“เอินเอิน เหตุใดคนจึงเข้าร้านนั้นมากมายถึงเพียงนี้” หญิงสาวทำคอยืดคอยาว สอดส่องดูในร้าน
“เป็นร้านขายสุราเจ้าค่ะ ในเมืองหลวงมีร้านสุราเพียงร้านเดียว เหล่าบุรุษทั้งหลายจึงพากันมาดื่มกินที่ร้านนี้”
“ร้านขายสุราอย่างนั้นหรือ” ปากบางคลี่ยิ้มกว้าง เพราะเจอสหายเก่า…? ที่คุ้นเคยกันมานาน
“เจ้าค่ะ”
“ข้าอยากชิมสุรายุคนี้เสียหน่อย” ว่าแล้วหลี่น่าก็เดินเข้าไปในร้านขายสุราทันที โดยมิได้สนใจคำเอ่ยห้ามของสาวใช้แม้แต่น้อย
“คุณหนู ไม่เหมาะเจ้าค่ะ เป็นคุณหนูในห้องหอจะไปนั่งดื่มกินไม่งามเจ้าค่ะ เห้อ!” นอกจากจะไม่ฟัง คุณหนูยังทิ้งนางไว้แล้วเดินจากไป เป็นเช่นนี้บ่าวอย่างนางจะทำอย่างไรได้ นอกจากเดินตามนายเข้าร้านไป
“เอ่อ…คุณหนูมีธุระอันใดหรือขอรับ” เสี่ยวเอ้อของร้าน ออกมาต้อนรับลูกค้าอย่างนอบน้อม ทว่าแขกของเขากลับเป็นหญิงสาว ที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะมานั่งร่ำสุรา เขาจึงเอ่ยถามออกไปเช่นนั้น
“ข้ามาร้านสุรา ก็ต้องมาซื้อสุราสิ”
“เช่นนั้นคุณหนูจะรับกี่ไหดีขอรับ” ได้ยินเสี่ยวเอ้อของร้านถาม หลี่น่าก็ก้มมองเงินที่พึ่งได้มาจากการส่งผ้าของมารดา
“ที่นี่ขายสุราไหละเท่าใดหรือ”
“ไหละสองร้อยอีแปะขอรับ” หลี่น่าขมวดคิ้วแน่น หากว่าซื้อเป็นไห จะต้องเสียเงินไปตั้งสองร้อยอีแปะเชียว เพราะฉะนั้นแล้ว…
“ข้าขอซื้อ 1 จอก” รอยยิ้มประจบถูกส่งออกไปยังเสี่ยวเอ้อหนุ่ม จนคนสนิทถึงกับปวดหัวขึ้นมาทันใด
“เอ่อ ท่านหมายถึง 1 ไห ใช่หรือไม่ขอรับ”
“ไม่ๆ หนึ่งจอกน่ะ จอกเล็กๆ เนี่ย ขายเท่าใดหรือ”
“เช่นนั้นขายไม่ได้หรอกขอรับ” เสี่ยวเอ้อก้มคำนับขออภัย
“เหตุใดจะขายไม่ได้เล่า หากเจ้าคิดราคาไม่เป็น ข้าคิดให้ก็ได้” หลี่น่ายังยืนกรานว่าจะซื้อสุรา 1 จอกให้ได้ แต่เสี่ยวเอ้อก็ยืนยันว่ามิอาจขายให้ได้
ระหว่างที่หลี่น่าและเสี่ยวเอ้อร้านสุรา กำลังเจรจากันอยู่ ก็มีชายร่างใหญ่สองคน เดินเข้ามาในร้าน
“ขอโต๊ะให้ข้าหนึ่งโต๊ะ” เสี่ยวเอ้อละความสนใจจากหลี่น่า แล้วมาต้อนรับชายหนุ่มทั้งสองแทน
“เชิญแม่ทัพใหญ่และรองแม่ทัพทางนี้ขอรับ” เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเอ้อกำลังเมินเฉย ต่อคำขอซื้อสุราหนึ่งจอกของนาง หลี่น่าจึงโวยวายเสียงดังขึ้นมา
“นี่! ข้ามาก่อนนะ สุราของข้ายังไม่ได้เลย” หญิงสาวเท้าสะเอวจ้องเขม็งไปที่ชายหนุ่มทั้งสอง หากพิจารณาดูแล้ว ชายสองคนผู้นี้แม้จะมีรูปร่างสูงใหญ่กันทั้งคู่ ทว่ากลับมีคนหนึ่งที่ใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปปั้น คิ้วเข้ม จมูกเป็นสัน ปากหยักได้รูป ทั้งยังดูแข็งแกร่งยิ่งนัก
“เจ้าดูแลคุณหนูท่านนี้ก่อนเถิด ข้ารอได้” นี่อย่างไร! ขนาดเสียงยังดูน่าเกรงขาม
“คือคุณหนูขอซื้อสุราเพียงหนึ่งจอก ข้าขายให้ไม่ได้ขอรับ”
“เหตุใดจะขายไม่ได้ เจ้าจะคิดเท่าใดก็บอกมา” หลี่น่าไม่ยอมแพ้ เสี่ยวเอ้อเองก็ไม่ยอมเช่นกัน ผู้ที่ยุติการถกเถียงนี้จึงตกมาเป็นภาระของชายหนุ่ม
“หากว่าเจ้าต้องการสุราเพียงจอกเดียว ก็มานั่งกับข้า ข้าจะไม่คิดเงิน” ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาว่าดังนั้น ก่อนจะเดินนำไปนั่งที่โต๊ะ
หลี่น่าไม่คิดจะทิ้งขว้างโอกาสนี้ไป มือขาวจึงรีบดึงลากเอินเอินให้เดินตามไปนั่งกับชายทั้งสองทันที
“พวกท่านมีนามว่าอย่างไรเจ้าคะ ข้ามีนามว่า เหอหลี่น่า ส่วนนี่ เอินเอิน คนสนิทของข้าเอง”
“จ้าวหวังหย่ง” หลี่น่านิ่งฟัง รอให้ชายหนุ่มพูดต่อ แต่ก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีก
เท่านี้หรือ สั้นๆ ไม่มีอะไรเพิ่มเติมเลยหรือ
“เอ่อ ท่านนี้เป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้น นามว่า เจ้าหวังหย่ง ส่วนข้าเป็นรองแม่ทัพ นามว่าหยวนฮุ่ยหวงขอรับ” ชายร่างเล็กกว่าเอ่ยขยายความด้วยใบหน้าติดยิ้ม
“โอ้! นี่ข้าได้นั่งร่วมโต๊ะกับแม่ทัพเลยหรือ เป็นบุญยิ่งนัก วันนี้เราได้ร่วมโต๊ะกันแล้วก็ถือเป็นสหายกันได้” เสียงสนทนาดังขึ้น เรื่องที่พูดคุยก็เป็นเรื่องทั่วไป ส่วนใหญ่ก็จะเป็นหลี่น่ามากกว่า ที่เอ่ยถามบุรุษทั้งสอง นั่งพูดคุยกันได้ไม่นาน เสี่ยวเอ้อก็นำสุราและกับแกล้มมาวางที่โต๊ะ
“บ่าวรินสุราให้เจ้าค่ะ” เอินเอินเป็นเด็กรู้ความ และรู้จักปรนนิบัติผู้อื่นเช่นนี้เสมอ นางจึงทำหน้าที่รินสุราลงจอกให้ทั้งสามคน
“เจ้ามิดื่มหรือเอินเอิน แม่ทัพจ้าวเอ่ยว่าจะไม่คิดเงินเรา”
“บ่าวมิเคยดื่มเจ้าค่ะ อีกอย่างบ่าวต้องดูแลคุณหนู” หลี่น่าพยักหน้าเข้าใจสิ่งที่เอินเอินพูด นางจึงไม่ได้ว่าอันใด แล้วหันมายกจอกสุราขึ้นดมกลิ่น โดยมิรู้เลยว่าการกระทำของตนนั้น ตกอยู่ในสายตาของชายหนุ่มทั้งสอง
“หื้อ กลิ่นแอลกอฮอล์แรงมาก” สุราจอกเล็กถูกยกขึ้นดื่มทีละนิดๆ ละเมียดละไมซึมซับรสชาติของสุรา
ความรู้สึกแรกที่หลี่น่าสัมผัสได้ เมื่อจิบสุราจอกนี้เข้าไป คือความรู้สึกเด็ดที่ปลายลิ้น และได้กลิ่นแอลกอฮอล์ตีขึ้นจมูกอย่างแรง รับรู้ได้ทันทีว่าสุราไหนี้ มีฤทธิ์แรงไม่น้อย
“มีเพียงรสเฝื่อนติดคอ มิมีรสชาติอื่นผสมอยู่เลยสักนิด” หากให้นางเลือก คงมิคิดจะดื่มสุราร้านนี้อีก นางคิดว่าสตรีส่วนมากก็คงไม่ชื่นชอบรสชาติเช่นนี้
“สุราก็ต้องมีรสขมและเฝื่อน จะให้มีรสชาติใดอีก” หลี่น่าหันกลับไปมองแม่ทัพจ้าวที่ดื่มสุราลงไปอึกใหญ่ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย อย่างกับดื่มน้ำเปล่าลงไป
“ข้าเคยดื่มสุราที่มีรสชาตินุ่ม ละมุนลิ้นมากกว่านี้เจ้าค่ะ บางทีก็ไม่มีรสขมเลยด้วยซ้ำ”
“ข้ามิเคยรู้มาก่อนว่ามีสุราเช่นนั้นอยู่ด้วย ไม่ว่าแคว้นใด สุราก็มีรสชาตินี้มิใช่หรือขอรับ” รองแม่ทัพหยวนเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ เขาออกศึกสงครามมามาก ดื่มสุรามาก็หลายแห่ง แต่ไม่ว่าที่ใด สุราก็มีรสชาติเช่นนี้
“มีหลายรสชาติเจ้าค่ะ ว่าแต่พวกท่านเหตุใดจึงชอบดื่มสุราเจ้าคะ”
“ผ่อนคลายกระมัง แก้เครียด สนทนากิจธุระก็ง่าย” หลี่น่าพยักหน้าให้กับคำตอบของแม่ทัพใหญ่ เหตุผลที่คนยุคนี้ดื่มสุรา ค่อนข้างจะคล้ายคลึงกับสังคมในชีวิตก่อนของนาง
“เช่นนั้นแม่ทัพจ้าวชอบดื่มสุรารสชาติใดหรือ ขม หวาน เปรี้ยว”
“ข้ามิเคยดื่มรสชาติอื่น เปรียบเทียบมิได้”
“แต่ข้าคิดว่าสุราที่ดื่มทุกวันนี้ เฝื่อนเกินไปขอรับ ข้าจึงไม่อยากดื่มสักเท่าใด” รองแม่ทัพหยวนเอ่ยสำทับขึ้น
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อน หากพบกับคราหน้า อย่าลืมทักทายข้านะเจ้าคะ อย่างไรเราก็ถือเป็นสหายกันแล้ว” หลี่น่าก้มคำนับต่อชายทั้งสอง ก่อนจะเดินออกไปจากร้านด้วยจิตใจเบิกบาน วันนี้นางได้สหายเพิ่มขึ้นมาถึงสองคน
สายตาเรียบนิ่ง มิบ่งบอกถึงความรู้สึกใด จดจ้องไปยังแผนหลังขอสตรีที่พึ่งเดินออกจากร้าน
“ท่านแม่ทัพจะเข้าทางคุณหนูเหอจริงๆ หรือขอรับ”
“มันเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วมิใช่หรือ” ฮุ่ยหวงมิเห็นด้วยกับการดึงผู้บริสุทธิ์มาเกี่ยวข้องสักนิด แต่ก็ขัดผู้เป็นนายมิได้ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันกับครอบครัวสกุลจ้าวโดยตรง
.
.
กว่าสิบวันที่หลี่น่าพยายามเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการดื่มสุราของคนในยุคสมัยนี้ ทั้งหญิงและชาย โดยการไปไล่ถามผู้คนในตลาด
“คุณหนูชอบดื่มสุราหรือไม่เจ้าคะ”
“มิชอบ ข้าคิดว่ามันขมและเฝื่อนคอมากเกินไป ทั้งข้ายังเมาง่ายอีกด้วย”
“ข้าเองก็เช่นกัน ขนาดชารสขม ข้ายังพยายามเลี่ยงเลย”
“สำหรับข้า คิดว่ากลิ่นมันเหม็นติดเนื้อติดตัวไปหน่อย แอบสามีออกมาดื่มมิได้เลย ฮ่าๆ” หลายต่อหลายเสียงพูดไปในทิศทางเดียวกัน ว่าสุรามีกลิ่นแรง ทั้งยังมีรสขมและเฝื่อนคอ สตรีที่มิเคยดื่มเป็นประจำ จะทำให้มึนเมาได้อย่างง่ายดาย
“คุณหนูทำสิ่งใดอยู่เจ้าคะ” เอินเอินนำขนมและน้ำชามาให้คุณหนูของนาง หลังจากที่พวกนางออกไปส่งผ้าให้ฮูหยินเสร็จ คุณหนูก็เอาแต่แวะถามคนนั้นทีคนนี้ที พอกลับมาถึงเรือนก็มาจดบันทึกลงบนกระดาษ
ดูที หมึกเปื้อนใบหน้าเต็มไปหมด
“ข้ากำลังดูว่าสตรีในเมืองหลวง เหตุใดจึงไม่ชอบดื่มสุรา”
“เพราะหากมึนเมาจนเสียกิริยา จะทำให้เสื่อมเสียถึงตระกูลได้” ซูเจินที่พึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับสามีและบุตรชาย บังเอิญได้ยินบทสนทนาของบุตรสาว จึงช่วยไขความกระจ่าง
“ท่านพ่อกับพี่เหิงกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”
“อืม วันนี้เถ้าแก่เขามีงานไม่มาก” งานที่สองพ่อลูกไปทำ คือการยกของเข้าร้าน แม้จะได้เงินไม่มาก แต่สองพ่อลูกก็ไม่คิดจะเลือกงาน ที่ใดมีงานจ้าง พวกเขาก็ไปทั้งหมด เพราะกลัวว่าครอบครัวจะไม่มีกิน
“ว่าแต่น้องพี่อยากรู้เรื่องสุราด้วยเหตุใด”
“เพราะน้องกำลังคิดจะทำสุราขายเจ้าค่ะ” หลี่น่ากางแผนการคร่าวๆ ที่ตนเองเขียนให้ครอบครัวได้ดู
“นี่เจ้าค่ะ…เท่าที่ข้ารู้มา สุราในตอนนี้มีกลิ่นที่เหม็น รสชาติขมและเฝื่อน ทั้งยังออกฤทธิ์แรง ทำให้สตรีทั่วทั้งเมืองมิค่อยนิยมดื่มสุรา แต่ก็ใช่ว่าสตรีเหล่านั้นจะไม่อยากดื่มนะเจ้าคะ พวกนางยังบอกว่า หากมีสุราที่ไม่ขมมาก คงจะพอดื่มกินสังสรรค์กับสหายได้ ข้าจึงคิดจะทำสุราที่มีรสชาติอื่นบ้าง”
“เจ้ารู้หรือว่าต้องทำอย่างไร” เหิงเยว่ถามน้องสาว ก่อนจะหันไปสบตากับบิดา
“เอ่อ…ข้าอ่านในตำรามาแล้วเจ้าค่ะ ทำง่ายดายนัก เพียงแค่เราผสมน้ำผลไม้กับสุราเข้าด้วยกัน อยากได้สุราที่มีฤทธิ์ไม่แรงมาก ก็ใส่สุราไปเพียงนิดเดียว”
“แล้วน้ำผลไม้ที่เจ้าว่า เราจะหาได้จากที่ใดเล่าลูกแม่”
“อ่า เรื่องนั้น…” จริงอย่างที่ท่านแม่ว่า นางไม่รู้ว่าจะหาส่วนผสมต่างๆ ได้จากที่ใด ไหนจะสุรา น้ำผลไม้ น้ำเชื่อม เห็นทีการสร้างกิจการสุราหวานครานี้ จะไม่ง่ายอย่างที่นางคิด
ยังไม่ทันที่ครอบครัวสกุลเหอจะพูดคุยกันต่อ ก็ได้ยินเสียงร้องเรียกดังมาจากประตูหน้าเรือนเสียก่อน
“มีผู้ใดอยู่บ้างขอรับ ข้าน้อยมาจากชานเมือง มาขอพบนายท่านเหอขอรับ”