เอินเอินพาผู้เป็นนายทั้งสองเข้ามาหลบในห้องลับเล็กๆ ของเรือน หลี่น่าที่ไม่รู้เรื่องอันใด ก็ได้แต่นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น นานกว่าสองเค่อ (30 นาที) เสียงดังโวยวายด้านนอกก็หยุดลง
ก๊อก! ก๊อก!
“ออกมาได้แล้ว พวกมันไปหมดแล้ว” ได้ยินเสียงของผู้นำตระกูล สตรีทั้งสามก็พากันออกจากห้องลับทันที
ภาพที่หลี่น่าเห็นอยู่ตรงหน้า ทำเอานางตกใจไม่น้อย ชายทั้งสองที่นางพึ่งรู้ว่าเป็นบิดาและพี่ชาย เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นผง ทั้งศีรษะของผู้เป็นบิดายังมีแผลแตก จนเลือดไหลอาบหน้า
“ละ เลือด! ไปทำแผลก่อนดีไหม ปล่อยไว้จะติดเชื้อได้” ทุกคนต่างมึนงงกับคำพูดแปลกประหลาดของหลี่น่า จนต้องขอให้นางพูดใหม่อีกที
“หลี่เอ๋อร์ เจ้าว่าอย่างไรนะ”
“เอ่อ เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถิดเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าจะทำความสะอาดบาดแผลให้ท่านก่อน” ร่างอวบตั้งสติ พยายามประมวลคำที่ควรใช้ให้ถูกต้อง และพูดออกมาอย่างชัดเจน จนทุกคนเข้าใจทุกคำที่นางเอ่ย
มือขาวใช้เครื่องมือที่เอินเอินนำมา ทำแผลให้กับบิดาอย่างเบามือ ยังดีที่บาดแผลไม่หนักหนาถึงขั้นต้องเย็บ เพราะหากเป็นเช่นนั้น นางคงมิอาจช่วยได้
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
“ขอบใจเจ้ามาก พ่อมิคิดว่าเจ้าจะรู้เรื่องการแพทย์ด้วย” ผู้อาวุโสที่สุดในเรือนเอ่ยอย่างยิ้มๆ เขาเป็นบิดา ย่อมรู้ดีว่าบุตรสาวนั้นชอบการอ่านตำรา วิธีการและหลักการต่างๆ บุตรสาวของเขาจดจำได้แม่นยำ แต่มิคิดว่านางจะปฏิบัติได้อย่างเชี่ยวชาญด้วยเช่นกัน
“เจ้าค่ะ แล้วเมื่อครู่เกิดอันใดขึ้นหรือเจ้าคะ” คำถามของหลี่น่า ทำเอาทุกคนหันหน้ามองกันอย่างงุนงง
“ก็พวกเจ้าหนี้อย่างไรเล่า พวกเขาก็มาที่เรือนเราประจำ”
“คุณชายเจ้าคะ คือว่า…คุณหนูความจำหดหายเจ้าค่ะ ตอนที่เราพาคุณหนูลงมาจากบ่วงผ้า ตอนนั้นศีรษะคุณหนูชนเข้ากับพื้นดังโป๊ก!!! แล้วก็ลืมทุกสิ่งเลยเจ้าค่ะ” เอินเอินทำท่าทำทาง ดังที่คุณหนูของนางเคยทำให้ดูก่อนหน้า
“…ห๊ะ” อ่า~ ทุกคนตกใจมาก จนช็อกนิ่งไปเลย
“แหะๆ ทุกท่านไม่ต้องตกใจ จริงๆ แล้วมันดังเปาะ! เดียวเท่านั้น” แม้หลี่น่าจะขยายความเพิ่ม แต่ก็ยังไม่ทำให้ทั้งสามคนหายตกใจ ผู้เป็นมารดาถึงขึ้นร้องห่มร้องไห้ออกมา
“โถ่~ หลี่เอ๋อร์ของแม่ ฮื่ออออ เจ้าจำสิ่งใดไม่ได้เลยหรือ เช่นนี้จะทำอย่างไรดีเจ้าคะท่านพี่ พาไปหาหมอดีหรือไม่”
“พี่เองก็คิดเช่นนั้น อาเหิง เจ้าช่วยไปตามหมอมาตรวจน้องทีได้หรือไม่”
“ได้ขอรับ หลี่เอ๋อร์รอพี่ก่อนนะ อย่าพึ่งเป็นอันใดไป” หลี่น่าเห็นพี่ชายกำลังจะลุกออกไปจากศาลา นางจึงรีบคว้าแขนชายหนุ่มเอาไว้
หมอจะตรวจพบได้อย่างไรเล่า ก็เป็นเรื่องโกหกนี่
“พี่เหิงมิต้องไปหรอกเจ้าค่ะ ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าสบายดี เพียงจดจำเรื่องราวไม่ได้เท่านั้น พวกท่านช่วยกันเล่าเรื่องทุกอย่างให้ข้าฟังก็พอเจ้าค่ะ” หญิงสาวสังเกตเห็นถึงความกังวลบนใบหน้าของบิดาอย่างชัดเจน ดูเหมือนว่าทุกคนลำบากใจที่จะเอ่ยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“เอ่อ หากพวกท่านไม่สะดวกใจ-”
“มิได้เป็นเช่นนั้น เอาเถิดๆ พ่อจะเล่าทุกสิ่งให้เจ้าฟัง…” ทั้งบิดา มารดา พี่ชาย และเอินเอิน ต่างผลัดกันเล่าเรื่องราวให้หลี่น่าฟัง จนนางได้รู้ความเป็นไปทุกสิ่ง
เหอหลี่น่ามีอายุเพียง 18 หนาว นางเป็นบุตรสาวของเศรษฐีสกุลเหอ เหอเข่อซิงกับฮูหยินเหอซูเจิน มีพี่ชายวัย 21 หนาว นามว่า เหอเหิงเยว่ สกุลของนางเป็นสกุลเศรษฐีอันดับหนึ่งของแคว้น มาตั้งแต่รุ่นปู่ทวดย่าทวด แม้ผู้คนจะเอ่ยว่าเหอเข่อซิงมิได้มีปัญญาเฉียบแหลมเช่นผู้นำสกุลเหอคนก่อน อาศัยบารมีเก่าของบรรพบุรุษเท่านั้น แต่บิดาของนางก็สืบทอดกิจการต่างๆ มาได้เป็นอย่างดี
แต่แล้วชะตากลับพลิกผัน เพียงเพราะท่านพ่อรู้จักกับพวกสกุลเถียน เสนาบดีเถียนตงเข้ามาติดต่อซื้อขายของหายากบางอย่างกับท่านพ่อ จากนั้นทั้งสองตระกูลจึงติดต่อค้าขายกันจนสนิทชิดเชื้อ
รุ่นบิดามารดารู้จักมักจี่กันเป็นอย่างดี รุ่นลูกรุ่นหลานก็พูดจากันถูกคอ โดยเฉพาะคุณหนูเหอหลี่น่าที่หลงรักบุตรชายคนรองของเสนาบดีเถียน นามว่า เถียนอี้ ชายผู้นี้ทั้งสุขุม อ่อนโยน สมกับเป็นบัณฑิตที่พึ่งได้รับตำแหน่งขุนนาง เมื่อสองครอบครัวรู้ว่าบุตรหลานรักใคร่กัน จึงได้มีการจัดการหมั้นหมายขึ้น
เรื่องราวก็ดูเหมือนจะดำเนินไปได้ด้วยดี ทว่าวันหนึ่งเสนาบดีเถียนได้แนะนำ ให้บิดาของนางรู้จักพ่อค้าต่างแคว้นคนหนึ่ง ที่เชี่ยวชาญเรื่องการลงทุนสร้างกิจการ สกุลเหอที่คิดจะสร้างกิจการเพิ่มอยู่แล้ว จึงได้สนใจและลงทุนสร้างกิจการกับพ่อค้าต่างแคว้นผู้นั้น
แต่แล้วครอบครัวของนางกลับถูกพ่อค้าผู้นั้นคดโกง จนสิ้นเนื้อประดาตัว บ่าวรับใช้ต่างหนีหาย มิตรสหายก็หมางเมิน คนเคยให้ความเคารพก็เหยียบย่ำ เพียงเพราะไม่มีเงินมีทองเช่นเก่าก่อน คงจะมีเพียงสกุลเถียน ที่ยังให้ความช่วยเหลืออยู่บ้าง
“เท่าที่ฟัง สกุลเถียนก็เป็นคนดีไม่น้อยนะเจ้าคะ”
“หึ! ก็แค่ช่วงแรกเท่านั้นแหละ” เหิงเยว่แค่นยิ้มออกมา ก่อนจะเล่าเรื่องราวให้น้องสาวฟังต่อ
หลังจากที่ได้รับการช่วยเหลือจากสกุลเถียน บิดาของนางก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามหาเงินมาใช้จ่ายในครอบครัวและค*****นให้สกุลเถียน บิดาของนางเริ่มกู้หนี้ยืมสินมาลงทุน สร้างกิจการขึ้นมาใหม่ แต่ด้วยท่านพ่อเคยแต่รับช่วงต่อจากท่านปู่ มิเคยต้องเริ่มสร้างด้วยตนเอง ทำให้กิจการใหม่ของท่านพ่อล้มไม่เป็นท่า บิดาของนางจึงหันมาใช้แรงแลกเงิน เพื่อนำมาใช้จ่ายในครอบครัวก่อน
เมื่อเห็นว่าสกุลเหอที่เคยรุ่งเรือง ไม่สามารถฟื้นคืนกลับมาได้ สกุลเถียนที่เคยไปมาหาสู่กัน ก็เริ่มตีตัวออกหาก กระนั้นท่านพ่อท่านแม่ก็มิได้ถือสา จนได้ข่าวว่า เถียนอี้ที่เป็นคู่หมั้นของเหอหลี่น่า แต่งคุณหนูสกุลจางเข้ามาแทนที่ คุณหนูเหอหลี่น่าที่รักใคร่เถียนอี้หมดใจ ถึงกับเป็นลมล้มพับไป นางถึงขั้นไปร้องห่มร้องไห้หน้าประตูเรือนสกุลเถียน จนถูกบ่าวไพร่สาดน้ำไล่ ทั้งด่าทอว่าอัปลักษณ์ มีฐานะเยี่ยงยาจก นับจากวันนั้นนางก็เก็บตัวเงียบอยู่ในเรือน
ครอบครัวสกุลเหอทั้งทุกข์ใจและเจ็บใจ ยามมั่งมี พวกเขาก็ช่วยเหลือสกุลเถียนเรื่องเงินทองอยู่เสมอ เพราะเห็นว่าอย่างไรก็จะได้เกี่ยวดองกัน มิคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
หลี่น่าได้ยินเรื่องราวทั้งหมดก็เข้าใจทันที ว่าชายที่ชื่อเถียนอี้ มิได้รักใครคุณหนูเหอหลี่น่าเลยแม้แต่น้อย คงหวังเพียงอำนาจเงินของสกุลเหอเท่านั้น ทั้งพ่อค้าที่คดโกงสกุลเหอ ยังเป็นคนที่เสนาบดีเถียนแนะนำมา ไม่แน่ว่าพวกมันอาจจะวางแผนทั้งหมดไว้แล้ว
“จากนั้นเรื่องก็เป็นอย่างที่เจ้ารู้” ซูเจินโอบกอดบุตรสาวอย่างแนบแน่น นางรู้ดีว่าบุตรสาวปักใจรักใต้เท้าเถียนมาก ถึงขั้นคิดจะปลิดชีวิตของตนเอง
“หลี่เอ๋อร์ พ่อรู้ว่ามันยาก แต่เจ้าต้องตัดใจจากเขาเสีย”
“เจ้ายังมีท่านพ่อ ท่านแม่ เอินเอิน และก็พี่ ที่รักเจ้า” เมื่อเห็นว่าน้องสาวเงียบไป เหิงเยว่จึงลูบศีรษะน้องสาวเบาๆ เขาคิดว่านางคงยังมีเยื่อใยกับใต้เท้าเถียนอยู่มาก แม้ว่าความจำจะหดหายไป
เรื่องเช่นนี้คงต้องใช้เวลา ให้ช่วยเยียวยาจิตใจของนาง
ปัง!!! ทั้งสี่คนต่างสะดุ้งตกใจ เพราะอยู่ๆ หลี่น่าก็ทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ
“…ไอ้คนเห็นแก่ตัว พอหมดประโยชน์ก็ถีบหัวส่ง หึ! น่าตายนัก”
“จะ เจ้าว่าผู้ใดหรือน้องพี่”
“ก็ไอ้พวกสกุลเถียนอย่างไรเจ้าคะ พวกมันหาประโยชน์จากเรา แล้วก็หักหลังเรา ไม่แน่ว่าพ่อค้าคนนั้นอาจจะเป็นคนของพวกมันก็ได้” คำพูดด่าทอยาวเหยียดของบุตรสาว สร้างความประหลาดใจให้กับเข่อซิงและซูเจินไม่น้อย
“นี่ลูกมิได้รู้สึกรักใคร่เถียนอี้แล้วหรือ”
“จะรักได้อย่างไรเจ้าคะท่านพ่อ ทำตัวเป็นแมงดา คิดจะมาเกาะข้ากิน พอสกุลเราตกต่ำ ก็เขี่ยทิ้ง นี่มันยิ่งกว่าคนเห็นแก่ตัวเสียอีก ฮึ้ย! พูดแล้วโมโห” หลี่น่าหอบหายใจหนัก นางทั้งเหนื่อย ทั้งโกรธ นางจะเอาคืนให้จนได้
คอยดูเถิด! แม่จะเฉิดฉายให้ดู
“เอ่อ ฮะ ฮ่าๆ ถ้าเจ้าคิดเช่นนั้นก็ดีแล้ว ไอ้พวกกลับกลอก! พวกเห็นแก่ตัว! ไว้ใจมิได้”
“ใช่เจ้าค่ะพี่เหิง จากนี้ข้าจะทำให้พวกมันรู้ซึ้ง ที่กล้ามาทำกับพวกเราเช่นนี้” หลี่น่าพยักหน้าหงึกหงักกับตนเอง ทว่าต้องหยุดชะงักเพราะคำของพี่ชาย
“จะทำเช่นไรหรือ”
“…ยังไม่รู้เลยเจ้าค่ะ แหะๆ แต่อย่างไร ข้าก็ต้องหาวิธีได้แน่” หลี่น่าว่าพลางลุกขึ้น ไปยืนเท่าสะเอวบนโต๊ะน้ำชาเตี้ยๆ ที่วางอยู่
“ไปยืนทำไมตรงนั้นเล่า ลูกแม่”
“เพราะข้าจะทำให้พวกท่านมั่นใจ ว่าข้าจะทำงานหาเงินมาช่วยพวกท่านเอง” ในชีวิตก่อน ครอบครัวนางก็ยากจนและมีหนี้สินมากมายเช่นกัน นางยังใช้หนี้แล้วส่งเงินให้ยายกับแม่ใช้ได้เลย มาครานี้เหตุใดนางจะทำไม่ได้
“พ่อเชื่อๆ แต่เจ้าลงมาก่อนเถิด โต๊ะมันเก่ามากละ-”
โคร้ม!!! โอ้ยยย~
“คุณหนู!” เอินเอินโผเข้าไปพยุงหลี่น่า ให้ลุกขึ้นจากพื้น ไม่ต่างจากที่ท่านพ่อว่า โต๊ะมันเก่ามากจนรับน้ำหนักตัวของนางไม่ไหว
“ฮ่าๆ เจ้าหงายหลังลงไปเลย ฮุๆ” เหิงเยว่กุมท้องหัวเราะจนน้ำตาไหล
ก่อนจะหาเงิน ข้าต้องออกกำลังกาย เพื่อลดน้ำหนักก่อนกระมัง ทั้งเหนื่อยง่าย ทั้งไม่คล่องตัว ไหนจะทำข้าวของเสียหายอีก ฮื้อออออ