“เอ๊ย! เชี่ยซดเข้าไปขนาดนั้นไม่ใช่น้ำเปล่านะมึง”
ทับทิมคว้ามือฉันที่กำลังยกแก้วเหล้าดื่มเอาๆ ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม แอลกอฮอล์ทำให้ความรู้สึกในตัววูบวาบร้อนผ่าว เพราะไม่ใช่คนดื่มเก่ง แต่ก็ไม่ถึงขั้นอ่อนหัดไม่เคยแตะต้อง ดังนั้นเมื่อเวลาล่วงเลยประมาณหนึ่งฤทธิ์เหล้าก็ทำงานให้ฉันเริ่มไม่เหมือนเดิมแล้ว
“มึงปล่อยกูทับทิม...กูจะเมาให้ตายไปเลย” ฉันพูดพล่อยไปตามประสาคนเมา แต่สติยังรับรู้ทุกอย่างเพียงแค่มันตึงๆ เบลอๆ จากการดื่ม
“โห...อีโอลีฟ กูยังไม่อยากไปงานศพมึง กูไม่พร้อมด้วยประการทั้งปวง”
“กูเหมือนกัน หมากูเพิ่งตายไปเมื่อปีก่อน กูยังเศร้าไม่หายเลยเชี่ย...ปีนี้มึงจะตายจากไปอีกคน แล้วหมาที่ไหนจะอยู่กับกู” ดูเหมือนแก้วมันจะอาการไล่เลียงเคียงคู่กันมาติดๆ กับฉัน
“กูนี่สะดุ้งเลยดอก...” นานๆ ครั้งจะได้ยินเสียงมารีเอ่ยทักดักคอขึ้นมาบ้าง
“มึงเมามากแล้วนะโอลีฟ เพลาๆ เหอะ”
“มึงไม่ต้องห่วงกูหรอกทับทิม...กูไหว...” ปากบอกว่าอย่างนั้นแต่กลับรู้สึกหนักหัวหนักหน้าเสียเหลือเกิน
“กูเปล่าห่วงมึง! แค่ยังไม่อยากกลับตอนนี้ อย่าเสือกเมาเร็ว รอดึกอีกหน่อยผู้ชายมันยังไม่เยอะ”
“กรรม...” ฉันอุทานติดตลกแล้วก็ยกแก้วเหล้าเข้าปากอีกครั้ง
พอเหล้าหมดพนักงานเสิร์ฟก็ชงเติมอย่างแข็งขัน น้ำเมาไม่ได้ชะล้างความรันทดในหัวใจอย่างที่ต้องการ มันยิ่งเหมือนขุดเอาความรู้สึกและจิตสำนึกแท้จริงออกมามากกว่าเก่า
ภาพทับซ้อนมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัวสมองส่วนมากจะเป็นเรื่องหดหู่ใจซึ่งฉันเลือกที่จะนึกถึงมันมากกว่าเรื่องดีๆ ที่มีอยู่น้อยนิด
“ถ้ากูหลับ...แล้วตื่นขึ้นมาเรื่องทั้งหมดนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก็ดีสินะ...”
“ใครๆ ก็อยากให้เป็นแบบนั้นทั้งนั้นแหละมึง แต่เราเลือกเกิดไม่ได้ก็ต้องยอมรับมันแล้วหาทางออก ไม่ว่ามึงจะคิดหรือตัดสินใจอะไรก็ตามขอให้รู้ว่ายังมีพวกกูอยู่ข้างมึงเสมอนะโอลีฟ แล้วก็ห้ามทำอะไรบ้าๆ กับตัวเองด้วยรู้ไหม...”
“เออ...” รับปากไปอย่างนั้นทั้งที่ฉันก็กำลังทำร้ายตัวเองด้วยการดื่มรัวๆ นานๆ ครั้งจะได้มีโอกาสปลดปล่อยเช่นนี้ ผนวกกับเป็นช่วงระยะที่โดนมรสุมรุมเร้าไม่เว้นจังหวะให้หายใจ ฉันจึงตั้งมั่นจะดื่มเต็มที่
มารีกับทับทิมยังไม่เมา พวกมันรู้หน้าที่ว่าต้องแบกหามฉันกับแก้วกลับห้องพักในคืนนี้นั่นเอง
“อยากร้องไห้ก็ร้องให้เต็มที่นะเพื่อน ไม่ต้องสนใจใครแม่ง...” ทับทิมตบบ่าฉันขณะที่ฉันกำลังใช้มือปาดน้ำตาและพยายามแหงนหน้ามองด้านบนเพื่อไม่ให้ความอัปยศไหลประจานความปวดร้าวของตัวเอง
“เออ...ร้องเลย กูร้องด้วย” แก้วปล่อยโฮทันทีน้ำมูกน้ำตาไหลพรากยิ่งกว่าฉันเสียอีก จนคนในร้านหันมามองพวกเราเป็นตาเดียว
“อีแก้ว!!มึงจะแย่งซีนเพื่อนทำไม...ดีออก!”
เสียงมารีตะคอกทีเล่นทีจริง มองแก้วที่กระดกเหล้าเข้าปากอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ก็...ก็เศร้าอ่ะ ก็ feel bad มากๆ กู so sad ฮือๆ กูอินจัด...”
“เอาเข้าไป...มึงเริ่มล้ำเส้นคนบ้าเข้าไปทุกทีแล้วนะ กูดีใจด้วย”
“มึงสิ...อีทับทิม คนบ้าที่ไหนสติดีอย่างกู ไม่มี๊...ไม่มีอีกแล้ว...”
“ค่ะ...อีแก้วอีแม่คนสติ...ดี!”
ฟังพวกมันเถียงกันแล้วความตึงเครียดก็คลายไปชั่วขณะ ฉันหัวเราะในลำคอแล้วก็หันมาจับเจ่าอยู่กับน้ำเมาในมืออีกครั้ง เสียงเพลงอะคูสติกเบาๆ และเสียงการเย้าแหย่ของเพื่อนเริ่มจางหายไปอีกครั้ง เป็นเพียงลมแว่วผ่านหูกลบเกลื่อนไปกับบรรยากาศในคืนเดือนมืดที่ยังคงสว่างไสวเพียงเพราะแสงจากดวงไฟประดับหลากหลาย...
มโนสำนึกของฉันหวนคืนย้อนนึกไปถึงวันวาน...ตั้งแต่เริ่มต้นเรียนรู้การมีชีวิตอยู่บนโลกกลมๆ ใบนี้
ฉันเกิดมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบนัก ค่อนไปทางยากจนข้นแค้นด้วยซ้ำในบางครั้งบางเวลา มีพ่อขี้เหล้า ชอบตบตีแม่ ตั้งแต่จำความได้ พวกเราหาเช้ากินค่ำโดยการขายข้าวแกงเล็กๆ น้อยๆ ในตลาดใกล้บ้าน
พอฉันอายุห้าขวบ แม่ก็มีน้องอีกคน ด้วยภาระหนักอึ้งพ่อและแม่จึงต้องนำฉันไปฝากให้ยายเลี้ยงจนฉันโตเรียนจนชั้นประถม ยายก็เสียและทำให้ต้องกลับมาในครอบครัวของตัวเองอีกครั้ง
แต่ดูเหมือนอะไรๆ จะเปลี่ยนไปหมดแล้ว
ฉัน...ไม่ได้เป็นลูกสาวคนเดียวอีกต่อไป น้องคนใหม่แย่งความรักเพียงน้อยนิดจากอ้อมแขนบุพการีไปเสียหมดสิ้น ฉันกลายเป็นหมาหัวเน่านับตั้งแต่บัดนั้น ต้องทำงานทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือพ่อแม่ ทั้งหาเงิน ช่วยเลี้ยงน้องและทำงานบ้านสารพัด
จนจบมัธยมสาม...แม่ก็บอกให้ฉันหยุดเรียนเพื่อไปทำงานหาเงินแบบเต็มตัว แต่ฉันไม่ยอมฉันให้แม่ได้ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องหยุดเรียน แต่เมื่อไม่มีใครส่งเสียฉันก็ต้องปากกัดตีนถีบด้วยตัวเองพร้อมกันนั้นก็ต้องทำงานเอาเงินมาให้ครอบครัว ทำดีต่อพวกเขา...เอาใจพวกเขาเพื่อให้ตัวเองได้เรียนต่อจนจบมัธยมปลายและสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ในที่สุด
ความภูมิใจที่พ่อแม่ของใครหลายๆ คนรู้สึกต่อลูกของพวกเขามันเป็นยังไง ฉัน...ไม่เคยรู้จัก ไม่ว่าจะทำอะไรก็ผิดทุกอย่าง ขวางหูขวางตาพ่อแม่ไปเสียทุกสิ่ง
ฉันพยายามมานะเรียนให้สูงๆ เพื่อจะได้จบไปและได้ทำงานดีๆ เพื่อที่พวกเขาจะได้มองฉันมีตัวตนอยู่ในครอบครัวบ้าง แต่เปล่าเลย...
ฉันเหนื่อย ท้อ...โหยหาคำปลอบโยนจากมารดา อ้อมแขนอุ่นๆ จากบิดาสักครั้งในยามสิ้นหวัง ฉันกลับพบเพียงความเป็นจริงที่มีแต่ถูกผลักไสให้พเนจรรอนแรมอยู่ร่ำไปเหมือนนกน้อยบาดเจ็บ คอยบินหารังเรือนเพื่อพักกาย หลบภัย และเล็มเลียบาดแผลจากการขาดความรักความอบอุ่นโดยเนื้อแท้
กลับกัน...น้องสาวของฉันเราแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เธอได้เรียนที่ดีๆ มีทุกสิ่งอย่างในชีวิตเท่าที่พ่อกับแม่จะหาให้ได้ ถึงขนาดยอมไปกู้หนี้ยืมสินเพื่อส่งเสียให้เธอได้เข้าโรงเรียนเอกชนชื่อดังตามความต้องการ ด้วยเหตุผลที่ว่าน้องสาวนั้นเป็นคนฉลาด สวย และเรียนดีกว่า มีโอกาสก้าวหน้ากว่าในทุกๆ เรื่อง ต่างกับฉันที่ส่งให้เรียนไปก็มีแต่เสียเปล่า
เงินส่วนหนึ่งมาจากการกู้ยืมนอกระบบ ซึ่งดอกเบี้ยแพงกว่ารายได้บางวันของพวกเราเสียอีก ฉันจึงต้องทำงานหนักขึ้นในขณะเดียวกันก็ต้องเรียนไปด้วยให้ทันเพื่อนๆ โชคดีที่ได้แก้ว มารี และทับทิมนี่แหละคอยให้ความช่วยเหลือ จนต้องตัดสินใจย้ายเข้ามาอยู่ในหอพักสำหรับนักศึกษาเพื่อที่จะได้มีเวลามากขึ้นไม่ต้องไปกลับบ้านในระยะไกล รวมถึงเปลืองค่าเดินทางในแต่ละวันด้วย
เงินทุกบาททุกสตางค์สำหรับฉันมีค่าหมด เศษเล็กเศษน้อยฉันเก็บใส่กระปุกออมสินและรวบรวมกับเงินที่หามาได้จากการเป็นเด็กเสิร์ฟตามร้านอาหารช่วงหลังเลิกเรียนส่งให้พ่อกับแม่ทุกสัปดาห์
เวลาว่างในมหาวิทยาลัยก็รับจ้างทำรายงานทุกชนิด เขียนแบบ หาสินค้าราคาถูกมาขายตามสื่อโซเชียลทุกทาง แม้จะเหนื่อยแต่มันก็ทำให้สถานภาพทางบ้านดีขึ้นมาก ฉันเริ่มมีความหวังสำหรับล้างหนี้สินเพราะมีรายได้เข้ามาหลายๆ ทาง