ตอนที่
๓
องค์ชายรองกับความหลัง
หยางฮุ่ยหมิ่นครั้นเมื่อตอนเป็นเด็กเขาเติบโตมาจากความเอาใจของพ่อและแม่ของเขาเนื่องจากเขาเป็นลูกชายคนแรกที่กำเนิดมาในตระกูลหยางที่เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง พ่อและแม่ของเขาดีใจมากที่ได้ลูกชายตั้งแต่การกำเนิดครั้งแรกพวกเขาทั้งสองจึงเลี้ยงหยางฮุ่ยหมิ่นมาด้วยวิธีผิด ๆ ตามใจหยางฮุ่ยหมิ่นทุกอย่างไม่ว่าเขาจะอยากได้อะไรจนเขาเติบโตอายุได้ 9 ปี หยางตงฮุ่ยและหยางซ่านไฉได้กำเนิดบุตรชายอีกหนึ่งคนมีชื่อว่าหยางอู่เฌิ๋นเมื่อหยางฮุ่ยหมิ่นเห็นพ่อกับแม่สนใจน้องเกิดความอิจฉาคิดว่าพ่อกับแม่จะไม่รักตนทำให้เขากลายเป็นคนที่อิจฉาน้องชายจนมาถึงทุกวันนี้
ตั้งแต่เล็กจนโตหยางอู่เฌิ๋นให้ความเคารพพี่ใหญ่อย่างหยางฮุ่ยหมิ่นมาโดยตลอดแต่เขาก็ต้องโดนพี่ชายที่เป็นองค์ชายใหญ่กลั่นแกล้งมาโดยตลอดจนตอนนี้เขาโดนเนรเทศออกจากบ้านจนต้องหลบออกมาใช้ชีวิตเป็นชาวบ้านธรรมดา ๆ เท่านั้น
“ท่านพี่ซีซวนวันนี้ท่านไปเที่ยวเล่นที่ไหนมาบ้างแล้วได้เรื่องอะไรมาหรือเปล่า” หยางอู่เฌิ๋นที่กำลังย่างกระต่ายกินหอมหวนน่ารับประทาน
“อยู่กันสองคนองค์ชายพูดกับข้าน้อยเหมือนเดิมเถอะขอรับ”
“ข้าน้อยไปสืบมาว่าตอนนี้องค์ชายใหญ่มีคู่หมั้นคู่หมายและจะจัดพิธีแต่งงานในไม่ช้าขอรับ”
“แล้วท่านพ่อท่านแม่ของข้าล่ะสบายดีหรือไม่หรือน้องสี่อยู่อย่างไรสบายดีเหมือนกันใช่มั้ย”
“ทุกคนสบายดีคนที่ไม่สบายน่าจะมีแต่องค์ชายเท่านั้นแหละขอรับที่ต้องมานั่งย่างกระต่ายท้าลมหนาวอยู่อย่างนี้” ซีซวนมองไปที่หยางอู่เฌิ๋นที่กำลังนั่งย่างกระต่ายด้วยตัวของเขาเองเพราะถ้าเป็นเมื่อก่อนหยางอู่เฌิ๋นคงนอนรอนั่งรอทานข้าวอย่างสบายแต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วหยางอู่เฌิ๋นก็ต้องปรับตัวและรับมันให้ได้
“ข้าสบายดีเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอกซีซวนนี่กระต่ายที่เจ้าจับมาข้าย่างให้เจ้าเรามาฉลองความเป็นพี่น้องกันซีซวนถ้าไม่มีเจ้าข้าคงแย่เป็นแน่” หยางอู่เฌิ๋นกับซีซวนกินกระต่ายย่างอย่างเอร็ดอร่อย
ที่บ้านของเป่าเป้ย
“เป่าเป้ยมากินข้าวได้แล้วลูก ถ้าเจ้าหายดีแล้วหยามเหม่า*เจ้าต้องไปรดน้ำผักเก็บผักแล้วก็เก็บไข่ไก่ไปขายให้หมู่บ้านข้าง ๆ” จินซู่ฮุ่ยบอกกับลูกสาวของนาง
“กินเยอะ ๆ นะอาเป่าเป้ย” พ่อของนางหายกังวลที่ลูกสาวคนเดียวของเขาหายดีแล้ว
“แต่ถ้าเจ้าไปไม่ไหวเดี๋ยวพ่อไปกับแม่ของเจ้าเอง ลูกนอนพักผ่อนให้หายดีแล้วค่อยไปก็ได้”
เป่าเป้ยคนใหม่ที่ขี้เกียจเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็รีบปฏิเสธทันทีพร้อมกับบอกว่าเธอยังมีอาการปวดหัวอยู่เล็กน้อย
“ข้ายังไปไม่ได้หรอกท่านพ่อท่านแม่ข้าขอทำงานบ้านอยู่บ้านจะได้หรือไม่” เป่าเป้ยทำหน้าซีด ๆ เพื่อเรียกคะแนนสงสาร
“ถ้าอย่างนั้นหายดีแล้วค่อยไปช่วยแม่ก็ได้ เจ้าป่วยมาก็หลายชั่วยามร่างกายของเจ้ายังอ่อนแอนัก กินอิ่มแล้วก็เข้านอนเถอะ” เป่าเป้ยยิ้มในใจที่ไม่ต้องไปที่สวนผักกับแม่แต่มีหรือเธอจะทำงานบ้านอยู่ที่บ้านเฉย ๆ
“เป่าเป้ยแม่ไปสวนผักก่อนนะ รีบ ๆ ตื่นเข้าล่ะทำอาหารไว้รอแม่กับพ่อด้วยนะ” ก่อนที่จินซู่ฮุยกับจินต้าวหยวนจะออกไปสวนผักบอกสิ่งที่นางต้องทำเพราะตั้งแต่เป่าเป้ยหายจากไข้นางเหมือนจะแปลก ๆ ไปจากเดิมมาก ๆ
เป่าเป้ยนอนอย่างสบายอารมณ์นางไม่ได้นึกถึงเรื่องที่นางต้องตื่นมาทำงานบ้านงานเรือนเพราะตั้งแต่เกิดมานางไม่เคยแม้จะจับไม้กวาด เป่าเป้ยนอนไม่รู้สึกรู้สาจนตอนนี้ถึงยามยามอู่นางยังคงนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง เมื่อจินต้าวหยวนกับจินซู่ฮุ่ยกลับมาถึงเรือนไม่เห็นอะไรเปลี่ยนแปลงไปจานชามที่ยังไม่ล้างผ้าที่ยังไม่ซักเรือนที่ยังไม่กวาดไม่พอแค่นั้นนางยังคงนอนแผ่หราอย่างไม่อายผู้ใด
ผู้เป็นแม่เห็นอย่างนั้นรีบเดินไปปลุกให้เธอลุกแต่ด้วยความขี้เซาของเธอมีหรือเธอจะยอมให้ง่าย ๆ
“ตื่นได้แล้วเป่าเป้ยเจ้าไม่สบายอีกแล้วอย่างนั้นหรือเหตุใดเจ้าถึงได้นอนไม่ตื่นอย่างนี้อาเป่าเป้ย” จินซู่ฮู่ยขยับตัวของนาง ๆ แต่นางไม่มีท่าทีจะตื่น
“อย่ากวนได้มั้ยพี่จีจี้คนจะนอนวันนี้ไอรีสไม่มีงานนะคะ” นางคิดว่าตนยังเป็นไอรีสนางเอกที่แสนเอาแต่ใจแต่เมื่อนางได้สติและได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นเคยทำให้นางต้องตื่นเพื่อมาดูว่าตอนนี้นางอยู่ที่ไหน นางคิดหาวิธีกลับบ้านอยู่ตลอดเวลาแม้ว่าจะไม่มีโอกาสกลับไปได้เลยก็ตามแต่นางไม่สิ้นหวัง
“เจ้าเป็นอะไรเป่าเป้ยแม่เรียกนานสองนานตัวก็ไม่ร้อนแล้วทำไมเจ้าไม่ลุกมาทำงานบ้านกับข้าวก็ไม่ทำเจ้านี่มันยังไง”
เป่าเป้ยลืมตาขึ้นมาในบ้านหลังเก่า ๆ ที่ทรุดโทรมเต็มที่แทนที่จะเป็นบ้านหลังใหญ่ที่เธอเคยอยู่
“ลุกได้แล้วอาเป่าเป้ยมาช่วยแม่ทำงานบ้านแต่ก่อนเจ้าไม่ใช่คนขี้เกียจอย่างนี้นี่นาหรือไข้เจ้ายังมาหายดี”
เป่าเป้ยฝืนลุกขึ้นมาทำงานบ้านช่วยแม่ของเธอ “ไม่ทันได้ไปเที่ยวเล่นไหนเลยกลับมาแล้ว” เป่าเป้ยพึมพำที่ตัวเองไม่ได้ออกไปไหนเลยแต่แม่กลับมาเสียแล้ว