“อืม...” มืออุ่นๆ ของพี่เพิร์ทตะปบกำทรวงอกทั้งสองข้างนวดเฟ้นเน้นหนักหน่วงจนร่างอันโอนอ่อนของฉันถลาพิงหลังกับผนังกระจกเย็นเฉียบ
“อย่ายั่วพี่แบบนี้สิ...”
“ปล่อย...อื้อ!” แม้อารมณ์บางอย่างจะระอุอุ่นขึ้นมากลายๆ แต่ภาพบาดตาเมื่อตอนหัวค่ำมันก็หลอนหลอกให้ฉันพยายามดึงตัวเองออกมาจากห้วงพิศวาสที่เขากำลังเพียรก่ออย่างไม่นึกรู้สึกรู้สา
“ทำไมล่ะ...หลอกพี่ว่ามาวันเกิดเพื่อนพี่ยังไม่ว่าอะไรสักคำ มันต้องมีบทลงโทษกันบ้าง ริโกหกกับพี่แล้วนะเดี๋ยวนี้” มือไม้และใบหน้าของเขายังพะเน้านัวเนียไม่ยอมห่าง ไรหนวดครูดบาดผิวเนื้อเป็นริ้วๆ ให้ฉันสะท้านจนขนลุกซู่ ท้องน้อยปั่นป่วนไปด้วยฉนวนเสน่หาซึ่งก่อตัวรุนแรงทุกขณะ
“คุณเอง...ก็จะได้มีเวลาให้คนอื่นๆ บ้างไงคะ ไม่ดีเหรอ...” ฉันอดที่จะขุดมันมาพูดไม่ได้ หัวใจเหมือนถูกบีบรุนแรงเมื่อนึกถึงยามนั้น ให้ตายเถอะฉันกำลังหึงเขา...หึงผู้ชายที่ตัวเองไม่ได้มีสิทธิ์อะไรเลย
“หนูหึงพี่เหรอ ไม่เอาน่าคนดีเรารู้กันอยู่ว่าเราควรทำยังไง”
“หนูรู้...ถึงได้บอกให้คุณหยุดไงคะ กลับไปหาเธอเถอะคุณใจร้ายมากที่ทิ้งเธอมาแบบนี้” ฉันกัดฟันข่มสติที่เหลือน้อยนิดและอารมณ์ปะทุเพราะแรงหวงบอกปัดไป ในคำพูดนั้นยังเคลือบแฝงเอาไว้ด้วยการประชดประชันเล็กน้อย
“ไม่มีใครทิ้งใครพี่ก็ทิ้งหนูไว้แบบนี้ไม่ได้ด้วย พี่คงจะขาดใจตายแน่แท้...” มือของเขาข้างหนึ่งเริ่มเลื้อยไปจับบั้นท้ายอวบอั๋นของฉันแล้วดันเข้าหาตัวถูไถเสียดสีกับบางอย่างที่ผงาดดิ้นอยู่ในกางเกงซึ่งเปียกโชก ลมหายใจของฉันผิดปกติยิ่งกว่าเก่า ความรู้สึกหลากหลายตีตื้นให้เกิดความขัดแย้งกันเอง ฉันไม่เคยปฏิเสธได้เลยว่าต้องการเขา...
กริ๊ง!! กริ๊ง!!พี่เพิร์ทผละจากอกอูมและผิวกายของฉันเมื่อเสียงนั้นกรีดร้องขึ้น ใบหน้าชื้นหยาดน้ำสบตากับฉัน ลมหายใจอุ่นๆ อยู่ห่างแค่คืบจนสามารถรับรู้กลิ่นอันคุ้นเคยได้เป็นอย่างดี ฉันรู้ว่าเขาต้องไป...แทนที่จะมัวอยู่กับการนัวเนียต่อจนจบ เพราะพี่เพิร์ทมักกังวลถึงเรื่องลูกมาเป็นอันดับหนึ่ง ม่านมุขไม่สบายมาตั้งแต่เกิด ดังนั้นคนเป็นพ่อจึงไม่เคยปล่อยให้เสียงโทรศัพท์เป็นเพียงเสียงที่ผ่านหูเลยสักครั้ง... “รีบอาบน้ำเถอะ พี่เปียกหมดแล้ว” เขาบอกเชิงออกคำสั่ง ฉันหายใจโล่งอกในขณะที่อีกใจก็หงุดหงิดเมื่อถูกลดค่าความสำคัญชัดเจน
พี่เพิร์ทช่วยฉันอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายไปพลางจัดการกับเสื้อผ้าที่เปียกปอนของตัวเองไปพลางจนเสร็จสิ้นภายในเวลาเพียงสิบนาทีเศษๆ แล้วก็อุ้มฉันกลับเข้าห้อง วางให้นอนบนเตียงแล้วตัวเองก็คว้าผ้าขนหนูพันร่างรีบปรี่ไปหยิบโทรศัพท์ซึ่งวางไว้ตรงชุดโซฟาแล้วเปิดประตูออกไปนอกระเบียงห้อง
ทิ้งรอยสัมผัส...เอาไว้บนเรือนร่างของฉันจากการอาบน้ำเมื่อครู่
ร่องรอย...ของฝ่ามือที่ลูบไล้ไปกับฟองสบู่
ร่องรอย...การถูไถตามซอกมุม...มันเร่าร้อน ระอุอุ่นเหลือเกิน บวกกับฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ซึ่งกระตุ้นกำหนัดหวิวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วให้ยิ่งสำแดงเดชมากขึ้น
ฉันเผลอพลิกตัวแผ่หลากลางที่นอนนุ่ม บิดกายส่ายไปมาอย่างลืมตัว
สักพัก...ฉันเริ่มมองไปที่ประตูกระจกซึ่งมีผ้าม่านปกคลุมเอาไว้อีกชั้น พี่เพิร์ทยังไม่เข้ามา ต่อมอยากรู้อยากเห็นเริ่มทำงานด้วยความอยากรู้ว่าปลายสายที่คุยกันนานสองนานนั้นใช่ธุระเรื่องบุตรสาวเขาหรือเปล่า แน่นอน...ฉันก็เป็นผู้หญิง มีหัวจิตหัวใจเฉกเช่นมนุษย์สามัญ ไม่แปลกหรอกที่ฉันจะเกิดความหึงหวงขึ้นมาบ้าง พานจะคิดไปว่าเขากำลังคุยกับหญิงสาวคนนั้นหรือเปล่า?
ฉันพลิกตัวอีกครั้งตะแคงข้างและหย่อนเท้าลงบนพื้น พยุงตัวเองให้ลุกผละลงจากที่นอนทั้งที่ร่างเปลือยเปล่า หงุดหงิดใจเล็กน้อยที่ต้องนอนรอให้พี่เพิร์ทคุยธุระเสร็จและอีกใจก็ระแวงหวงตามสัญชาตญาณ ฉันก้าวเท้าโซซัดโซเซไปยังประตูกระจกของห้อง เกาะผนังเอาไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวแว่วได้ยินเสียงทุ้มของพี่เพิร์ทยังคุยกับใครบางคน
ฉันจับใจความสำคัญได้ว่า...ไม่ใช่ธุระจากทางบ้าน ไม่ใช่ภรรยาหรือลูกที่โทร.หา แต่เป็นใครบางคนในฮาเร็มของเขาซึ่งอาจจะเป็นแม่สาวเมื่อช่วงหัวค่ำคนนั้นตามจิกทวงพี่เพิร์ทคืนก็เป็นได้
นึกถึงตรงนี้แล้วให้รู้สึกเจ็บแค้นในหัวอก แต่ไม่มีประโยชน์หรอกหากคิดจะโวยวายฉันไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะทำอะไรได้ นอกเหนือจากสิ่งที่เขากำหนดซึ่งพี่เพิร์ทได้บัญญัติเอาไว้เพียงแต่เมื่อเราอยู่ในจุดๆ หนึ่งเราจะรู้ไปเองโดยอัตโนมัติว่าใคร...ควรทำอะไร ยังไง ซึ่งหากไม่สามารถควบคุมได้ ก็ต้องเลือกทางเดินคนละเส้นทางเพื่อความสบายใจของแต่ละคน
ฉันไม่อาจทนฟังคำสนทนาที่กำลังหยอกเอินงอนง้อกันอยู่นั้นได้อีกต่อไป มันร้อนรุ่มในหัวอกแทบระเบิดด้วยความขุ่นเคืองแต่ไม่อาจทำอะไรได้ จึงตัดสินใจพาร่างที่ไม่สมประดีนักเดินไปหยิบเสื้อคลุมผ้าไหมมาคลุมปกปิดความบัดสีของผิวเปลือยเอาไว้ และออกจากห้องไปโดยที่พี่เพิร์ทเองไม่รับรู้
สายลมปะทะผิวเนื้อทันทีเมื่อเดินออกมาสู่โลกภายนอก ที่แท้นี่ไม่ใช่โรงแรม
แต่เป็นบ้านพักตากอากาศต่างหากตอนมาฉันคงเมาหนักถึงขนาดนึกเอาเคหะสถานผิดเพี้ยนไปได้ถึงเพียงนี้
อาการสะลึมสะลือยังหลงเหลือแต่สามารถพยุงร่างให้ดำเนินไปตามทางได้สะดวกยิ่งขึ้น ในสมองโหวงเหวงเลื่อนลอยไม่มีจุดหมาย สายตาของฉันเหม่อมองไปยังพระจันทร์ที่งามสง่าเด่นหราอยู่เบื้องบน แล้วก็ตามมันไป...
เท้าที่ปราศจากสิ่งใดปกป้องเหยียบย่างไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงชายหาดที่ปลอดผู้คน ฉันไม่รู้หรอกว่ายามนี้มันเวลาไหนแต่ถ้าให้เดามันก็คงดึกมาก แถบบริเวณนี้ถึงได้ร้างสีสันไม่เหมือนที่อื่นๆ ซึ่งแม้จะย่ำรุ่งไปแล้วก็ยังคงคึกคักไม่สร่างซา หรืออาจเพราะมันถูกกันไว้เป็นอาณาเขตส่วนตัวด้วยกระมัง
แต่ก็ดี...มันเงียบสงบแหละเหมาะกับสภาพสังขารของฉันในตอนนี้ด้วย