12
“จำได้ค่ะแม่ มีอะไรเหรอคะ”
“กัณฑ์อยากทำงานที่นั่นไหมลูก แม่ไม่อยากบังคับใจกัณฑ์ถ้ากัณฑ์ไม่อยากทำ”
“กัณฑ์อยากทำค่ะแม่ กัณฑ์คิดว่าเป็นการดีซะอีกที่จบแล้วมีงานทำเลย ไม่เหมือนเพื่อนๆ ของกัณฑ์ที่ต้องวิ่งวุ่นหางานที่นั่นที่นี่ ต้องรอเรียกตัวเรียกสัมภาษณ์”
กัณฑริกาคิดว่าตนเองโชคดีกว่าเพื่อนที่จบรุ่นเดียวกัน เนื่องจากเธอมีงานรออยู่ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ต่างกับคนอื่นๆ ที่ต้องวิ่งหางานทำโดยไม่รู้ว่าจะได้เริ่มทำงานเมื่อไหร่
“แม่นึกว่ากัณฑ์จะลำบากใจที่คุณลุงให้กัณฑ์ไปช่วยงานคุณเมฆที่รีสอร์ตซะอีก แม่ได้ยินอย่างนี้ก็สบายใจ”
“แม่สบายใจได้เลยค่ะ กัณฑ์ยินดีไปทำงานกับคุณเมฆค่ะ” กัณฑริกายิ้มหวานให้มารดา “ว่าแต่คุณเมฆเขาเป็นคนยังไงเหรอคะ ดุหรือเปล่าคะแม่”
เธอเริ่มหาข้อมูลจากมารดา เธอไม่เคยเจอว่าที่พี่ชายและว่าที่เจ้านายแม้แต่ครั้งเดียว รู้จักผ่านคำบอกเล่าของดวงเดือนเท่านั้น หากจะหาข้อมูลเกี่ยวกับพชรดนัย คนที่ให้คำตอบได้ดีที่สุดก็คือ ดวงเดือน
“แม่ก็ไม่รู้นิสัยใจคอคุณเมฆมากนะลูก แต่เท่าที่ดูตอนที่เจอกันสี่ห้าครั้ง คุณเมฆเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีมาก รูปร่างสูงใหญ่มีความอ่อนน้อม พูดจาสุภาพ ให้ความเคารพแม่ทั้งต่อหน้าและลับหลังคุณลุง คุณลุงเคยเล่าให้แม่ฟังว่า คุณเมฆบริจาคเงินให้มูลนิธิต่างๆ ปีละเกือบสิบล้าน แล้วยังเป็นพ่ออุปถัมภ์สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าอีกหลายคน ส่งเสียให้เรียนจนจบปริญญา แล้วให้มาทำงานในบริษัทในเครือ มันทำให้แม่คิดว่าคุณเมฆต้องเป็นคนดีมากๆ เลยล่ะลูก เอาเป็นว่ากัณฑ์ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอลูก”
ดวงเดือนพูดตามที่ได้สัมผัสพูดคุยกับว่าที่ลูกเลี้ยง และคำบอกเล่าของรัตเมธ กัณฑริกาเบาใจมากขึ้นเมื่อได้ยินคำบอกเล่าของมารดา ในความคิดของเธอ เธอคิดว่าพชรดนัยจะต้องดุและเฮี้ยบ เจ้าระเบียบจัดไม่อย่างนั้นคงไม่ดูแลกิจการหลายพันล้านบาทของครอบครัวได้ ความคิดในใจกับคำบอกเล่าของมารดาสวนทางกันเหลือเกิน
“กัณฑ์คิดว่าคุณเมฆจะดุและเฮี้ยบซะอีก ได้ยินอย่างนี้กัณฑ์เบาใจขึ้นเยอะเลยค่ะแม่”
“เรื่องดุ เรื่องเฮี้ยบมันก็ต้องมีบ้างเป็นของธรรมดา เพราะคุณเมฆมีพนักงานเป็นร้อยๆ อย่างที่แม่บอกกัณฑ์ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอลูก”
“ค่ะแม่ กัณฑ์จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดค่ะ จะไม่ให้แม่กับคุณลุงผิดหวังค่ะ” หญิงสาวรับคำด้วยรอยยิ้ม
“ดีแล้วลูก กัณฑ์พักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางแต่เช้า” น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยบอกลูกสาว
“ค่ะแม่” กัณฑริการับคำและยิ้มให้มารดา ก่อนจะประคองบุพการีไปส่งที่ห้องนอน แล้วจึงเดินกลับมาห้องของตนเอง อาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน
ยามดึกในค่ำคืนนั้นกัณฑริกานอนหลับอยู่บนเตียงของตน ดวงตาของเธอปิดสนิท แต่ทว่าร่างกายกลับส่ายสะบัดไปมาบนที่นอน ลำแขนทั้งสองข้างยกขึ้นสูงมือป่ายปัดไปในอากาศ คล้ายกับว่ากำลังปัดป้องตัวเองจากอะไรสักอย่าง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มดวงหน้า
เธอกำลังฝัน...เป็นความฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฝันเดิมๆ ไม่เคยเปลี่ยน ชายสูงศักดิ์คนหนึ่งเดินมาหยุดยืนริมเตียงนอน เขาเอื้อมมือมาจับลำแขนของเธอพร้อมกับเรียกชื่อ
“กัณฑ์ กัณฑ์ตื่นเถอะ ถึงเวลาแล้วนะ”
ในความฝันกัณฑริกาปรือตาขึ้นอย่างเชื่องช้า แล้วพอมองเห็นเจ้าของเสียงที่ปลุกตนเอง เธอก็ยกลำตัวนั่งตรงทันทีไม่มีความหวาดกลัวที่จะเจอชายหนุ่มคนนี้แม้แต่น้อย
“ตื่นแล้วหรือกัณฑ์ มันถึงเวลาแล้วนะ ถึงเวลาแล้ว” ชายสูงศักดิ์พูดประโยคเดิม
“ถึงเวลาอะไรคะ” เธอถามย้ำ สีหน้างุนงงไม่น้อย
“ถึงเวลาที่เราต้องชดใช้กรรมร่วมกันแล้ว”
“ชดใช้กรรม” กัณฑริกาได้ยินคำพูดนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่เธอไม่เคยแตกฉานถึงความหมายของมันเลย “คุณบอกกัณฑ์มากกว่านี้ได้ไหมคะว่ามันคืออะไร คุณไม่เคยบอกกัณฑ์เลยแล้วกัณฑ์จะชดใช้กรรมได้ยังไงคะ”
“เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าก็จะรู้เองว่าจะต้องใช้กรรมอย่างไร ข้า...”
ยังไม่ทันที่ชายผู้นั้นจะพูดจบประโยค เหมือนมีแรงดูดมหาศาลดึงร่างของหลวงรอนรณยุทธในอดีตชาติ จังหวะที่ร่างถูกแรงดูดมือของเขาได้จับลำแขนของกัณฑริกาเอาไว้ ทำให้ร่างของเธอถูกดึงตามไปด้วย ร่างสองร่างลอยละล่องไปยังบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ในสวนรกครึ้มด้วยต้นไม้ มาหล่นตุ้บอยู่ตรงประตูบ้านหลังหนึ่งที่เปิดอ้าอยู่
ภาพในห้องนั้นปรากฏต่อสายตาของหลวงรอนรณยุทธและกัณฑริกา เป็นภาพที่เรียกน้ำตาให้กับหลวงรอนรณยุทธทันที เขาร้องไห้แทบจะเป็นสายเลือดเมื่อเห็นภาพนั้น ร้องคร่ำครวญพยายามจะเข้าไปช่วยร่างของสตรีนางหนึ่งที่ร้องขอชีวิตกับชายฉกรรจ์ทั้งสี่คน แต่ทว่าเหมือนมีกระจกมากั้นไว้ เขาไม่สามารถเข้าไปในห้องได้ทั้งที่ประตูเปิดอ้าอยู่ ได้แต่มองและฟังเสียงอันแสนทุกข์ทรมานของสตรีนางนั้น
“กรี๊ดดดดดดดด ช่วยด้วย คุณหลวงเจ้าขา ช่วยด้วย ช่วยเมียด้วย”
หญิงสาวนางนั้นหันมามองหลวงรอนรณยุทธที่อยู่หน้าห้อง ดวงตาของเธอมีแต่น้ำตา ดวงหน้าตื่นตระหนกและหวาดกลัว ก่อนที่สตรีนางนั้นจะหันไปขอร้องชายหน้าตาเหี้ยมโหดจิตใจทราม
“อย่า...พวกมึงอย่าทำกู ไว้ชีวิตกูเถิด กูกำลังมีลูก อย่าทำกูเลย กรี๊ดดดดดดดดดด”
หลวงรอนรณยุทธทนเห็นภาพนั้นไม่ไหว พยายามจะทุบกำแพงกระจกใสที่กั้นกลางประตู แต่มันไม่เป็นผล เขาไม่สามารถเข้าไปช่วยเมียรักได้
“แก้วตาของพี่ แก้วตาของพี่ พวกมึงอย่าทำเมียกู อย่าทำเมียกู”
หลวงรอนรณยุทธพูดทั้งน้ำตา คร่ำครวญปิ่มจะขาดใจเมื่อได้เห็นภาพอันแสนป่าเถื่อนและโหดร้าย
กัณฑริกานั่งตัวแข็ง มองภาพนั้นด้วยความรู้สึกสงสาร หดหู่ใจ จิตใจของเธอหมองเศร้า เสียใจกับภาพที่ได้เห็น น้ำตาหยดไหลโดยไม่รู้ตัว เธอพยายามหลับตาไม่ต้องการเห็นภาพทารุณนั้น ทว่าดวงตาทั้งสองข้างกลับค้างเติ่ง ราวกับว่ามีใครนำไม้อันเล็กๆ มาถ่างเอาไว้ จำต้องทนดูภาพสังเวชใจต่อไป
ชายทั้งสี่คนเดินออกมาจากห้องหลังจากเสร็จภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ได้โดยสะดวกราวกับว่าไม่มีอะไรขัดขวาง ปล่อยให้แก้วตานอนระโหยโรยแรงบนเตียง ตรงท้องมีมีดเล่มหนึ่งปักคาอยู่ เลือดไหลนองเต็มที่นอนสีขาวยับย่น หลวงรอนรณยุทธเห็นชายทั้งสี่เดินออกมาก็ตรงไปเตะต่อยทุบตีให้หายคับแค้นใจ ทว่าเหมือนกับเขาทุบลมเสียมากกว่า ชายทั้งสี่ไม่มีตัวตน ไม่อาจสัมผัสแตะต้องได้