8
“ไม่ได้เป็นอะไรครับ ผมแค่ทึ่งกับรีสอร์ตที่คุณพ่อสร้างให้เท่านั้นเองครับ”
พชรดนัยแก้ตัว ตัวเขาเองยังไม่แน่ใจว่า ภาพที่เห็นเมื่อครู่เกิดขึ้นได้อย่างไร อาจเป็นเพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าว แดดจัดมากจนดวงตาเขาพร่าเลือน เกิดภาพซ้อนทับขึ้นมาก็เป็นได้ จะเล่าให้ใครฟังก็คงไม่มีใครเชื่อ การเก็บเป็นความลับคือวิธีที่ดีที่สุด
“เป็นอา อาก็ทึ่งครับ คุณท่านตั้งใจสร้างรีสอร์ตนี้ให้คุณเมฆตั้งแต่ได้ที่ดินผืนนี้ครับ ท่านออกแบบเองด้วยนะครับ ตัวรีสอร์ตเสร็จเกือบสมบูรณ์แล้วเหลือแค่ตกแต่งภายในเท่านั้น ท่านบอกว่าให้เจ้าของตัวจริงจัดการต่อเองจะดีกว่า ส่วนพื้นที่ที่ยังมีต้นไม้ขึ้นรกครึ้ม” คำพูดประโยคนี้บรรสันต์ชี้ไปยังต้นไม้น้อยใหญ่ที่ปลูกรกครึ้มตรงข้ามกับรีสอร์ต
“อากำลังให้อั้มเขาปรับโครงสร้างเสียใหม่ อนุรักษ์ต้นไม้ไว้ให้มากที่สุด ถางหญ้าและต้นไม้เลื้อยออก จัดแต่งเป็นสวนขนาดใหญ่ มีเก้าอี้วางกระจายตามจุดต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวนั่งอ่านหนังสือ นั่งผ่อนคลายอารมณ์ อาคิดว่าคงร่มรื่นน่าดู น้อยนักที่จะมีรีสอร์ตทำอย่างนี้” บรรสันต์อธิบายเกี่ยวกับรีสอร์ตแบบคร่าวๆ ให้เจ้าของตัวจริงเสียงจริงได้รับรู้
“ผมก็ว่าดีเหมือนกันนะครับ ถ้าตัดต้นไม้ทิ้งแล้วทำสวนใหม่ผมว่าไม่ดีแน่ เสียดายต้นไม้ที่ยืนต้นมานับสิบๆ ปี อีกอย่างเรามีธรรมชาติอยู่ในมือก็น่าจะสรรสร้างให้เป็นประโยชน์”
พรชดนัยเห็นดีด้วยกับความคิดของบรรสันต์ ต้นไม้ที่ปลูกอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตัวรีสอร์ตยังมีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก ต้นไม้น้อยใหญ่ปลูกอยู่เต็มพื้นที่ แม้ว่าจะรกครึ้มแต่ก็สามารถจัดตกแต่งให้เป็นระเบียบได้ไม่ยากเช่นกัน
“คุณเมฆจะไม่ตกแต่งอะไรเพิ่มเติมแล้วใช่ไหมครับ ผมหมายถึงจะใช้พื้นที่ตรงนั้นทำเป็นสวนร่มรื่นอย่างเดียวใช่ไหมครับ” บรรสันต์ถามเพื่อความมั่นใจ
“ใช่ครับ แค่ตัวรีอสร์ตนี่ก็ใหญ่แล้วนะครับ แค่นี้ก็พอ ตรงจุดนั้นผมอยากให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด มีต้นไม้ไว้ให้คนที่มาพักสูดออกซิเจนบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด เป็นที่พักผ่อนอย่างแท้จริงครับ”
เขามีความรู้สึกว่า รักต้นไม้แถบนั้นทุกต้น ไม่อยากให้ใครไปยุ่งเลยด้วยซ้ำ แต่ทว่าในแง่การทำธุรกิจนั้นไม่ใช่ จะต้องมีการแผ้วถางและจัดระเบียบสวนเสียใหม่ เพื่อความสวยงามและปลอดภัย
“ตามใจคุณเมฆครับ คุณเมฆว่ายังไงอาก็ว่าอย่างนั้น เราเข้าไปดูข้างในกันดีกว่านะครับ เผื่ออยากจะตกแต่งอะไรเพิ่มเติม อาจะได้จัดการให้”
“ได้ครับคุณอา” บุรุษสองวัยจึงพากันเดินเข้าไปในตัวรีสอร์ต และระหว่างทางที่เดินพชรดนัยเร่งสอบถามในเรื่องที่ตนเองต้องการรู้
“คุณอาครับ คุณพ่อได้ที่ดินผืนนี้มายังไงครับ”
“เจ้าของเดิมเป็นเพื่อนกับอาเอง เขามาหาอาบอกอาว่าจะขายที่ดินผืนนี้ อยู่ๆ อาก็นึกถึงคุณท่านก็เลยมาพูดกับคุณท่านแล้วพามาดูที่ คุณท่านตกลงใจซื้อทันทีที่ได้เห็น และบอกกับอาหลังจากโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเรียบร้อยว่า ต้องการสร้างรีสอร์ตบนพื้นที่กว่าห้าร้อยไร่นี้ให้กับคุณเมฆ จะว่าไปที่ดินผืนนี้ก็เปลี่ยนมือมาหลายมือแล้วนะครับ ภายในสามสิบปีที่ผ่านมาถูกเปลี่ยนมือมาแล้วกว่าสิบคน คนที่ได้ครอบครองที่ดินตั้งใจจะสร้างห้างสรรพสินค้าบ้าง โรงแรมบ้าง หมู่บ้านจัดสรรบ้างแล้วยังมีอีกหลายอย่าง แต่ว่าไม่เคยมีใครลงมือทำได้เลยสักราย จะมีแต่คุณท่านนี่แหละครับที่ทำรีสอร์ตได้”
บรรสันต์ตอบคำถามพชรดนัยอย่างละเอียด พร้อมกันนี้ยังเล่าความเป็นมาเป็นไปอันแสนลึกลับของที่ดินผืนนี้ให้ฟังอีกด้วย คนช่างสงสัยอย่างพชรดนัยจึงมีคำถามใหม่เกิดขึ้นในใจทันที
“ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะครับคุณอา”
“เขาเล่ากันมาว่า ที่ดินผืนนี้มีอาถรรพ์ เจ้าของแต่ดั้งแต่เดิมเป็นพระยาในสมัยรัชกาลที่ 5 ต่อมาตอนต้นรัชสมัยของรัชกาลที่ 6 ท่านพระยาผู้นี้ตรอมใจตายหลังจากที่ลูกชายเพียงคนเดียวเสียชีวิต บ้านพร้อมที่ดินผืนนี้จึงตกอยู่ในมือพี่น้องลูกหลานสืบต่อกันมา แต่อาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามาตกอยู่ในมือของคนนอกตระกูลได้ยังไง พอเจ้าของใหม่ส่งคนมารื้อถางเพื่อก่อสร้างสิ่งที่ตัวเองต้องการทีไร จะต้องเจอดีทุกครั้ง บ้างก็เห็นเด็กห้อยหัวบนขื่อบ้าน บ้างก็เห็นเด็กคนเดิมมายืนอยู่หน้าบันไดบ้าง ร้องเรียกหาพ่อหาแม่และอีกสารพัดเลยครับ พวกช่างกับคนงานที่เข้าไปทำอะไรกับบ้านหลังนั้นมีอันต้องวิ่งหนีหัวโกร๋น ไม่กล้ามาทำงานที่นี่แม้ว่าจะเงินดีมากแค่ไหน นิมนต์พระมาสวดก็แล้ว เสกน้ำมนต์ปัดรังควานก็แล้ว บางรายให้หมอผีมาทำพิธียังมีเลยนะครับ แต่ก็เอาไม่อยู่ เขาก็สันนิษฐานกันไปว่าเด็กคนนั้นอาจจะเป็นผีบ้านผีเรือนที่ปกป้องดูแลบ้านกับที่ดินผืนนี้”
บรรสันต์เล่าประวัติของที่ดินผืนนี้ที่เล่าต่อปากต่อปากให้พชรดนัยได้รับฟัง
“แล้วทำไมคุณพ่อถึงสร้างรีสอร์ตได้ล่ะครับ ถ้ามันมีอาถรรพ์จริงๆ”
“ข้อนี้ผมก็แปลกใจอยู่ไม่น้อยครับ อาจเป็นเพราะคุณท่านมาจุดธูปบอกกล่าวผีบ้านผีเรือนหรือไม่ก็เจ้าที่เจ้าทางก็ได้ครับ ทุกอย่างจึงราบรื่นสมใจ”
สำหรับพชรดนัยกลับไม่คิดเช่นนั้น เขาแน่ใจว่าเจ้าของเดิมก็ต้องจุดธูปบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาที่ดินผืนนี้เช่นกัน แต่เหตุใดเจ้าของเดิมทั้งหลายถึงทำตามใจปรารถนาไม่ได้ ข้อนี้มันน่าคิด น่าสงสัยเหลือเกิน ประหนึ่งว่า เจ้าของสถานที่ที่ไร้ตัวตน ยินยอมให้บิดาของเขาทำทุกอย่างได้ดังใจคิด พชรดนัยกำลังจะพูดในสิ่งที่ตนเองตั้งข้อสงสัย ทว่าเสียงตะโกนของใครบางคนที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ดังแทรกขึ้นมาดังลั่น
“คุณสันต์ครับ คุณสันต์ คุณสันต์ครับ”
วิกรมเฝ้าตะโกนร้องเรียกชื่อบรรสันต์ ราวกับว่ามีเรื่องคอขาดบาดตาย สีหน้าของเจ้าของเสียงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกตกใจ คล้ายกับเห็นผีกลางวันแสกๆ
“ส่งเสียงซะดังเลยนะอั้ม มีเรื่องอะไร” บรรสันต์ถามคนหน้าตาตื่น
“ผีครับ พวกคนงานที่จะไปรื้อบ้านตรงโน้นบอกว่าเห็นผี” วิกรมพูดไปด้วยหอบไปด้วย เพราะระยะทางจากบ้านหลังดังกล่าวมายังรีสอร์ตแห่งนี้ราวห้าร้อยเมตร
“บ้านตรงโน้น ตรงไหนครับคุณอา” คนที่ถูกถามรู้สึกร้อนใจอย่างบอกไม่ถูก หลังจากได้ยินคำพูดของวิกรม
“นั่นสิ ตรงไหนอั้ม” บรรสันต์เองก็ไม่ทราบว่าเป็นบ้านหลังไหน
“ก็บ้านตรงท้ายที่ดินไงครับ วันนี้ผมเข้าไปตรวจดูพื้นที่เพื่อจัดการเรื่องตกแต่งสวนให้เรียบร้อย สำรวจไปเรื่อยๆ ก็พบกับบ้านหลังนั้น ผมเห็นว่ามันเก่าและใกล้ผุพังเต็มทีก็เลยให้คนไปรื้อทิ้ง ปรากฏว่าเจอดีเข้าให้ เจอผีเด็กนั่งห้อยขาอยู่บนบ้าน วิ่งป่าแทบราบครับ”