไม่ได้
เมื่อน้องสาวของสามีหันมาขอความช่วยเหลือ มีหรือที่พี่สะใภ้เช่นเธอจะไม่ให้ความเมตตา เธอจึงหันไปมองหน้าสามีอย่างไม่พอใจ “พี่จะคาดคั้นอะไรซูฉีนักหนา แค่นี้น้องก็กลัวจะแย่อยู่แล้ว เป็นพี่ชายประสาอะไรแทนที่จะปลอบน้องที่เจอเรื่องร้ายมา กลับมาคาดคั้นเสียนี่ ถ้าอย่างนั้นคืนนี้พี่ไปนอนกับพี่ใหญ่ก็แล้วกันฉันจะนอนกับซูฉีเอง”
พอได้ยินภรรยาขู่แบบนั้น ทำให้หว่านเหวินเปียวสะดุ้งตัวโยน ก่อนจะหันมามองหน้าน้องสาวตัวดี ที่กำลังหาเรื่องให้ตนเองนอนนอกห้อง
“เอาเถอะพี่ไม่ถามแล้ว อย่าไปรบกวนพี่ใหญ่ของน้องเลย แค่เรามาขออาศัยก็รบกวนจะแย่อยู่แล้ว ใช่ไหมครับพี่ภรรยา”
หว่านเหวินเปียวคล้ายกับจะหันมาหาพวก แต่ทว่าพี่ภรรยากลับไม่เข้าข้างเสียนี่
“ไม่เป็นไรห้องพี่กว้างขวาง นายไปนอนได้ เชื่อพี่สิ หึ ๆ” จื่อหานยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับด้วยความหมั่นไส้ ขอแค่เอาคืนน้องเขยเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้างก็ยังดี
เวลานี้เมื่อเห็นว่าทุกคนเข้าข้างตนเอง หว่านซูฉีจึงหันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่พี่ชายด้วยความทะเล้น ประจวบเหมาะกับผู้พันหยางเดินเข้ามาพอดี
เมื่อเห็นมุมนี้ของว่าที่ภรรยา ชายหนุ่มจึงอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้เหมือนกัน ไม่คิดว่าหญิงสาวที่เย็นชากล้าปิดปลิดชีพคนโดยไม่กะพริบตา จะมีมุมที่ขี้เล่นเหมือนกัน และคิดภายในใจว่า ต่อไปนี้คงไม่ต้องส่งคนประกบว่าที่ภรรยาของตนเองแล้ว