หลังจากที่ขอให้ท่านลุงเหวินจงหมักสุราไว้ให้ หลี่น่าก็กลับมาพักที่เรือนอย่างสบายใจกับผีน่ะสิ!
นับจากที่ตัดสินใจว่าจะนำสุราหวานไปวางขาย หลี่น่าก็ไม่ได้หยุดพักหายใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งเรื่องเครื่องมือเครื่องใช้ ทั้งเรื่องวิธีการทำ ก็มีปัญหาเข้ามาไม่เว้นแต่ละวัน
“จะทำอย่างไรดีเจ้าคะคุณหนู” หลี่น่ากำลังตักชิมน้ำผลไม้ที่นางคั้นเอาไว้เมื่ออาทิตย์ก่อน ก็พบว่าน้ำเหล่านั้นทำท่าคล้ายจะเน่าเสีย รสชาติและกลิ่นต่างแปลกไป
“เพราะไม่มีตู้เย็น เลยเป็นเช่นนี้”
“เอ่อ อันใดคือตะ ตู้เย็นเจ้าคะ”
“เป็นที่ที่เย็นมากๆ ใช้เก็บของมิให้เน่าเสียน่ะ” หลี่น่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ เสียดายน้ำผลไม้ที่คั้นไว้ เห็นทีจะต้องทิ้งแล้วทำใหม่
“…”
“นำไหที่เสียไปทิ้งเถิด แล้วคั้นใหม่ ข้าจะลองไปถามท่านพ่อดูว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร” ครอบครัวของนางเป็นสกุลพ่อค้า คงจะมีวิธีการเก็บสินค้าให้สดใหม่อยู่เสมอ
“ได้เจ้าค่ะ” แม้เอินเอินจะเสียดายมากเท่าใด แต่ก็จำใจต้องเทน้ำผลไม้พวกนั้นทิ้ง
.
.
หลังจากครอบครัวสกุลเหอทานมื้อเย็นเสร็จ ก็พากันมานั่งเล่นพูดคุยกันที่ศาลาหลังเรือน เป็นโอกาสให้หลี่น่าได้ถามไถ่วิธีแก้ปัญหากับบิดา
“ท่านพ่อเจ้าคะ ข้าติดปัญหาเจ้าค่ะ ข้ามิรู้ว่าจะเก็บน้ำผลไม้ไว้ที่ใด มันจึงมิเน่าเสีย”
“ที่เจ้าทำมามันเน่าเสียหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ คั้นไว้ได้ไม่ถึงสัปดาห์” หลี่น่าเบะปากอย่างขัดใจ
“แท้จริงแล้วเจ้าควรจะคั้นสด ทำวันนี้ ดื่มพรุ่งนี้ แต่หากว่าอยากเก็บไว้ บ้านเราก็มีห้องใต้ดินอยู่ อาจจะพอนำไปเก็บในนั้นได้” เมื่อก่อนยามที่เขาขายสินค้าพวกของสด เขาก็มีห้องเย็นเก็บของสดเช่นกัน แต่ตอนนี้สถานที่นั้นถูกเจ้าหนี้ยึดไปเสียแล้ว คงจะเหลือเพียงห้องใต้ดินของเรือนที่พอจะใช้แทนกันได้
“จริงหรือเจ้าคะ เช่นนั้น พอใกล้วันที่จะนำออกขาย ลูกค่อยนำผลไม้มาคั้นแล้วเก็บไว้ในห้องใต้ดินดีกว่า เท่านี้ก็คงไม่มีปัญหาแล้ว” นางก็ลืมไปว่า ยุคสมัยนี้ไม่มีเครื่องทำความเย็น หรือสารกันเสียที่จะช่วยยืดเวลาของอาหารได้
“อ่อ หลี่เอ๋อร์ ที่เจ้าวานพี่ไปถามเรื่องราคาน้ำตาลที่ร้านค้า พี่ถามมาให้เจ้าแล้วนะ” เหิงเยว่ยกชาขึ้นดื่ม พลางเอ่ยพูดกับน้องสาวไป
“เป็นอย่างไรเจ้าคะ”
“ราคาแพงยิ่งนัก เพียงจินเดียวต้องจ่ายถึงยี่สิบอีแปะ”
“หากเรานำมาใช้ปรุงอาหาร ราคานี้ก็พอจะจ่ายได้ แต่หากเอามาทำน้ำเชื่อม คงจะไม่ไหวเจ้าค่ะ” หากว่าจะนำมาทำเป็นน้ำเชื่อม ต้องใช้น้ำตาลจำนวนมาก จะต้องใช้ต้นทุนมากนัก คงได้ไม่คุ้มเสียกระมัง อีกอย่างนางพึ่งจะเริ่มกิจการ
“หากเจ้าต้องการไม่มาก ที่เรือนของเราก็พอจะมีอยู่บ้าง หรือไม่เจ้าก็นำเงินที่แม่หามาไปใช้ก่อนเถิด”
“ขอบพระคุณท่านแม่เจ้าค่ะ แต่ข้าขอรับไว้เพียงน้ำตาลที่เรือนเรามีอยู่ก็พอแล้ว” จะเอาเงินที่ท่านพ่อท่านแม่หามาเป็นค่ากินค่าอยู่ของครอบครัว มาลงทุนทั้งหมดมิได้
“แล้วถ้าขาดน้ำตาลไป จะทำให้สุราหวานของเราเสียรสชาติหรือไม่” เหิงเยว่เอ่ยด้วยความกังวล
“ข้าคิดว่า…เราอาจต้องทำไปสองแบบให้ลูกค้าได้ลองชิมก่อน มีไหที่มีรสหวานเด่นชัด กับอีกไหมีรสหวานติดปลายลิ้นนิดๆ บางคนก็ไม่ได้ชอบรสหวานมากนัก อีกอย่างผลไม้ของเราก็มีรสหวานติดอยู่แล้ว อย่างพวกผูเถา (องุ่น)”
“เช่นนั้นก็เอาตามที่เจ้าว่า แต่อย่าลืมนำมาให้พี่ชิมก่อนเล่า ฮ่าๆ” เข่อซิงและซูเจินหัวเราะ พร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วยกับบุตรชาย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะกลับไปดื่มสุราทั่วไปมิได้อีกแล้ว
“คุณหนู ที่คุณหนูบอกจะถามเรื่องภาชนะกับนายท่านเล่าเจ้าคะ”
“จริงสิ ข้าลืมไปเลย…ท่านพ่อเจ้าคะ ที่เรือนเรามีไหสุราหรือจอกสุราหรือไม่” หลี่น่าพูดคุยกับสาวใช้ ก่อนจะหันไปถามผู้เป็นบิดา
“เมื่อก่อนพ่อก็สังสรรค์บ่อยครั้ง แต่ก็ให้บ่าวไพร่ทิ้งไหไปจนหมด ส่วนจอกสุรา พ่อก็ขายให้โรงสุราแล้วนำเงินมาใช้จ่ายหมดแล้ว” พูดถึงเรื่องนี้เข่อซิงก็อับอายยิ่งนัก เขายากจนถึงขั้นต้องขายจอกสุราแลกเงิน
“มิเป็นไรเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ข้าจะลองไปถามที่ตลาด ว่าพวกเขาพอจะมีจอกสุราเก่าหรือไม่ เขาคงมิคิดราคาแพงนัก” อยู่พูดคุยกันไม่นาน ครอบครัวสกุลเหอก็พากันกลับเข้าไปนอนพัก เพราะวันพรุ่งแต่ละคนก็ต่างมีหน้าที่ที่ต้องไปทำ
เช้าวันรุ่งขึ้นหลี่น่าลุกขึ้นมาออกกำลังกายตามปกติ ก่อนจะมาท่านมื้อเช้าและไปจัดการเรื่องการขนน้ำผลไม้ไปไว้ในห้องใต้ดิน ด้วยมิอยากจ้างคนงานมาจัดการ หลี่น่ากับเอินเอิน จึงจัดการขนไหน้ำผลไม้ยังไม่เน่าเสียมาไว้ในห้องใต้ดินด้วยตนเอง
“เห้อ! กว่าจะเสร็จ เล่นเอาเหนื่อยแทบแย่”
“จริงเจ้าค่ะ แหะๆ”
“ทนเอาหน่อยนะเอินเอิน หากว่าเราขายสุราหวานได้ดีตามที่คาดไว้ ครอบครัวเราก็จะมีกินมีใช้ มีเงินไว้จ่ายหนี้สินที่ติดค้างอยู่” หลี่น่าลูบศีรษะเล็กของคนสนิท
“บ่าวทนไหวเจ้าค่ะ สงสารก็แต่พวกท่าน ที่ต้องมาลำบากเช่นนี้”
“อย่าคิดอันใดให้มากความเลย ข้าว่าเราไปทำมื้อเที่ยงไว้รอทุกคนเถิด ช่วงบ่ายเราจะต้องออกไปหาภาชนะใส่สุราหวานของเราเสียที” ว่าแล้วสองนายบ่าวก็พากันเข้าครัว แม้ว่าหลี่น่าจะทำสิ่งใดไม่เป็น แต่ก็พอช่วยหยิบจับนู่นนี่ได้
.
.
“เราจะเริ่มจากที่ใดก่อนดีเจ้าคะ” หลังจากทานมื้อเที่ยง หลี่น่าก็ขออนุญาตบิดามารดาออกมาหาไหและจอกสุราเก่า
“ข้าจะลองไปถามโรงน้ำชาดูก่อน” หากว่าไปถามร้านขายสุรา แล้วเรานำไหเหล่านั้นมาขายสุราแข่งกับเขา มันดูน่าเกลียดเกินไปหน่อย
“เถ้าแก่เจ้าคะ ที่ร้านพอจะมีไหหรือจอกชาเก่าที่ไม่ใช้แล้วหรือไม่เจ้าคะ พอดีข้าอยากจะซื้อไว้”
“ขออภัยคุณหนู ของพวกนั้นข้ายังพอใช้ได้อยู่”
“แล้วเถ้าแก่พอจะมีร้านขายของพวกนี้ ราคาถูกๆ แนะนำให้ข้าหรือไม่”
“อ่า ท่านลองไปร้านนั้นดู เผื่อว่าจะมี” หลี่น่ามองตามมือที่เถ้าแก่ชี้ ก่อนจะก้มคำนับแล้วเดินไปถามร้านที่ว่า แต่เมื่อเข้าไปถาม ราคากลับแพงเกินกว่าที่นางจะจ่ายไหว
ร้านแล้วร้านเล่าที่หลี่น่าและเอินเอินเข้าไปสอบถาม บ้างก็ราคาแพงเกินไป บ้างก็ไม่มีของขาย จนสองนายบ่าวถอดถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า ที่สุดท้ายที่เหลืออยู่ คือร้านสุรา
หญิงสาวยืนอยู่หน้าร้าน กำลังตัดสินใจว่าควรจะเข้าไปขอซื้อไหและจอกสุราเก่าดีหรือไม่ แต่ยังไม่ทันได้ตัดสินใจ…
“วันนี้คุณหนูเหอก็มาซื้อสุราเพียงจอกเดียวอีกแล้วหรือขอรับ” เป็นรองแม่ทัพหยวนที่เอ่ยทัก ส่วนอีกคนก็ทำหน้านิ่งไร้อารมณ์เช่นเดิม เป็นสหายที่ไม่ได้ความเสียจริง ไม่ยอมทักทายกันแม้แต่น้อย
“มิได้เจ้าค่ะ วันนี้ข้ามาหาซื้อไหและจอกสุราเก่า แต่เดินหาจนทั่วแล้วก็ยังไม่ได้ จึงมาที่ร้านนี้เจ้าค่ะ”
“จอกสุราเก่าหรือ ที่เรือนข้ามีมากนัก” จ้าวหวังหย่งเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ ต่างจากหลี่น่าที่กระตือรือร้นขึ้นมาทันใด
“จริงหรือเจ้าคะ ทะ ท่านขายให้ข้าสักนิดได้หรือไม่” หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้แม่ทัพใหญ่อีกก้าว
“หากว่ามิได้เอาไปทำเรื่องไม่ดี ข้าจะยกให้เปล่า”
“ข้าทำเรื่องดีเจ้าค่ะ เอ่อ…ข้าจะเปิดร้านสุราหวานเจ้าค่ะ” มือขาวยกขึ้นมาป้องปาก กระซิบกระซาบเสียงเบา มิให้ผู้อื่นได้ยิน
“เช่นนั้นหรือ เอาไว้ข้าจะส่งไปให้ที่เรือนเจ้า”
“ประเดี๋ยวเจ้าค่ะ ข้าขอไปเลือกเองได้หรือไม่ นะ นะ ข้าจะได้เลือกเอาแค่ที่จำเป็นอย่างไรเจ้าคะ” เพราะเคยชินกับการอยู่ใกล้ชิดกับบิดาและพี่ชาย หลี่น่าจึงเผลอเกาะแขนแกร่งเสียแน่น ทั้งยังส่งสายตาออดอ้อน จนคนมองเสียอาการ
“อะแฮ่ม! เช่นนั้นก็กลับเรือน ฮุ่ยหวง…” เพียงแค่สายตาที่ส่งมา ก็ทำให้รองแม่ทัพเข้าใจอย่างถ่องแท้ จึงได้แยกตัวออกไปอีกทาง
หวังหย่งพาหลี่น่าและเอินเอินมาที่เรือนของตน ก่อนจะพาไปเลือกไหสุราและจอกสุราตามที่หญิงสาวต้องการ ยังดีที่วันนี้ท่านย่าของเขาไม่อยู่เรือน หากไม่แล้ว คงต้องเอ่ยอธิบายเสียยาวเหยียดเป็นแน่
“เจ้าเลือกเอา อยากได้อันใดก็บอกบ่าวไพร่” หวังหย่งให้บ่าวไพร่เปิดหีบไม้ที่ใช้เก็บจอกสุรา ให้หญิงสาวดู
“นี่…เหมือนของใหม่เลยนะเจ้าคะ” ทั้งลวดลายและรูปลักษณ์ของจอกสุรา ไม่แตกหักหรือมีรอยร้าวสักนิด
“เอาไปเถิด เรือนข้ามีมาก มิได้ใช้งาน จนต้องนำมาเก็บที่ห้องเก็บของนี่อย่างไรเล่า”
“อ่า~ มิใช่ว่าพึ่งให้คนไปซื้อมาใหม่ เพื่อเอาใจข้าหรอกนะเจ้าคะ”
ตุบ! จอกเหล้าในมือของชายหนุ่มหล่นลงกับพื้น ยังดีที่พื้นของห้องเก็บของมีฟางปูเอาไว้ จอกสุราจึงไม่แตก
“อะฮึ่ม! เหตุใดข้าต้องทำเช่นนั้นด้วย ตกลงเจ้าจะเอาหรือไม่”
“ฮ่าๆ ใจเย็นก่อนเจ้าค่ะ ข้ากำลังจะเลือกแล้ว” หลี่น่าหัวเราะร่า ก่อนจะกวักมือเรียกเอินเอินมาเลือกจอกสุราที่ต้องการ
จอกสุราที่นางเลือกจะเน้นให้เป็นจอกสุราสีขาวเป็นหลัก เพราะหากนำสาโทมาผสมกับน้ำผลไม้แล้ว จะได้สีตามน้ำผลไม้นั้นๆ หากใช้จอกสุราสีขาวจะช่วยให้เห็นสีสันของสุราหวานได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ส่วนไหสุรา เรือนแม่ทัพใหญ่ก็มีให้นางเลือกเช่นกัน แม้เจ้าตัวจะบอกว่าเป็นไหสุราเก่า ทว่าดูจากสภาพแล้ว จะว่าพึ่งซื้อมาก็ไม่ผิดอันใด
เป็นสหายที่ดีเสียจริง มาช่วยยามที่ลำบากทุกครั้งเลย
“เท่านี้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
“คุณหนูควรพอตั้งนานแล้วเจ้าค่ะ เราไม่ได้นำเกวียนมาด้วยนะเจ้าคะ” เอินเอินบ่นอุบผู้เป็นนาย นางห้ามตั้งหลายครา แต่คุณหนูกลับเอ่ยว่ายังไม่พอ ยังต้องใช้อีกมาก
“แหะๆ แม่ทัพจ้าว นี่เงินค่าของเหล่านี้เจ้าค่ะ” สิ่งของมากมาย ทั้งยังคุณภาพดี จะไม่ให้เงินสักตำลึง คงจะน่าเกลียดเกินไป
“มิต้อง ข้าบอกแล้วว่าจะให้เปล่า แต่เจ้าจะขนกลับเรือนอย่างไร”
“เอ่อ ข้าอาจจะต้องกลับเรือนก่อน แล้วให้พี่เหิงมาช่วยขนเจ้าคะ” หลี่น่ายิ้มแห้ง นางเลือกจนไม่คิดถึงยามที่ต้องนำกลับเรือน
“เช่นนั้นให้ข้าไปส่งเจ้าที่เรือนดีหรือไม่” น้ำเสียงยังคงนิ่งเรียบเช่นเคย ทว่าสายตาที่ชายหนุ่มส่งมา ราวกับต้องการบอกนางว่า…ตอบตกลงเสีย