10
พชรดนัยรู้สึกว่าลมหายใจของตนเองแรงขึ้น เมื่อกระจกปรากฏภาพสะท้อนจากเตียงนอน เขาหันขวับมามองเตียงนอนอีกครั้ง แต่ก็ไม่ปรากฏภาพที่เห็น เขาจึงหันกลับไปมองกระจกบานนั้นก็พบว่าภาพของชายหญิงคู่หนึ่งที่เขาจำได้อย่างแม่นยำว่าคือใคร ตระกองกอดแนบชิดสนิทเนื้อกันบนเตียง ต่างฝ่ายต่างพร่ำบอกรักซึ่งกันและกัน รอยยิ้มของทั้งคู่สดใสเต็มใบหน้าทุกครั้งที่ได้เอ่ยคำรัก
แล้วอยู่ๆ ภาพแห่งความรักก็แปรเปลี่ยนเป็นภาพแสนน่ากลัว หญิงสาวที่ถูกขานนามว่าแก้วตา ถูกโยนลงบนเตียง มีชายรูปร่างสูงใหญ่สี่คนกำลังคลานขึ้นมาบนเตียง น้ำตาของหล่อนแทบจะเป็นสายเลือด คำขอร้องอ้อนวอนของแก้วตาเปล่งออกมาไม่ขาดสาย แต่ชายทั้งสี่หาได้มีความสงสาร กลับหัวเราะและสาดคำพูดเจ็บแสบกลับไปแทน ภาพนาทีสำคัญกำลังจะปรากฏให้พชรดนัยเห็น แต่ทว่าเสียงเรียกของบรรสันต์เรียกสติ รวมทั้งภาพเหตุการณ์ต่างๆ ในมโนภาพของพชรดนัยให้กลับมาอยู่ในโลกของความเป็นจริง
“คุณเมฆครับ คุณเมฆ คุณเมฆครับ”
กว่าที่เจ้าของชื่อจะรู้สึกตัว บรรสันต์ต้องเสียพลังงานเรียกหลายครั้ง เขาเป็นห่วงพชรดนัยจึงตัดสินใจเดินขึ้นมาหา แต่กว่าจะขึ้นมาได้ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะกลัวว่าขั้นบันไดกับพื้นไม้จะหักระหว่างที่ตนเองกับวิกรมเดิน จำต้องค่อยๆ ย่อง เหยียบพื้นไม่เต็มเท้านัก เขากับวิกรมยังนึกแปลกใจอยู่ว่า ตอนที่พชรดนัยเดินขึ้นไปบนบ้านนั้น ดูท่าทางไม่กลัวพื้นจะหักจะพังแต่อย่างใด ก้าวเดินราวกับว่าพื้นไม้แข็งแรง
“ขะ...ครับ” พชรดนัยขานรับบรรสันต์ หลังจากที่สติกลับคืนมาสีหน้าและแววตามีร่องรอยตระหนก เหงื่อซึมตามใบหน้าและไรผม ดวงตากวาดมองไปรอบๆ ห้องที่แปลกตา เป็นภาพที่แตกต่างกับเมื่อวินาทีก่อนอย่างสิ้นเชิง ในห้องนี้มีสภาพทรุดโทรม หยากไย่เต็มห้อง ขาเตียงพังหนึ่งขาไม่สามารถใช้การได้ ที่นอนสีขาวที่ตนเห็นไม่มีอีกแล้ว เปลี่ยนเป็นสีดำจากฝุ่นเกาะ แต่ในความดำนั้นยังมองเห็นคราบวงใหญ่กลางที่นอน และมีบางจุดกระจายอยู่หลายที่ เขาหันกลับไปมองกระจกก็ไม่พบกับภาพนั้นเช่นกัน
มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา มันเกิดอะไรขึ้น ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามที่เขาได้เห็นเรื่องราวในอดีต เห็นในสิ่งที่คิดว่าน้อยคนนักจักได้เจอะเจอ เป็นเรื่องที่เล่าให้ใครฟังก็คงไม่มีใครเชื่อ ตัวเขาเองยังไม่อยากจะเชื่อเลย หากหญิงสาวในมโนภาพไม่ใช่คนที่ตนเองเห็นมาตั้งแต่เด็ก
“คุณเมฆจะเอายังไงกับบ้านหลังนี้ครับ” บรรสันต์เอ่ยถาม ในขณะที่วิกรมเกาะแขนคนสูงวัยไม่ปล่อย สีหน้าและท่าทางยังคงความหวาดกลัวไว้อย่างเต็มเปี่ยม
“ผมอยากจะซ่อมบ้านหลังนี้ครับ ผมชอบบ้านหลังนี้...ชอบมากครับ” พชรดนัยตอบเสียงหนักแน่น
“คุณเมฆจะซ่อมบ้านหลังนี้เหรอครับ” บรรสันต์ถามด้วยน้ำเสียงตกใจ “แต่บ้านหลังนี้เก่ามากแล้วนะครับ จะผุทั้งหลังแล้ว ถ้าจะซ่อมเท่ากับสร้างใหม่เลยนะครับ” ก่อนจะท้วงติงตามสภาพบ้านที่เขาเห็น
“นั่นสิครับ ผมว่าอย่าซ่อมเลย รื้อทิ้งดีกว่าครับ มันน่ากลัว”
ประเด็นที่วิกรมเสนอแนะ เหตุผลอยู่ข้อหลังมากที่สุด บ้านหลังนี้น่ากลัวสำหรับเขามาก ตอนที่เดินขึ้นมาเขาแทบจะกลั้นใจเดิน หายใจไม่ทั่วท้อง มองเลิ่กลั่กตลอดเวลากลัวว่าผีจะโผล่มาให้เห็น
“ไม่ ผมจะซ่อมบ้านหลังนี้”
เสียงของพชรดนัยทำให้อีกสองคนขนลุกซู่ เป็นเพราะเสียงนั้นสุขุมเยือกเย็น แฝงไว้ซึ่งความหนักแน่น อีกประการหนึ่งดวงตาสีนิลของเขาวาบวับประกายสีแดงระเรื่อซ้อนทับขึ้นมา วิกรมเห็นแล้วหลบไปอยู่ด้านหลังบรรสันต์ หลับตาแน่น ท่องสวดนะโมไม่หยุดปาก อยากจะวิ่งออกไปจากห้องนี้ ทว่าขาทั้งสองข้างหนักราวกับมีหินก้อนใหญ่ถ่วงเอาไว้ จึงเลือกที่จะหลบอยู่ด้านหลังของบรรสันต์มากกว่า ส่วนคนสูงวัยไม่ได้คิดมากอะไร คิดในทางที่ดีว่าอาจเป็นรังสีของพระอาทิตย์ที่สาดส่องมากระทบกับนัยน์ตาของพชรดนัย
“โอเคครับ อาจะให้ช่างจัดการให้ จะคงสภาพเก่าให้มากที่สุด”
“ผมต้องการให้ซ่อมเตียงนี้ด้วย เอาที่นอนออกเอาชิ้นใหม่มาแทนที่ ส่วนของทุกอย่างในบ้านชิ้นไหนที่แตกหักให้ทิ้งไป ชิ้นไหนที่ใช้ได้ให้นำไปทำความสะอาดแล้วจัดให้เข้าที่เข้าทาง ที่สำคัญในห้องนี้ห้ามโยกย้ายอะไรทั้งสิ้น ตกแต่งตามสภาพเดิมนะครับ” พชรดนัยสั่งการเพิ่มเติม
“ไม่มีปัญหาครับ เดี๋ยวอาจัดการให้”
“ปะ ไปกันเถอะครับ ไปคุยกันข้างล่างก็ได้ อยู่บนนี้ผมกลัว”
วิกรมพูดจากใจ ยิ่งอยู่ในบ้านหลังนี้นานๆ เขายิ่งขนหัวลุก มันรู้สึกหนาวๆ ตามร่างกายอย่างบอกไม่ถูก เวลานี้ให้เขาไปยืนตากแดดข้างนอกเสียยังดีกว่า
“กลัวผีเหรอ” พชรดนัยถามอย่างรู้ทัน “ไม่ต้องกลัวหรอกนะเพราะคนน่ากลัวกว่าผีอีก”
พูดจบพชรดนัยก็เดินออกไปจากห้องทันที บรรสันต์กับวิกรมจึงเดินตามเจ้าของบ้านคนใหม่ไปติดๆ พอทั้งสามเดินลงจากบ้านวิกรมที่เดินหลังสุดได้หันมามองบ้านหลังนั้นอีกครั้ง เขาเบิกตากว้าง สีหน้าตกใจสุดขีด ก้าวเท้าวิ่งนำหน้าอย่างไม่คิดชีวิต เมื่อเห็นร่างของสตรีนางหนึ่งยืนอยู่ในห้องหน้าประตูไม้ มีร่างของเด็กชายผมจุกยืนเคียงข้าง ก่อนที่สตรีนางนั้นจะปิดประตูไม้ให้สนิท
ความแค้นที่ถูกสะสมมาเนิ่นนานกำลังจะถูกสะสางในไม่ช้า
กัณฑริกาถือปิ่นโตเถาใหญ่พร้อมกับดอกบัวกำหนึ่งเข้าไปในวัดแห่งหนึ่งในตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่ วันนี้เป็นวันอาสาฬหบูชาเธอจึงตั้งใจมาทำบุญที่วัดเหมือนกับคนอีกหลายสิบคน เธอเดินเข้าไปยังศาลาการเปรียญอย่างคุ้นเคย ไหว้พระประธานก่อนจะนำอาหารคาวหวานที่เตรียมมา จัดใส่ภาชนะที่ทางวัดจัดเตรียมไว้ให้ แล้วนำไปวางไว้บนโต๊ะ เสร็จสรรพก็มานั่งรวมอยู่กับพุทธศาสนิกชนที่มาทำบุญเพื่อฟังพระสวดมนต์และให้พร
หลังจากพิธีดังกล่าวจบสิ้น ก็เป็นเวลากรวดน้ำ แล้วอีกเช่นเคยกัณฑริกาลุกขึ้นยืน เดินค้อมตัวออกไปจากศาลาการเปรียญ ก้าวเดินไปยังต้นไม้ใหญ่ข้างศาลา หยิบขวดน้ำขวดเล็กออกจากกระเป๋าสะพาย ลงมือกรวดน้ำตรงจุดนั้นเพียงลำพัง
เป็นเหมือนกับเช่นทุกครั้งที่เธอกรวดน้ำ สายลมไม่ทราบทิศทางได้พัดพาน้ำที่ไหลออกจากปากขวด ให้ลอยล่องไปในอากาศ แต่เธอก็หาได้หยุดเทน้ำออกจากขวด เพราะคิดว่าเธอคิดดีและทำดี เพียงแค่ละอองของน้ำที่สัมผัสดินตรงต้นไม้ใหญ่ นั่นเท่ากับว่าเธอได้บุญกุศลจากการทำบุญในครั้งนี้
“ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่ทำในวันนี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวร ทั้งญาติภพนี้และภพภูมิที่แล้ว ขอให้เจ้ากรรมนายเวรได้รับผลบุญในครั้งนี้ด้วยเถิด” จบคำพูดกรวดน้ำ เธอก็พนมมือไหว้
“มีเหตุผลใดจึงมากรวดน้ำตรงนี้”
บุคคลที่ถามคือพระภิกษุสูงอายุ กัณฑริกาย่อตัวลง พนมมือไหว้พระภิกษุที่เธอไม่เคยเห็นหน้า ท่านคงมาเป็นพระใหม่หรือไม่ก็ย้ายมาจำพรรษาที่วัดแห่งนี้