“อุ๊ย!ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ”
เสียงนั้นกลายเป็นเสียงที่ผ่านเข้าหู เพราะสายตาสั่นระริกของฉันจับจ้องอยู่ที่ผู้ชายซึ่งคอยประคองเธออยู่ หล่อนเซเกือบจะล้มเหมือนกันจากแรงกระแทก แต่ได้ชายหนุ่มรูปงามคอยช่วยเหลือเอาไว้ จึงกลายเป็นว่ามีแค่ฉันที่ลงไปกองอยู่กับพื้น แถมน้ำในแก้วของหญิงสาวก็หกเลอะเทอะเต็มตัว
“โอลีฟ...”
“อ้าว...รู้จักกันเหรอคะ” สาวสวยร่างบางหันไปถาม
พี่เพิร์ทปล่อยมือจากเธอและมองฉันไม่วางตาเช่นกันในขณะที่ฉันรีบหลบหน้าและเพื่อนๆ ต่างช่วยพยุงให้ลุกขึ้น รวมถึงช่วยกันเช็ดน้ำที่เปรอะเสื้อผ้าลวกๆ
“เลอะหมดเลยมึง...”
“ไม่เป็นไร...ไปกันเถอะ” ฉันพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะเค้นเสียงนั้นออกมา เพื่อนทุกคนเข้าใจฉันไม่มีใครออกความคิดเห็นใดๆ ทั้งสิ้น พี่เพิร์ทเข้าถึงตัวฉันในเสี้ยววินาทีที่เรากำลังจะก้มหน้าก้มตาเดินจากไป
เพียะ! ฉันปัดมือที่กำลังจะคว้าต้นแขนฉันไว้โดยอัตโนมัติ
เขาหยุดกึก...พวกเราก็หยุด สายตาพี่เพิร์ทมองฉันแบบอึ้งนิดๆ และฉันก็ถือโอกาสนั้นเดินจ้ำอ้าวไม่ต่อความอะไรอีก
“โอลีฟ...โอลีฟ...รอพวกกูด้วยสิมึง...” นั่นเป็นเสียงของแก้วที่วิ่งกึ่งเดินไล่ตามมา
“มึง...” ทับทิมช่วยขานชื่ออีกคน รอบๆ สองข้างทางมองดูพวกเราด้วยความสงสัย น้ำตาของฉันเริ่มไหลบ่าอาบรินแก้มด้วยความกดดัน
ไม่ได้อยากร้องไห้แต่ไม่รู้ทำไมหยุดน้ำตาไม่ได้เอาเสียเลย
ฝีเท้ายิ่งเร่งเร็ว...ความปวดร้าวก็ยิ่งสิงสู่กลืนกินหัวใจฉัน
แม้จะรู้แต่ไม่เห็นก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อรู้แล้วได้เห็นมันยิ่งตอกย้ำความว่างเปล่าในตัวมากมายเหลือเกิน เชื่อเถอะว่าผู้หญิงร้อยทั้งร้อยปากบอกว่าไม่เป็นไร...ความหมายนั้นจะตรงกันข้ามอย่างน่าใจหาย
“มึง...พอแล้วหยุดเดินได้แล้วเดี๋ยวรถก็ชนตายหรอก...” แก้วเป็นคนแรกที่ถึงตัวฉันและจับมือดึงให้หยุดก่อนที่ฉันจะเดินตรงไปกลางถนน ทับทิมและมารีตามมาสมทบช่วยกันลากให้กลับเข้าไปหลบริมทางด้านในตลาด ฉันรีบยกมือปาดน้ำตา ศิโรราบให้กับความอัปยศของตัวเองโดยไม่มีทางเลือก
“ไม่น่ามาเจอเลย...ให้ตายสิ...”
“พวกมึงอย่าโกรธกูนะที่กูร้องไห้...” ฉันเริ่มพรรณนาอย่างไร้ซึ่งการควบคุมโดยไม่ได้สนใจคนที่เดินผ่านไปมาและหันมองบ้างไม่มองบ้าง
“ใครจะไปว่าอะไรมึงโอลีฟ....” มารีเข้ามาคว้ากอดฉันเอาไว้อย่างเข้าอกเข้าใจ การกระทำของมันยิ่งกระตุ้นความอ่อนแอให้พวยพุ่งแสดงออกมาอย่างไม่นึกอาย
“กูทำอะไรผิดนักหนาเหรอมึง...” นั่นคือคำถามที่แฝงเอาไว้ด้วยความเจ็บปวดอย่างยิ่ง และฉัน...ไม่เคยได้รับคำตอบเลยแม้จะผ่านมาเนิ่นนานแค่ไหนก็ตาม
“โอลีฟ...ใจเย็นๆ...”
“พ่อกับแม่ก็ไม่รักกู เกิดกูมาก็เพื่อให้กูเป็นทาส จนกูต้องมาเป็นเมียน้อยเขา กูก็โง่...ใจง่าย ไปรักเขาทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไรมึง...กูไม่อยากเป็นแบบนี้เลย” บ่าเล็กๆ ของมารีช่วยเป็นที่พักพิงให้กับฉันไปโดยปริยาย
ฉันกอดมันไว้แน่น แน่น...มากเหมือนกำลังจะทนไม่ไหวแล้วกับสิ่งที่ต้องเผชิญ
“...”เพื่อนทั้งสามเงียบ...ไม่มีคำปลอบใจ ไม่มีเสียงทักท้วงห้ามปราม เพราะพวกมันต้องการให้ฉันปลดปล่อยความหนักอึ้งที่แบกรับเอาไว้ทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียว
“พวกมึงรู้ไหมกูเคยคิดอยากจะตาย แต่พอนึกกลับไปว่าถ้ากูตายพ่อกับแม่คงแช่งกูไม่ได้ผุดได้เกิดแน่ๆ ที่ทิ้งพวกเขาให้ลำบากกูก็กลัวจนไม่กล้าตาย...” ฉันพร่ำเพ้อไม่หยุดปาก ทุกอย่างกำลังพรั่งพรูออกมาโดยที่ฉันเองก็หยุดมันไม่ได้
รู้สึกอยากระบาย อยากพูด อยากปลดปล่อยมันให้พ้นๆ ไปจากตัวเสียที
“พี่เพิร์ทก็ไม่ได้รักกูเลยสักนิดกูไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าไปรักคนแบบนั้นได้ยังไง ถ้าเขา...คิดแค่ว่าจ่ายเงินเพื่อแลกกับตัวกู กูก็น่าจะคิดแค่ว่าเสียตัวเพื่อแลกกับเงินเท่านั้นก็พอ แต่ทำไม...ทำไมกูถึงปล่อยให้ตัวเองไปรักเขาจนหัวปักหัวปำได้ขนาดนี้ล่ะมึง”
“จนป่านนี้แล้วกูยังไม่รู้เลยว่ากูเกิดมาเพื่ออะไร กูเหนื่อยจังเลยมึง...” น้ำตาไหลรินเป็นสาย ฉันสูดน้ำมูกไปพลางสะอื้นไปพลางเหมือนกำลังจะขาดใจ
ผู้คนที่ผ่านไปมาคงมองดูด้วยความสงสัยปนสังเวช แต่ฉันกลับถูกฝังเอาไว้กับความทุกข์ของตัวเองจนไม่นึกสนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว
“โอลีฟ...มึงอาจไม่รู้ว่ามึงเกิดมาเพื่ออะไรแต่พวกกูรู้”
ฉันสงบลงเมื่อทับทิมพูดขึ้นบ้าง...สะอื้นเบาๆ อยู่บนบ่าของมารีโดยมีมันคอยกอดปลอบไม่ปล่อยมือเช่นกัน
“มึงเกิดมา...เพื่อเป็นเพื่อนพวกกูไง...”