ตีฝีปาก

1907 คำ
“ข้าขอสุราหนึ่งไห- หลี่เอ๋อร์หรอกหรือ เจ้าเปลี่ยนไปมากจนข้าจดจำแทบมิได้” จากสตรีอ้วนพี กลายเป็นหญิงสาวร่างสมส่วน มีส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจนจนเขาแทบละสายตาไม่ได้ “เจ้าคะ? คุณชายรู้จักข้าด้วยหรือ” หลี่น่ามองตรงไปยังชายที่แต่งกายเรียบร้อย เสื้อผ้าอาภรณ์เนื้อดี ผมเผ้าก็เก็บรวบเสียเรียบตึง นางจึงรู้ได้ทันทีว่าชายผู้นี้คงเป็นบุตรสกุลขุนนาง หรือไม่ก็เป็นขุนนางเสียเอง “…เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ชายหนุ่มผู้นั้นใบหน้าเรียบตึงขึ้นมาทันใด แววตาคู่นั้นส่อถึงความสงสัยใคร่รู้ จนทุกคนสังเกตได้ “หลี่น่า เจ้ามิรู้จักใต้เท้าผู้นี้อย่างนั้นหรือ” หวังหย่งถามย้ำ หรือที่นางเอ่ยว่า จดจำสิ่งใดไม่ได้ จะหมายความตามนั้นจริงๆ “ข้าต้องรู้จักหรือเจ้าคะ…ว่าแต่คุณชะ เอ่อ ใต้เท้าต้องการสุราแบบใดเจ้าคะ หากว่าต้องการฤทธิ์แรง ต้องไปซุ้มของพี่ชายข้าเจ้าค่ะ” หญิงสาวผายมือไปทางเหิงเยว่ ทว่าสายตาพิฆาตของพี่ชายทำให้นางต้องผงะ เหตุใดจึงมองแรงขนาดนั้น ทำราวกับจะฆ่าแกงกัน “แหะๆ ต้องขออภัยใต้เท้าด้วย แม้พี่ชายข้าจะดุไปเสียหน่อย แต่ไม่กัดแน่เจ้าค่ะ เชิญใต้เท้าทางนั้นได้เลย” “ใช่เจ้าค่ะ! เชิญใต้เท้าไปไกลๆ อุ้ย! บ่าวหมายถึงเดินไปไกลอีกนิดเจ้าค่ะ” นั่นอย่างไร เอินเอินก็เป็นไปกับเขาด้วย นี่มันเรื่องอันใดกัน หลี่น่าได้แต่หันมองคนนั้นที คนนี้ที แต่ก็ไม่มีผู้ใดให้คำตอบนางได้ ยิ่งสหายของนางยิ่งแล้วใหญ่ ยืนทำหน้านิ่งไม่แสดงอารมณ์เช่นเคย มีหน้าเดียวหรืออย่างไร “ท่านพี่ มาทำสิ่งใดที่นี่หรือเจ้าคะ” เสียงแหลมที่คุ้นเคย ทำให้ข้อสงสัยของหลี่น่ากระจ่างชัดขึ้นทันใด ร่างอ้อนแอ้นของฮูหยินน้อยสกุลเถียนเดินอาดๆ เข้ามาคล้องแขนใต้เท้าคนเมื่อครู่ อ่อ~ ชายผู้นี้คงจะเป็นเถียนอี้สินะ เมื่อรู้ความจริงข้อนี้ หลี่น่าก็เข้าใจถึงพฤติกรรมของพี่ชายและคนสนิททันที นึกได้ดังนั้นใบหน้างามที่ยิ้มแย้มเมื่อครู่ ก็เปลี่ยนเป็นเย้ยหยันทันที นัยน์ตาดำขลับ ไล่มองเถียนอี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า แน่นอนว่าแต่งกายดี เรียบร้อย ท่าทางภูมิฐาน ทว่าหากให้พิจารณาอย่างละเอียด คนผู้นี้รูปร่างเล็ก ผอมบาง ผิวพรรณไม่ต่างจากคุณชายเจ้าสำอาง สตรีหลายคนก็คงชมชอบบุรุษรูปลักษณ์เช่นนี้ ทว่ามิใช่กับนาง “จ้องอันใดของเจ้า!” “เลี่ยงจิน อย่าได้โวยวายไป” ฟ่งหยู่เยียนที่เดินเข้ามาพร้อมกันกับเลี่ยงจิน รีบเอ่ยห้ามสหาย ทว่าสายตาของนางกลับติดอยู่ที่แม่ทัพจ้าว ผู้ที่นางแอบมีใจให้ “ข้าเพียงคิดว่า เหตุใดเมื่อก่อนข้าจึงตกลงหมั้นหมายกับเขา ดูที…รูปร่างหน้าตาก็สู้สหายข้าไม่ได้แม้แต่น้อย ยิ่งใต้เท้าเถียนยืนข้างหวังหย่ง ยิ่งดูหมองไปเลย ข้าว่าใต้เท้าควรอยู่ห่างเขาไว้เถิด” หลี่น่ามิได้ลำเอียง เพียงแต่หลักฐานมันประจักษ์อยู่แล้ว ทั้งหน้าตาที่หล่อเหลา ร่างกายที่กำยำแข็งแรง ล้วนเป็นหวังหย่งที่เหนือกว่า คงจะมีเพียงผิวพรรณ ที่ชายผู้นั้นขาวผ่องกว่าสหายของนาง แต่แล้วอย่างไร นางชอบบุรุษผิวแทนหน่อยๆ อยู่แล้ว “หึ! มิได้ครอบครอง จึงมาว่าร้ายผู้อื่น มิดูตนเองเสียเลยว่ากิริยาต่ำช้าเพียงใด เป็นหญิงกล้ายืนพูดคุยอยู่กับชายหนุ่มตามลำพัง” เลี่ยงจินจงใจพูดเสียงดัง เพื่อให้หลี่น่าอับอายผู้คน และดูเหมือนจะเป็นไปตามที่นางคิด ผู้คนเริ่มหันมาสนใจที่ซุ้มสุรากันมากขึ้น ยิ่งเห็นว่าอดีตคู่หมั้นของใต้เท้าเถียนกำลังปะทะคารมกับเถียนฮูหยิน ผู้คนยิ่งสนใจ อยากรู้อยากเห็นตามวิสัย “ตายจริง! สายตาท่านพิกลพิการหรือ จึงมิเห็นว่าพี่ชายข้าก็อยู่ด้วย บ่าวข้าก็อยู่ ทั้งสหายรักของข้าก็อยู่ด้วย อีกอย่างข้าอยู่ในที่ของข้า สามีเจ้าต่างหากที่เข้ามาหาข้าถึงที่” “เรื่องนี้ข้าเป็นพยานได้” หวังหย่งกล่าวขึ้นท่ามกลางความคุกรุ่น “ถึงอย่างนั้น สตรีที่ดีก็ควรหนีให้ห่าง หรือว่าเจ้าชอบให้บุรุษรุมล้อมเช่นนี้ ฮื้อ! น่าหนักใจแทนบิดามารดาเจ้าเสียจริง ที่มีบุตรสาวเช่นนี้” “ฮ่าๆ ข้าต่างหากที่ต้องพูดคำนั้น ตัวเจ้าดีนักหรือ ยอมแต่งกับบุรุษ ทั้งที่รู้ว่าเขาหมั้นหมายอยู่แล้ว” “…” “อ่อ แล้วอย่าได้คิดว่าที่ข้าพูด เพราะยังอาวรณ์สามีของเจ้า คนที่ไม่รักษาคำสัตย์ ก็ไม่ต่างอันใดกับโจรเถื่อน เขาถอนหมั้นข้า เหตุเพราะครอบครัวข้ามิอาจสนับสนุนเขาได้ เจ้าก็ระวังไว้เสียหน่อยแล้วกัน ไม่แน่ว่าหากเจ้าหมดประโยชน์ เขาอาจจะ…” หลี่น่ามิได้กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงไหวไหล่ไปมา และส่งยิ้มไปให้หญิงสาว “หลี่เอ๋อร์ เจ้าหมิ่นเกียรติข้าเกินไปแล้ว” เถียนอี้หน้าตึงขึ้นมาทันใด เขาและสกุลเป็นขุนนางรับใช้แผ่นดิน จะให้มีข่าวเสื่อมเสียคงมิเหมาะนัก ชายหนุ่มหมายจะก้าวเข้าไปหาหลี่น่า แต่กลับถูกแม่ทัพใหญ่ของแคว้นสกัดไว้เสียก่อน “ข้าว่าใต้เท้าเถียนหยุดเพียงเท่านี้เถิด” “เรื่องนี้มิเกี่ยวกับท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพควรจะใส่ใจสหายของข้ามากกว่า” เลี่ยงจินเอ่ยแทนสหาย ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวง ล้วนรู้ว่าฮูหยินเฒ่าสกุลจ้าวอยากได้คุณหนูฟ่งหยู่เยียนเป็นหลานสะใภ้ ทว่าวันนี้พวกเขาเหล่านั้นคงต้องเปลี่ยนความคิดเสียแล้ว เพราะท่านแม่ทัพประกาศกร้าวถึงเพียงนี้ “ข้ากับคุณหนูฟ่ง มิได้มีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน เหตุใดข้าต้องใส่ใจนาง” “เลี่ยงจินพอเถิด พาใต้เท้าเถียนกลับเข้าไปในงานเถิด ผู้คนมองมาทางนี้กันหมดแล้ว” ฟ่งหยู่เยียนซ่อนอารมณ์เสียใจของตนเองเอาไว้ แต่มิอาจหลบพ้นสายตาของแม่ทัพใหญ่ได้ หวังหย่งจงใจพูดออกไปเช่นนั้น เพื่อแสดงจุดยืนของตน ว่ามิได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคุณหนูฟ่ง และไม่คิดที่จะต่อสัมพันธ์ หลังจากที่คุณหนูฟ่งพาสองสามีภรรยาคู่นั้นกลับไปแล้ว เข่อซิงและซูเจินที่พึ่งทราบเรื่อง ก็รีบออกมาหาบุตรสาว “น้องหญิง เจ้าพาหลี่เอ๋อร์กับเอินเอินกลับเรือนก่อนเถิด เรื่องทางนี้พี่กับอาเหิงจะจัดการต่อเอง” “แต่ท่านพ่อเจ้าคะ ข้ายังไม่อยากกลับ” หลี่น่าปฏิเสธทันที เพราะนางรู้มาจากคุณหนูหว่านว่าจะมีคณะแสดง มาจัดแสดง “มิได้! พ่อมิอยากให้เกิดเรื่องขึ้นอีก” น้ำเสียงเกรี้ยวโกรธของบิดา ทำให้หลี่น่ามิอาจขัดได้ จำใจต้องพยักหน้าและเตรียมตัวกลับเรือน “ข้ายังต้องดูแลท่านย่า อย่างไรข้าจะให้คนของข้าไปส่งที่เรือน” “เหอะ ทำดีหวังผล” “หลี่เอ๋อร์! ขอบใจท่านแม่ทัพยิ่งนัก” เข่อชิงปรามบุตรสาว ก่อนจะขอบใจชายหนุ่ม หวังหย่งจึงเรียกทหารในสังกัดของตนเอง มาคุ้มกันสตรีทั้งสามไปส่งถึงเรือนสกุลเหอ เมื่อไม่มีทางได้ดูการแสดงจากคณะแสดง หลี่น่าก็เดินคอตกกลับเรือนไป ท่าทีเหล่านั้นสร้างความขบขันให้หวังหย่งไม่น้อย ร่างสูงยืนมองสตรีทั้งสามจากไปจนลับตา ก่อนจะกลับเข้าไปหาท่านย่าของตน “อาหย่งมาแล้ว มาๆ มานั่งกับพวกหนุ่มสาวข้างๆ ย่านี่เถิด” “ขอรับ” หวังหย่งหันไปมอง ก็พบว่าเป็นใต้เท้าเถียนกับฮูหยินของเขา และมีคุณหนูฟ่งนั่งรวมอยู่ด้วย “เชิญท่านแม่ทัพ” ร่างสูงนั่งลงข้างฟ่งหยู่เยียน เพราะที่นั่งเหลือเพียงที่เดียว ก่อนทั้งสี่คนจะพูดคุยสนทนากัน ราวกับเมื่อครู่มิได้มีเรื่องถกเถียงกันมาก่อน ส่วนแม่ทัพใหญ่ของแคว้นก็เป็นผู้ฟังเสียมากกว่า “อ๊ะ สุราหมดแล้ว หยู่เยียนเจ้าไปเอาสุรากับข้าที” ว่าแล้วฮูหยินน้อยสกุลเถียนก็ดึงลากสหายออกไปเอาสุรา ทว่าเมื่อเอามาแล้ว เลี่ยงจินกลับทำตนลับๆ ล่อๆ ใส่ผงบางอย่างลงไปในสุราไหนั้น “เลี่ยงจิน เจ้าใส่อันใดลงไป” “เจ้าอย่ารู้เลย ทำตามที่ข้าบอกก็พอ แล้ววันพรุ่งสกุลจ้าวจะยกสินสอดไปกองหน้าเรือนเจ้า จนนับไม่หวาดไม่ไหว วิธีนี้ข้าก็เคยใช้กับท่านพี่เถียนอี้มาแล้ว ได้ผลชะงัด” หยู่เยียนทั้งเอ่ยห้าม ทั้งยื้อแย่งไหสุรา แต่เลี่ยงจินก็เอ่ยเพียงว่าหากนางไม่ทำอันใดเลย จะต้องเสียแม่ทัพจ้าวให้กับคุณหนูเหอผู้นั้นเป็นแน่ นางจึงยอมปิดปากเงียบ ทำตามที่สหายบอก “แม่ทัพจ้าวเบื่อหน่ายแล้วหรือเจ้าคะ เช่นนั้นไปเดินเล่นกับสหายข้าดีหรือไม่” สุราในไห ถูกรินให้ชายหนุ่มทั้งสองเพียงคนละสองจอก เลี่ยงจินก็เปิดทางให้สหายได้อยู่กับชายที่แอบรักตามลำพัง “ข้ายัง-” “ไปสิอาหย่ง ย่าเองก็จะกลับแล้ว เจ้าพาเยียนเอ๋อร์ไปเดินเล่น แล้วค่อยกลับเรือนเถิด” จ้าวผู่เยว่พยักพเยิดใบหน้า ให้หลานชายออกไปเดินเล่นกับว่าที่สะใภ้ที่นางหมายมั่นเอาไว้ “ก็ได้ขอรับ แต่เดือนนี้ทั้งเดือน ท่านย่าจะให้ข้าตามใจมิได้แล้วนะขอรับ” เขาตั้งกฎไว้แล้ว ว่าจะตามใจผู้เป็นย่าแค่เพียงเดือนละสองครั้งเท่านั้น ในเมื่อท่านย่าใช้สิทธิ์ครบแล้ว จะมาบีบบังคับเข้าเรื่องคุณหนูฟ่งมิได้อีก “รู้แล้วๆ ไปเถิด” หวังหย่งลุกขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะเอ่ยเชื้อเชิญฟ่งหยู่เยียนออกไปเดินเล่น ตามที่ท่านย่าขอ ชายหญิงเดินไปตามเส้นทางของสวนในเรือนสกุลหว่าน พูดคุยกันบ้าง มิให้บรรยากาศอึดอัดไปมากกว่านี้ “ที่สกุลจ้าวมีสวนดอกไม้หรือไม่เจ้าคะ” “คุณหนูก็เคยไปเยี่ยมท่านย่าอยู่บ่อยครั้งมิใช่หรือ” “แต่ข้ามิเคยเข้าไปในเขตเรือนส่วนตัวของท่าน” “เขตเรือนของข้ามีเพียงสระบัว อึก!” ความรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วทั้งตัวนี่คือสิ่งใดกัน “เป็นอันใดเจ้าคะ เหตุใดอยู่ๆ ถึงมีเหงื่อไหลออกมาเช่นนี้” มือบางเอื้อมไป หมายจะแตะวัดความร้อนในร่างกายของชายหนุ่ม ทว่ากลับถูกมือหนาปัดออกอย่างไม่ไยดี “ยะ อย่าเข้ามาใกล้ข้า แฮก! ฮึ! ขะ ข้าจะกลับเรือน” ความร้อนรุ่มและส่วนกลางกายที่ค่อยๆ ผงาดขึ้น ทำให้ชายหนุ่มเข้าใจทันทีว่าตนเองถูกยาปลุกกำหนัดเข้าเสียแล้ว “ให้ข้าไปส่งเถิดเจ้าค่ะ อาการท่านไม่ค่อยจะสู้ดีนัก”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม