หลังจากใช้ชีวิตในฐานะคุณหนูสกุลเหอได้กว่าสิบวัน หลี่น่าก็พบว่า นางเป็นที่รักของคนทั้งเรือน แม้ว่าทั้งเรือนจะมีกันอยู่เพียงห้าคนก็เถอะ
ทุกคนดูแลเอาใจใส่นางเป็นอย่างดี วันๆ หลี่น่าแทบมิได้ทำสิ่งใด เพราะบิดาอยากให้นางพักจนหายดีเสียก่อน นางจึงได้แต่ศึกษาเรื่องราวต่างๆ ในยุคนี้ ทั้งการพูด การแสดงกิริยาท่าทาง และศึกษาตำราต่างๆ ที่มี นอกจากจะศึกษาเรื่องพวกนี้แล้ว นางยังออกกำลังกายอยู่ในห้องเป็นประจำ
“แฮกๆ เหนื่อย…นับถือคนที่ออกกำลังกายทุกวันจริงๆ” ในชีวิตก่อน หลี่น่าเป็นคนที่กินเท่าไร น้ำหนักก็ไม่เพิ่ม นางจึงออกกำลังกายบ้าง ไม่ออกบ้าง แต่จะเน้นหนักไปที่ศิลปะการต่อสู้มากกว่า จึงพอจะต่อยตีได้ดีทีเดียว
ร่างท้วมนอนแผ่หราอยู่กับพื้นห้อง แม้จะเหนื่อย แต่นางก็ต้องออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพและความคล่องตัวของตนเอง ยังดีที่ร่างนี้เพียงอวบอ้วนเล็กน้อย จึงสามารถลดน้ำหนักได้ง่าย แต่หลี่น่าเองก็ไม่ได้คิดจะลดน้ำหนัก เสียจนผอมแห้งจนคนคิดว่าเป็นผู้ชายเหมือนในชีวิตก่อน
“ลดนิดหน่อยก็พอ เน้นให้มีส่วนเว้าส่วนโค้งเสียหน่อย” หญิงสาวลุกขึ้นมาหมุนซ้ายหมุนขวา มองรูปร่างของตนเองอยู่หน้ากระจก
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“คุณหนูเจ้าคะ ถึงเวลาทานมื้อเช้าแล้วเจ้าค่ะ”
“ข้ากำลังจะออกไป…ค่อยกลับมาอาบน้ำแล้วกัน” หลี่น่าได้ยินเสียงบ่าวคนสนิท ก็รีบหยิบผ้ามาซับเหงื่อไคล ก่อนจะรีบไปร่วมโต๊ะอาหาร
บนโต๊ะอาหารมีท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ชาย และนาง ร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน ข้างๆ ก็มีเอินเอินที่รอปรนนิบัติผู้เป็นนายอยู่ หลี่น่าคีบอาหารทานได้สักพัก ก็วางตะเกียบลง
“อาหารไม่ถูกปากหรือหลี่เอ๋อร์ของพ่อ หลายวันมานี้เจ้าทานได้น้อยนัก”
“นั่นสิลูก หรือว่าเจ้ามีเรื่องให้ทุกข์ใจ” ซูเจินยื่นมือไปกอบกุมมืออวบของบุตรสาว
“มิได้เจ้าค่ะ ช่วงนี้ข้าตั้งใจจะลดน้ำหนักเจ้าค่ะ ข้าอวบอ้วนเกินไป เดินเหินไม่คล่องตัวเสียเลย”
“มิเห็นจะเป็นอันใด พี่ชอบที่เจ้าอวบอ้วนเช่นนี้ แคกๆ” เหิงเยว่เคี้ยวข้าวไปก็พูดคุยกับน้องสาวไป จนสำลักหน้าดำหน้าแดง ซูเจินจึงต้องหันมาลูบหลังบุตรชายแทน
“พ่อเห็นด้วยกับพี่ชายเจ้านะ หลี่เอ๋อร์ของพ่อดูมีน้ำมีนวล น่ารัก น่าชังไปหมด” ว่าแล้ว มือที่เริ่มเหี่ยวย่นของเข่อซิง ก็คีบเนื้อไก่ตุ๋นไปวางบนจานข้าวบุตรสาว
“เจ้าค่ะๆ แต่ข้าคิดว่าอย่างไรก็ต้องลด เพื่อสุขภาพ อย่างน้อยก็ลดความเสี่ยงที่จะเป็นความดัน เบาหวาน ปวดเมื่อย หัวใจ-”
“พอก่อนๆ พี่ฟังเจ้าไม่ทันแล้ว เอ่ยออกมาแต่ละคำ ล้วนฟังมิได้ความ”
“เอาเป็นว่าข้าต้องลดน้ำหนักลงอีกนิดเจ้าค่ะ” นับจากที่หลี่น่าฟื้นขึ้นมาครานี้ ก็มีท่าทีแปลกไป จากพูดน้อย ก็กลายเป็นช่างพูดช่างจา เดิมทีเรียบร้อยอ่อนหวาน กลับดูมีชีวิตชีวาขึ้น
ทว่าทุกคนในครอบครัวก็มิได้เอ่ยถามสิ่งใดออกไป แม้จะสงสัยมากก็ตาม ต่างคนต่างคิดว่าเรื่องที่คนรักของนางหนีไปแต่งกับสตรีอื่น คงกระทบกระเทือนจิตใจของนาง จนทำให้กลายเป็นเช่นนี้
“แม่ตามใจเจ้า…ท่านพี่ อาเหิงรีบทานเข้าเถิด แม่จะรีบไปปักผ้า ต้องนำไปส่งที่ร้านภายในวันนี้” เมื่อฮูหยินของเรือนว่าดังนั้น ทุกคนก็รีบลงมือทานอาหารต่อ มีเพียงหลี่น่าที่ยิ้มกริ่มอยู่กับตนเอง
“ท่านแม่เจ้าขา ลูกไปส่งผ้าให้ท่านแม่ดีหรือไม่” ท่าทีออดอ้อนอย่างลูกแมวตัวน้อย ทำเอาซูเจินหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆ เจ้าอยากไปอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ ข้าอยากไปเที่ยวชมตลาดด้วย อีกอย่างข้าอยากช่วยแบ่งเบาภาระพวกท่าน อยู่แต่ในเรือนเช่นนี้ เหมือนข้าเป็นบุตรอกตัญญู”
“เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น พ่อและทุกคนเพียงเป็นห่วงเจ้า”
“ตอนนี้ข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะ ขอข้าไปนะเจ้าคะ” ตากลมกะพริบปริบๆ ออดอ้อนขอความเห็นใจ
“ก็ได้ๆ เอินเอินดูแลนายเจ้าให้ดี” สุดท้ายก็ทนต่อน้ำเสียงและท่าทีออดอ้อนของบุตรสาวไม่ไหว นายท่านของเรือนจึงต้องเอ่ยอนุญาตออกไป
“บ่าวจะดูแลคุณหนูด้วยชีวิตเจ้าค่ะ”
.
.
“อืม ลายปักงดงามนัก สมเป็นฮูหยินเหอ” ท่านยายสวี เจ้าของร้านผ้าพยักหน้าอย่างพอใจ หากนำไปขายให้คุณหนูสกุลใหญ่ คงได้มาหลายตำลึงเงินเป็นแน่ คิดได้ดังนั้น มือเหี่ยวย่นก็หยิบเงินขึ้นมาสองร้อยอีแปะ เป็นค่าจ้างสำหรับลายปักบนอาภรณ์ผืนหรูนี้
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ เอินเอินไปกันเถิด” หลี่น่าก้มคำนับตามที่ท่านแม่สอน ก่อนจะเรียกสาวใช้ให้เดินตาม
“เจ้าค่ะ” เอินเอินก้าวเท้าตามไปได้เพียงสามก้าว คุณหนูของนางก็หยุดเดิน ทั้งยังเอ่ยขึ้นเสียงดัง
“เอินเอิน ข้าว่าเราให้ท่านแม่เปลี่ยนไปปักผ้า ให้กับร้านตรงข้ามดีหรือไม่ เมื่อครู่ป้าเจ้าของร้านเห็นลายปักของท่านแม่แล้วถูกใจ บอกว่าลายปักงดงามเช่นนี้ ร้านของนางให้ถึงเจ็ดร้อยอีแปะเชียวนะ” หลี่น่าว่า พลางขยิบตาให้คนสนิท
“…เอ๊ะ! แต่เรา-” เอินเอินยกมือขึ้นเกาหัวอย่างงุนงง มิใช่ว่าเมื่อครู่นางพาคุณหนูตรงมาที่ร้านนี้เลยหรือ ทั้งตั้งแต่ออกจากเรือนมา ยังไม่ได้สนทนากับผู้ใดแม้แต่น้อย
“คะ คุณหนูเหอๆ ขะ ข้าหยิบเงินผิด ยังเหลือส่วนนี้อีก” ยังไม่ทันที่เอินเอินจะเอ่ยค้าน ยายเฒ่าร้านปักผ้าก็รีบคว้าเงินมาให้หลี่น่าอีกแปดร้อยอีแปะ รวมแล้วหลี่น่าได้เงินมาถึงหนึ่งตำลึงเงินเลยทีเดียว
“อ๋อ ท่านยายหยิบเงินผิดนี่เอง ข้าก็คิดอยู่ว่าเหตุใดจึงได้น้อยนัก”
“ข้าผิดเองๆ เอาเป็นว่าข้าฝากอาภรณ์ผืนนี้ ไปให้มารดาของท่านปักด้วย ขอเป็นลวดลายนกกระเรียนนะ” ยายเฒ่าสวีรีบยื่นผ้าให้คุณหนูเหอทันที อาภรณ์เนื้อดี ทั้งมีลายปักที่ประณีตเช่นนี้ ขายได้เกือบห้าตำลึงเงิน จ่ายค่าปักไปเพียงตำลึงเดียว ถือว่าคุ้มค่าไม่น้อย
“ได้เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวลา” ว่าแล้วสองนายบ่าวก็เดินออกจากร้านทันที หลี่น่าที่ได้เงินมาเพิ่มจากเดิมถึงแปดร้อยอีแปะก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“เหตุใดคุณหนูจึงพูดโป้ปดเล่าเจ้าคะ”
“หากมิเอ่ยเช่นนั้น จะได้เงินมากถึงเพียงนี้หรือ ยายเฒ่าสวีนั่นต้องการกดราคาเรา งานปักท่านแม่งดงามถึงเพียงนั้น ยังกล้าจ่ายเพียงสองร้อยอีแปะ นางต้องเจอคนเช่นข้านี่แหละ”
“ฮูหยินก็รับรู้เรื่องนี้เช่นกันเจ้าค่ะ แต่ยามนั้นมิมีร้านใดจ้างงานเลย จึงต้องรับเงินเพียงสองร้อยอีแปะอยู่เช่นนี้” เอินเอินเล่าเรื่องเก่าให้คุณหนูของนางฟังด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“เรื่องนั้นเป็นอดีตไปแล้ว อย่าโศกเศร้าไปเลย วันนี้เราได้เงินมาถึงหนึ่งตำลึงเงิน เจ้าพาข้าไปเดินดูของในตลาดทีเถิด”
“คุณหนูจะซื้อสิ่งใดเจ้าคะ”
“ไม่ซื้อๆ ข้าแค่จะไปเดินดูเท่านั้น” สองนายบ่าวเดินเล่นไปทั่วตลาด เอินเอินก็เอ่ยเล่าสิ่งต่างๆ ให้นายของตนฟังอย่างเพลิดเพลิน
กระทั่ง…ตุบ!!! โอ้ย! เอินเอินถูกสตรีผู้หนึ่งเดินชน จนล้มลงไปกับพื้น
“เดินอย่างไรของเจ้า มองไม่เห็นฮูหยินของข้าหรือ นังบ่าวชั้นต่ำ!”
“ขออภัยเจ้าค่ะ” เอินเอินลุกขึ้นและเอ่ยขอโทษอย่างรวดเร็ว เพราะนางอยากรีบพาคุณหนูของนาง หนีให้ห่างจากสตรีตรงหน้า
“เอินเอิน เหตุใดเจ้าต้องขอโทษ นางเป็นคนเดินมาชนเจ้าเองนะ” หลี่น่าจ้องหน้าสองนายบ่าว ที่กล้ามาทำให้เอินเอินของนางหวาดกลัว
“อ่อ นึกว่าใคร ที่แท้ก็คุณหนูตกอับ คิกๆ” ประโยคที่สตรีผู้นี้เอ่ย ทำให้หลี่น่ารู้ได้ทันที ว่าอีกฝ่ายต้องรู้จักนางเป็นแน่ ร่างอวบจึงได้หันไปหาเอินเอินเพื่อขอความกระจ่าง
“ฮูหยินน้อยสกุลเถียน จางเลี่ยงจินเจ้าค่ะ เป็นฮูหยินของใต้เท้าเถียนอี้” ชื่อที่คุ้นหู ทำให้หลี่น่านึกออกว่าสตรีผู้นี้มีสัมพันธ์อย่างไรกับนาง
“อ่อ นึกว่าใคร ที่แท้ก็พวกลักกินขโมยกิน รู้ว่าชายหมั้นหมายแล้ว แต่ยังยั่วยวนจนเขาตกหลุมพราง” นางไม่รู้หรอก ว่าจางเลี่ยงจินผู้นี้ได้กระทำตนเช่นนั้นหรือไม่ แต่หลี่น่าต้องการเพียงให้ชาวบ้านนึกสงสัยในตัวเลี่ยงจิน จนนำไปพูดต่อก็เท่านั้น เพราะฟังจากคำที่เลี่ยงจินทักทายนางแล้ว คงมิใช่คนจิตใจดีกระมัง
“ข้ามิเคยยั่วยวนท่านพี่ เป็นเขาที่เห็นความดีและความงดงามของข้า เขาจึงเปลี่ยนใจมารักข้า แทนที่จะเป็นหญิงอัปลักษณ์ อ้วนเทอะทะเช่นเจ้า” ดูที รูปร่างอวบอ้วนอย่างกับหมูแม่พันธุ์เช่นนี้ ผู้ใดจะรักลง
“ตายจริง! เหตุใดฮูหยินน้อยสกุลเถียน จึงมีวาจาร้ายกาจเช่นนี้ ทั้งยังกล้าดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นอีก” หลี่น่าเอ่ยขึ้นเสียงดัง จนคนที่อยู่บริเวณนั้นหันมาสนใจ
“…เอ่อ ข้า-”
“ฮึก! ใจร้ายนัก ท่านว่าข้าอวบอ้วนจึงมิมีผู้ใดรัก เช่นนั้นท่านจะเอ่ยว่า ฮูหยินที่อ้วนท้วมหลังมีบุตร สามีก็ไม่รักพวกนางอย่างนั้นหรือ” หลี่น่ายกมือปาดหางตา ทั้งยังแสร้งเดินคอตกจากไป เอินเอินเห็นดังนั้นก็รีบสาวเท้าออกไปให้ทันคุณหนูของนาง
เสียงซุบซิบนินทาของชาวบ้านดังขึ้น บ้างก็ว่าฮูหยินน้อยสกุลเถียนมิได้รับการสั่งสอน ชอบดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น บ้างก็นึกขึ้นได้ว่าใต้เท้าเถียนอี้ได้หมั้นหมายกับคุณหนูเหอไว้แล้ว แต่กลับเปลี่ยนใจไปแต่งกับผู้อื่น
“เหอะ ถึงข้าจะอวบอ้วน ไม่งดงาม แต่สามีข้าก็มิเคยแต่งอนุเข้าเรือนแล้วกัน” ฮูหยินร่างใหญ่เอ่ยเสียดสีเสียงดัง จนเลี่ยงจินต้องรีบออกจากบริเวณนั้น ด้วยความอับอาย
.
.
“คุณหนูอย่าร้องไห้ไปเลยเจ้าค่ะ” ด้านเอินเอินที่วิ่งตามหลี่น่ามา ก็รีบเอ่ยปลอบใจ
“ข้าร้องไห้ที่ใดกัน ข้าเพียงแสร้งทำเท่านั้น”
“ห๊า คุณหนูมิได้ร้องไห้หรอกหรือ บ่าวตกใจหมดเลย” เอินเอินทำปากยื่น ราวกับงอนที่ถูกคุณหนูของตนหลอก
“ฮ่าๆ เจ้าอย่าโกรธข้าเลย ข้าขอโทษๆ”
“บ่าวไม่โกรธคุณหนูเจ้าค่ะ” หลี่น่ายกยิ้มเอ็นดูคนสนิท ทั้งที่เอินเอินอายุน้อยกว่านางเพียงสองหนาว เหตุใดจึงน่าเอ็นดูราวกับเด็กน้อยเช่นนี้นะ
สองนายบ่าวเดินเที่ยวชมตลาดกันต่อ โดยมิได้ใส่ใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ยิ่งย่างเข้าสู่ยามเย็น ผู้คนก็ยิ่งเข้าออกตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะร้านที่อยู่ตรงหัวมุมของตลาด มีคนเข้าออกจำนวนมาก จนหลี่น่านึกสงสัย
“เอินเอิน เหตุใดคนจึงเข้าร้านนั้นมากมายถึงเพียงนี้”