บทที่ 1 ตอนที่ 1
ตะวันบ่ายคล้อยไปแล้ว เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กๆ สร่างซาไปกว่าครึ่ง เพราะมีผู้ปกครองมารับกลับไปบ้างแล้วบางส่วน ฉันถอนหายใจให้กับวันเดิมๆ ที่ผ่านไปแต่ละช่วงเวลาเท่านั้น แต่วงจรชีวิตกลับหมุนเวียนซ้ำแล้วซ้ำอีกฟังดูน่าเบื่อหน่าย
แต่ฉัน...ก็เคยชินกลมกลืนไปกับมันแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกันไปแล้วก็ว่าได้
“ครูโอลีฟ วันนี้กลับช้าหน่อยได้ไหมคะ พอดีดาวต้องรีบไปทำธุระแต่เด็กๆ ในห้องยังกลับกันไม่หมดเลย ครูช่วยอยู่รอผู้ปกครองมารับห้องของดาวด้วยได้ไหมคะ”
เสียงเพื่อนร่วมงานเอ่ยเรียกฉันและออกปากขอร้องให้ฉันช่วยเหลือ ฉันหันไปมองเธอ ‘แสงดาว’คุณครูพี่เลี้ยงของเด็กๆ ที่อยู่ห้องถัดไปนั่นเอง เธอเป็นเพื่อนครูคนเดียวที่ค่อนข้างไม่แยแสต่อเสียงครหาจากคนรอบข้างเกี่ยวกับฉัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
“ได้ค่ะครูดาว ลีฟต้องเคลียร์การบ้านของเด็กๆ อยู่เหมือนกัน ยังไม่เสร็จเลย วันนี้ไม่รีบกลับหรอกค่ะ”
“ดีจัง...ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณมากนะคะ”
“ค่ะ...”ฉันพยักหน้า ยิ้มรับ มองเธอที่ยืนอยู่ตรงประตูห้องเรียนหันหลังและรีบจ้ำอ้าวเดินจากไป
เกือบหนึ่งปีสำหรับการเป็นครูสอนนักเรียนอนุบาลที่นี่ ทำให้ฉันเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างโดยเฉพาะความอดทนและการสงบจิตใจให้เย็นยะเยือกเหมือนน้ำแข็ง แต่บางครั้งก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าน้ำแข็งนั้นมันห่อหุ้มปล่องภูเขาไฟที่ใกล้ปะทุเต็มทีเอาไว้
เอกสารกองโตตรงหน้า ฉันตั้งใจจะรวบรัดให้เสร็จภายในเย็นนี้ เพราะครูพี่เลี้ยงที่ช่วยฉันสอนลาป่วย และครูสำรองคนอื่นๆ ก็ดูจะไม่ค่อยอยากทำหน้าที่แทนสักเท่าไหร่ ฉันไม่อยากเซ้าซี้กับ ผอ.ให้มากความ เพราะมันก็ไม่ได้เป็นงานที่หนักหนา ดังนั้นจึงยอมรับภาระทั้งหมดเอาไว้เสียเอง “ครูคนนี้เหรอ...หน้าตาก็สวยดีนะ หน้าที่การงานก็เป็นถึงครูบาอาจารย์ทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกัน”
เสียงนั้นแว่วเข้าหู แน่นอนมันไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยิน แต่จะให้ชินมันก็ไม่ใช่ ฉันชะงักปากกาในมือนิดหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาลงรายละเอียดในสมุดพกของเด็กๆ ต่อไป
“ความอยากมันไม่เข้าใครออกใครหรอกคุณ เทอมหน้าลูกดิฉันต้องขยับขึ้นมาเรียนห้องนี้ด้วยสิ ฉันคงต้องย้ายโรงเรียนให้ลูก ไม่ไหว...มีครูประจำชั้นเป็นเมียน้อยเขา ฉันรับไม่ได้ อายเขาตายเลย”
“นั่นสิ ยังมีหน้าอยู่ในสังคมได้ยังไงกัน คนรู้ทั่วบ้านทั่วเมืองแบบนี้...”
ปากกาในมือของฉันสั่น รู้สึกร่างกายวูบวาบสะท้านไปหมด เสียงของผู้ปกครองสองคนนั้นค่อยๆ ห่างออกไป แต่บทสนทนายังคงเป็นเรื่องของฉันเหมือนเดิม...ฉันมั่นใจไม่เพียงแค่นั้น...ทั้งสายตาและเสียงกระซิบปากต่อปากนับวันจะยิ่งร้ายแรงเข้าไปทุกที ฉันต้องทนถูกใครๆ ในโรงเรียนแห่งนี้มองด้วยความเหยียดหยามทั้งเช้าและเย็นเป็นเวลาเกือบเข้าขวบปีมาแล้วมันเป็นอะไรที่กดดันจิตใจสุดๆ สิ่งเดียวที่ฉันทำได้ก็คือทน
ทน...เพื่ออะไรหลายๆ อย่าง ชีวิตของฉันมันผกผันไปหมด ได้แต่เจ็บใจตัวเองเท่านั้น เพราะเลือกเอง...ยอมรับมันเข้ามาเอง ก็สมควรที่ต้องเผชิญกับเรื่องแบบนี้
นาฬิกาบนฝาผนังบอกเวลาห้าโมงเย็นพอดี เด็กๆ ในห้องของฉันและห้องครูดาวก็มีผู้ปกครองมารับไปหมดแล้ว เอกสารก็เรียบร้อยทุกอย่าง ฉันถอนหายใจอีกครั้งด้วยความโล่งอก พรุ่งนี้และมะรืนโรงเรียนปิดเพราะเป็นวันเสาร์อาทิตย์ ฉันจะได้พักผ่อนเต็มอิ่มบ้าง ไม่ต้องหอบงานไปนั่งสานต่อที่ห้องหามรุ่งหามค่ำเหมือนสัปดาห์ก่อนๆ
ในช่วงใกล้สอบ เป็นธรรมดาที่ครูทุกคนต้องวุ่นวายกับการเตรียมข้อสอบและตารางการสอนติวเข้มในช่วงโค้งสุดท้ายเ ไหนจะการเรียนการสอนในภาคปกติอีก
ยิ่งเป็นเด็กเล็กๆ ด้วย ต้องดูแลอย่างละเอียดอ่อนกว่าเด็กที่โตพอจะช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว พวกเราจึงต้องเหนื่อยกันเป็นพิเศษในระยะนี้
กริ๊ง! กริ๊ง!เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขณะที่ฉันเก็บสัมภาระเล็กๆ น้อยๆ ใส่กระเป๋าสะพาย ไม่จำเป็นต้องดูก็รู้ว่าใครโทร.มา ช่างตรงเวลาเสียเหลือเกินและเพื่อตัดความรำคาญ ฉันก็เอื้อมมือไปหยิบสมาร์ตโฟสสไลด์รับสายทันที ทั้งที่กำลังจะเดินออกไปจากห้องอยู่แล้วแท้ๆ
“กำลังจะออกไปค่ะ...”
“อืม” เสียงทุ้มครางขานรับฉันเร่งมือเก็บของและรีบออกไปจากห้องทันที ส่วนการปิดห้องล็อกกุญแจดูแลความเรียบร้อยต่อจากนี้จะเป็นหน้าที่ของรปภ.ฉันจึงกลับบ้านได้อย่างสบายใจ
ตรงลานจอดรถด้านข้างอาคาร...สายตาของเพื่อนครูหลายคนมองฉันเป็นจุดเดียวกันในขณะที่ฉันเดินตรงไปที่รถเก๋งซีดานคันหรูซึ่งคุ้นตาเป็นอย่างดี ประหนึ่งเห็นคนดังมีชื่อเสียงมาเหยียบพื้นโรงเรียนอย่างนั้นแหละ
จริงๆ แล้วก็ใกล้เคียง เพราะฉันมีเชื่อ ‘เสีย’ที่ฉาวโฉ่อยู่ไม่น้อย ใครๆ ก็เลยให้ความสนใจจับตามอง เพื่อจะได้เอาประเด็นไปกระจายข่าวเม้าท์มอยกันอีกเป็นทอดๆ