“ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่เหิง ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ” หลี่น่ายื่นหน้าออกมาจากหน้าต่างของรถม้าคันหรู ทั้งยังโบกไม้โบกมือให้ครอบครัว ที่กำลังกวาดลานหน้าเรือนอยู่
เกวียนขนของและรถม้าคันหรู เคลื่อนเข้ามาจอดในลานกว้างหน้าเรือนสกุลเหอ เข่อซิงเองก็นึกแปลกใจที่บุตรสาวนั่งรถม้าเข้ามา ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม เจ้าของรถม้าก็ปรากฏกายขึ้น
“มะ แม่ทัพใหญ่! บุตรสาวข้าไปสร้างเรื่องเดือดร้อนหรือ”
“ท่านแม่ทัพโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ” สองสามีภรรยาต่างก้มคำนับต่อแม่ทัพใหญ่ของแคว้นอย่างหวาดกลัว หลี่น่าได้แต่ยืนงงกับท่าทางของบิดาและมารดา
นางมิได้ทำสิ่งใดผิดเสียหน่อย
“ท่านพ่อท่านแม่ ข้ามิได้สร้างเรื่องนะเจ้าคะ”
“เจ้าเงียบเสีย ท่านแม่ทัพโปรดเห็นใจนางเถิดขอรับ น้องสาวข้าผู้นี้ผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมามาก รอดตายมาได้ก็จดจำสิ่งใดมิได้ แม้แต่นามของตน ไหนจะพูดจากพิลึกพิลั่นนี่อีก เห็นแก่ว่านางวิปลาสเถิดขอรับ”
“โอ้ยยยย พี่เหิงคิดว่าข้าบ้าหรือ แม่ทัพจ้าว! ท่านพูดสิ่งใดบ้างเถิด”
“ท่านเหอ ฮูหยิน คุณชาย ข้าเพียงนำไหและจอกสุราที่คุณหนูเหอต้องการมาให้เท่านั้น” เสียงนิ่งทรงพลัง ทำให้คนสกุลเหอทั้งสาม หยุดโวยวายลงได้ แต่มิวายหันมาหาหลี่น่าดั่งต้องการคำอธิบาย
“คือข้าบังเอิญพบแม่ทัพจ้าวที่ตลาด เขาเอ่ยว่าที่เรือนมีไหสุราและจอกสุราที่ไม่ได้ใช้จำนวนมาก ท่านแม่ทัพจึงให้เราเปล่าๆ เจ้าค่ะ”
“เรื่องเป็นเช่นนี้เองหรือ แหะๆ ถ้าอย่างนั้นต้องขอบใจท่านแม่ทัพมาก เชิญท่านนั่งพักทางนี้ก่อนเถิด ประเดี๋ยวข้าและบุตรชายจะรีบขนของลง”
“ท่านเหออย่าได้ลำบาก เรื่องนี้ให้บ่าวไพร่จัดการ…พวกเจ้าขนของลงให้เรียบร้อย”
“ขอรับท่านแม่ทัพ” เมื่อได้รับคำสั่ง บ่าวไพร่เรือนแม่ทัพก็เร่งมือขนของต่างๆ ลงจากเกวียน
“เชิญท่านแม่ทัพทางนี้เถิดขอรับ หลี่เอ๋อร์ไปเอาสุราหวานมาให้แม่ทัพจ้าวลองชิม” หญิงสาวพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะไปนำสุราหวานที่นางทำไว้มาให้ท่านแม่ทัพได้ลอง
ไม่นาน หลี่น่าและเอินเอินก็กลับมาพร้อมกับสุราหวานและกับแกล้มสองสามอย่าง
“ท่านแม่ทัพลองชิมดูเถิด รสดียิ่งนัก” เหอเข่อซิงรินสุราหวานให้หวังหย่งหนึ่งจอก มือหนาก็ยกขึ้นมาดมเล็กน้อย ก่อนจะดื่มลงไป
“อืม ข้ามิเคยดื่มสุราที่มีรสเช่นนี้มาก่อน”
“เป็นอย่างไรเจ้าคะ…” ใบหน้าคาดหวังของอีกฝ่าย ทำให้หวังหย่งที่มิคิดจะพูดสิ่งใดต่อ ต้องเอ่ยขยายความให้ยาวขึ้น
“รสดียิ่ง มิขม แต่สุราก็มีฤทธิ์แรงใช้ได้”
“ข้าเลือกที่มีฤทธิ์แรงมาให้พวกท่านลองดื่ม หากว่าขายให้กับสตรี ข้าจะนำสุราหวานที่มีฤทธิ์ไม่แรงมากมาให้พวกนางได้ชิม” หลี่น่าเอ่ยอธิบายก่อนจะรินสุราให้บิดา พี่ชาย และท่านแม่ทัพมิขาด
ครอบครัวสกุลเหอพูดคุยอย่างสนุกสนานกับหวังหย่ง ทั้งสนทนาเรื่องบ้านเมือง เรื่องความเป็นอยู่ หรือแม้แต่เรื่องตลกขบขันภายในเรือน ต่างถูกถ่ายทอดออกมาจากปากของนายท่านเหอและบุตรชาย คงเพราะมิได้สังสรรค์กับบุรุษด้วยกันมานาน จึงได้สนุกสนานเช่นนี้
“เอ่อ ข้าขอใช้ห้องสุขาได้หรือไม่” หวังหย่งเอ่ยขึ้นกลางวง ดูเหมือนว่าบุรุษสกุลเหอจะมึนเมา จนมิอาจครองสติไว้ได้ เหิงเยว่ถึงขั้นนอนฟุบลงไปกับโต๊ะเสียแล้ว
“หลี่เอ๋อร์ เจ้านำทางท่านแม่ทัพทีเถิด แม่กับเอินเอินจะช่วยกันพาบิดาและพี่ชายของเจ้าเข้าไปนอน”
“เจ้าค่ะท่านแม่ เชิญท่านทางนี้” หวังหย่งเดินตามหลี่น่าเข้าไปในตัวเรือน ดวงตาดุจพยัคฆ์กวาดมอง เรือนหลังใหญ่ที่โล่งโจ้ง ไม่มีแม้แต่ข้าวของเครื่องใช้ ที่สมควรถูกประดับไว้ในเรือน
ที่เขาว่าสกุลเหอล่มจมจนมิเหลือซาก มิเกินจริงแม้แต่น้อย
“ห้องนี้หรือ”
“มิใช่เจ้าค่ะ ห้องนี้เป็นห้องตำราของท่านพ่อ” หลี่น่าเดินไปได้ไม่นาน ชายหนุ่มก็ทักขึ้นมาอีก
“หรือว่าจะเป็นห้องนี้”
“นั่นเป็นห้องเก็บป้ายวิญญาณของบรรพชนเจ้าค่ะ”
“อีกไกลหรือไม่”
“เดินเลี้ยวไปทางซ้ายก็จะถึงแล้ว อยู่ติดกับห้องนอนของพี่เหิงพอดี ท่านทนมิไหวแล้วหรือเจ้าคะ คิกๆ” หญิงสาวปิดปากขำ จนดวงตาที่กลมโตหยีลงอย่างน่ารัก
“อะฮึ่ม!” สตรีตรงหน้ายามยิ้มขบขำเช่นนี้ ช่างน่าเอ็นดูนัก ทั้งที่นางมิได้งามล่มเมือง รูปร่างก็มิได้เอวบางร่างน้อยอย่างสตรีงามผู้อื่น ทว่าส่วนเว้นส่วนโค้งกลับดึงดูดสายตาให้จับจ้อง มิรู้เบื่อ
“ถึงแล้วเจ้าค่ะ”
“อืม เจ้าออกไปรอด้านนอกก็ได้ ข้าจำทางได้แล้ว”
“ท่านปวดหนักหรือ คึๆ” ท่าทีป้องปากกระซิบ พร้อมกับสายตาที่หยอกล้อ ทำเอาหวังหย่งถึงกับหน้าตึง แต่ยังมิทันได้เอ่ยเตือน อีกฝ่ายก็หนีหายไปเสียก่อน
หวังหย่งเข้าไปในห้องสุขาเพียงชั่วครู่ ก็เดินย่องออกมา ดวงหน้าคมหันซ้ายหันขวา เพื่อดูให้แน่ใจว่ามิมีผู้ใดอยู่บริเวณนี้ ร่างสูงรีบเดินไปยังห้องตำราของเรือน
หากว่าจะหาเอกสารสำคัญ ย่อมต้องหาในห้องตำราเป็นที่แรก
“ท่านแม่ทัพทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ” ยังไม่ทันที่หวังหย่งจะเปิดเข้าไปในห้องตำรา ก็ถูกหลี่น่าเอ่ยถามขึ้นเสียก่อน
“เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้า- ข้าหลงทางน่ะ” ขออภัยที่ข้าต้องโป้ปดเจ้า
“ฮ่าๆ ข้าว่าแล้ว ท่านปวดหนักจนไม่ได้มองทางล่ะสิ มาทางนี้เจ้าค่ะ” สีหน้ายิ้มแย้มของหญิงสาว ทำให้หวังหย่งโล่งใจว่าคงไม่ถูกสงสัย เขาจึงรีบเดินตามร่างอ้อนแอ้นออกไปนอกเรือนทันที หากว่ากระทำการอันใดไปมากกว่านี้ จะต้องถูกจับได้เป็นแน่
“วันนี้ข้าขอตัวกลับก่อน”
“เจ้าค่ะ ข้าต้องขอบคุณท่านเรื่องไหสุราและจอกสุรานะเจ้าคะ อีกไม่กี่วัน ข้าจะเปิดร้านสุราหวาน ท่านต้องมานะเจ้าคะ”
“หากว่ามิติดกิจธุระอันใด ข้าจะไป” ชายหนุ่มจดจ้องไปยังใบหน้ากลมมน
“ท่านต้องมาให้ได้นะ สหายย่อมต้องสนับสนุนกัน อีกอย่างข้ามีท่านเป็นสหายเพียงคนเดียว หากท่านไม่มา ข้าคงเศร้าใจนัก” หลี่น่าตีหน้าเศร้าเกินจริง จนคนตรงหน้ากระตุกยิ้มมุมปาก แม้จะเป็นเพียงการเคลื่อนไหวเล็กน้อย แต่หลี่น่าก็เห็นมันอย่างชัดเจน
“ข้ากับเจ้า เราเป็นสหายกันตั้งแต่เมื่อใด”
“ก็เจอกันตั้งสองครั้งสองครา ข้ารู้จักนามของท่าน ท่านก็รู้จักนามของข้า อีกอย่างเราทั้งคู่ต่างเคยไปเที่ยวเล่นที่เรือนของอีกฝ่ายแล้ว ย่อมต้องเป็นสหายกัน”
“อย่างนั้นหรือ ข้ามิรู้มาก่อนว่าสหายเขาเป็นกันง่ายถึงเพียงนี้”
“หากจะให้เอ่ยตามตรง นอกจากครอบครัว คนที่พูดดีกับข้าและช่วยเหลือข้าเสมอก็มีแต่ท่าน ข้าจึงอยากจะเป็นสหายกับท่านอย่างไรเล่า”
“…”
“ข้าอาจจะดูเชื่อใจผู้อื่นง่ายเกินไป แต่ข้าเหมือนคนตายแล้วเกิดใหม่ เรื่องราวก่อนหน้ามิอาจจดจำได้ ใครดีมาข้าจะดีตอบ ข้าคิดเพียงเท่านั้น” หลี่น่ามองชายตรงหน้าอย่างจริงใจ หวังให้เขารู้ว่านางอยากเป็นสหายกับเขาจริงๆ
“…อืม แล้วพบกันที่ร้านของเจ้า” หวังหย่งเอ่ยเพียงเท่านั้น ก็ขึ้นรถม้ากลับเรือนไป
.
.
“ได้สิ่งใดมาบ้างขอรับท่านแม่ทัพ”
“มิได้ ข้าเพียงไปดูลาดเลาเท่านั้น รู้แค่ตำแหน่งที่ตั้งของห้องหับต่างๆ ยังมิได้สิ่งใดเพิ่มเติม”
“แล้วเหตุใดท่านจึงเคร่งเครียดเช่นนี้ขอรับ” เขาอยู่กับท่านแม่ทัพมาตั้งแต่เด็ก มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพรู้สึกเช่นไรอยู่
“ข้าเพียง…” กลัว…กลัวว่าจะต้องทำลายความเชื่อใจของใครบางคน