9
วิกรมยังนึกผวากับสิ่งที่เขาพบเห็น เขาไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางมาก่อน จนกระทั่งมาเจอกับตัว เรื่องการจัดแต่งพื้นที่ตรงจุดนั้นเป็นสวนร่มรื่น วิกรมทำมาอย่างต่อเนื่อง เดินดูและจดบันทึกเกี่ยวกับต้นไม้ที่เขาสำรวจ แต่ทว่าหกเดือนมานี้เขาทิ้งช่วงห่างการสำรวจ เนื่องจากต้องไปดูแลมารดาที่ไม่สบาย พอท่านอาการดีขึ้นวิกรมจึงกลับมาทำงานตามหน้าที่ของตนดังเดิม
“งั้นเราไปดูกันเลยดีกว่า จะมีผีที่ไหนมาหลอกคนกลางวันแสกๆ อากาศร้อนทำให้ตาลายหรือเปล่าอั้ม”
บรรสันต์ไม่อยากจะเชื่อคำพูดของวิกรมมากนัก ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ ทว่าเวลานี้เป็นเวลาสาย แดดออกเปรี้ยง ผีที่ไหนจะมาหลอกหลอนตอนกลางวัน
“คุณสันต์เดินไปเองได้ไหมครับ ผมกลัว” วิกรมยังขยาดที่จะเดินกลับไปบ้านหลังนั้น แค่นึกขนแขน ขนขาและขนหัวเขาก็ลุกตั้งแล้ว
“ไปด้วยกันนี่แหละอั้ม จะได้รู้กันไปว่ามีผีหรือเปล่า”
คนที่มีอายุมากที่สุดรุนหลังวิกรมให้เดินนำหน้าได้ในที่สุด วิกรมแม้ว่าจะไม่อยากไปบ้านหลังนั้น แต่ก็จำยอมพาทั้งคู่ไปยังจุดหมายที่เขาไม่ปรารถนาจะไป
ระหว่างทางที่พชรดนัยเดินไปนั้น เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกคุ้นเคย ราวกับว่าเคยเหยียบย่างเดินผ่านมาก่อน ทั้งที่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก และที่สำคัญเส้นทางนี้เป็นทางเดียวกันกับที่หญิงชายคู่หนึ่งในมโนภาพเดินเคียงคู่หายเข้าไปพื้นที่รกครึ้ม ยิ่งเขาเดินลึกเข้าไปความคุ้นตายิ่งมีมากขึ้น แหวนที่พชรดนัยสวมใส่เกิดประกายวูบวาบ เรืองแสงด้วยสีแดง ก้าวใกล้จุดหมายมากเท่าไหร่ แสงสีแดงยิ่งเรืองแสงมากเท่านั้น
“บะ...บ้านหลังนี้ไงครับ” วิกรมหยุดยืนห่างจากบ้านหลังเก่าหลังหนึ่งร่วมสามสิบเมตร
บรรสันต์มองบ้านไม้ยกพื้นสูง สภาพบ้านเก่ามาก หยากไย่ขึ้นระโยงระยาง ตัวบ้านทำจากไม้ซึ่งได้ผุพังไปตามกาลเวลา ดูน่ากลัวเพราะมีต้นตะเคียนโอบขนาบข้าง สูงใหญ่เลยหลังคาบ้าน แผ่กิ่งก้านคลุมหลังคาบ้านจนแทบมองไม่เห็นหลังคา เวลานี้เป็นเวลากลางวันยังดูน่าสะพรึงกลัวและชวนขนหัวลุก บรรสันต์ไม่อยากจะคิดเลยว่า หากเห็นตอนกลางคืน อารมณ์จะเป็นแบบไหน
พชรดนัยมองบ้านตรงหน้านิ่งงัน ภายในจิตใจของเขารู้สึกอิ่มเอม และในฉับพลันความรู้สึกเสียใจอย่างสุดแสนก็ปะทุขึ้นมา แน่นเสียดในอกจนเขายกมือขึ้นมาจับตรงหัวใจโดยไม่รู้ตัว
“คุณเมฆเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” บรรสันต์เอ่ยถามเมื่อเห็นท่าทางไม่สู้ดีของพชรดนัย
“ไม่เป็นอะไรครับคุณอา” เขาตอบเสียงเรียบเรื่อย อาการก่อนหน้าหายเป็นปลิดทิ้ง
“แน่นะครับ” ผู้อาวุโสถามย้ำ
“แน่ครับ ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ ครับคุณอา”
พชรดนัยตอบย้ำเช่นกัน ยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่ายเชื่อมั่นว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ก่อนจะก้าวเดินไปยังบ้านหลังนั้น
อย่างไม่หวาดหวั่นความน่ากลัวที่วิกรมเจอะเจอ นัยน์ตาสีนิลแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิงวูบหนึ่ง แหวนนพเก้าเปล่งแสงเรืองโรจน์มากขึ้น ราวกับว่าได้รับอานุภาพบางอย่าง เติมพลังให้แหวนนั้นมีชีวิต
“คุณเมฆครับ คุณเมฆรออาก่อน”
บรรสันต์เรียกรั้ง ก้าวเดินตามร่างของพชรดนัยไปติดๆ วิกรมหันซ้ายแลขวา หวาดกลัววิ่งตามไปประกบร่างของ บรรสันต์ เกาะแขนแจไม่ยอมปล่อย
“คุณสันต์อย่าทิ้งผมนะ ผมกลัว” คนกลัวผีพูดเสียงสั่น
“กลัวเกลออะไร ไม่ต้องกลัวอยู่กันตั้งหลายคน” บรรสันต์หันมาเอ็ดวิกรมไม่จริงจัง นึกขำกับท่าทางของชายตัวโตกลัวผี
“หลายคนที่ไหน สามคนเอง” วิกรมเถียงกลับ มองบ้านตรงหน้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ไปเถอะคุณเมฆจะเดินขึ้นบ้านอยู่แล้ว” บรรสันต์พูดเร่ง ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินตามร่างของพชรดนัย
เท้าใหญ่ของพชรดนัยมาหยุดยืนหน้าบันไดบ้านหลังเก่าซอมซ่อ เขาเงยหน้ามองตัวบ้านในระยะใกล้ที่กำลังจะผุพัง ข้าวของเครื่องใช้ที่อยู่นอกเรือนกระจัดกระจายไปทั่ว ใบไม้แห้งเกลื่อนกลาด ฝุ่นสกปรกขึ้นหนาเตอะ ฝาไม้ผุเป็นรูใหญ่ บ้างก็หลุดร่อนบอกให้รู้ว่าบ้านหลังนี้ร้างคนอาศัยมานานแสนนาน
“คุณเมฆจะขึ้นไปหรือครับ” บรรสันต์เอ่ยถาม เมื่อเห็นพชรดนัยยกเท้าขึ้น
“ใช่ครับคุณอา” อีกฝ่ายตอบโดยไม่หันไปมองหน้า
“ระวังนะครับ บ้านหลังนี้เก่ามาก บันไดกับพื้นไม้อาจจะผุพังได้นะครับ” บรรสันต์กล่าวเตือนด้วยความเป็นห่วง
“ระวังผีเด็กด้วยนะครับ” วิกรมไม่วายเป็นห่วงเรื่องที่เขากลัว
“บ้านนี้ปลอดภัยสำหรับผมครับ”
พชรดนัยหันมาพูดกับอีกสองคนที่ยืนอยู่ไม่ห่าง ก่อนจะวางเท้าลงบันไดขั้นแรกและทันทีที่ฝ่าเท้าของเขาวางลงบันไดไม้เก่าๆ ใกล้จะพัง สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
ภาพที่พชรดนัยเห็นไม่เป็นเหมือนวินาทีก่อน บันไดที่ใกล้จะพังกลับกลายเป็นแข็งแรง ไม่ดังเอี๊ยดอ๊าดเหมือนที่ควรจะเป็น พอก้าวขึ้นไปหยุดยืนตรงชานบ้าน ตัวบ้านที่เก่าซอมซ่อแปรสภาพเป็นอีกแบบหนึ่ง เป็นสภาพที่คล้ายกับมีคนอาศัยพักพิง ข้าวของเครื่องใช้ที่กระจัดกระจายเต็มพื้นบ้านถูกจัดวางให้เข้าที่และเป็นระเบียบ ฝุ่นหนาเตอะหายไปในพริบตา สะอาดสะอ้านประหนึ่งมีคนอาศัยอยู่ ปัดกวาดเช็ดถูทุกวัน
เขาก้าวเข้าไปในบ้าน กวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะเดินไปยังประตูบ้านเดียวของบ้าน มือใหญ่ยกขึ้นสูงแล้วผลักประตูนั้นเบาๆ
เอี๊ยด...เสียงดังตามประตูที่เปิดอ้า พชรดนัยยกเท้าก้าวข้ามผ่านธรณีประตูเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง เดาได้ว่าน่าจะเป็นห้องนอนเนื่องจากมีเตียงไม้ขนาดพอดีตั้งอยู่ เขาเดินเข้าไปหยุดยืนริมเตียง แล้วมองไปทางปลายเตียง ยกสายตาขึ้นสูงเล็กน้อยมองดูกระจกเงาแบบมองเห็นคนได้เต็มตัวล้อมกรอบด้วยไม้แกะสลักติดกับฝาผนังของห้องที่ห่างจากปลายเตียงราวหนึ่งเมตรครึ่ง
“แม่จ๋า แม่กลับมาหาจุกแล้ว”
เสียงเด็กดังไกลๆ ไหลเข้ามาในหูของพชรดนัย เมื่อร่างสูงใหญ่ก้าวเข้าไปยืนกลางห้อง เขาหันกวาดตาไปรอบๆ เพื่อหาต้นเสียวแว่วๆ นั้น ทว่าก็หาได้พบต้นเสียงนั้นไม่ พชรดนัยไม่รู้เลยว่า ต้นเสียงประโยคนั้นเดินตามเขาไม่ห่าง อยู่ใกล้กันมากแต่ไม่อาจสัมผัสกันได้