ตอนที่
๔
เป่าเป้ยจอมขี้เกียจกับชายหนุ่มสุดขี้เหร่
เป่าเป้ย หายดีแล้วแต่นางไม่ยอมทำงานบ้านงานเรือนวัน ๆ นางเอาแต่นอนหายใจทิ้งไปวัน ๆ จนพ่อกับแม่ของนางกลุ้มใจเพราะมีลูกสาวที่แสนขี้เกียจอย่างนี้
“ลูกสาวของเราตั้งแต่หายจากล้มป่วยก็ไม่เอาการเอางาน วันๆเอาแต่นอนไม่เอาการเอางานนี่ลูกของเราเป็นอะไรกันแน่ถ้านางยังเป็นอย่างนี้ไม่มีใครเอานางไปทำเมียนางก็จะขึ้นคานข้าต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว” จินซู่อุ่ยพูดกับสามีของนางด้วยความเป็นกังวล
“เป่าเป้ยลูก เหตุใดเจ้ายังไม่ลุกจากที่นอนสักทีวันนี้พ่อของเจ้าไม่ว่างไปสวนผักกับแม่เจ้าต้องไปกับแม่ ตื่นได้แล้ว” จินซู่ฮุ่ยเดินไปปลุกลูกสาวของนางแต่ลูกสาวจอมขี้เกียจของนางก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นและลุกจากที่นอน
“ข้าไม่ไปไม่ได้หรือท่านแม่ ข้าร้อนข้าเหนื่อยข้าอยากนอนอยู่บ้านท่านแม่ไปคนเดียวเถอะท่านแม่” เป่าเป้ยพูดจบนางก็เอาผ้าคลุมหัวของนางก่อนจะนอนต่อ
“ได้ถ้าเจ้ายังคงเป็นคนขี้เกียจอย่างนี้เจ้าจะต้องแต่งงานกับ ‘เฟยหรง’ ” เป่าเป้ยได้ยินอย่างนั้นเธอจึงลุกขึ้นนั่งด้วยความสงสัย
“เฟยหลงเป็นใครท่านแม่แล้วทำไมข้าต้องแต่งงานกับเฟยหรงด้วย” เป่าเป้ยถามด้วยความสงสัย
“ถ้าเจ้าอยากรู้เจ้าก็ลุกขึ้นอาบน้ำแล้วไปกับแม่”
เป่าเป้ยยอมลุกจากที่นอนเพื่อไปดูว่าเฟยหรงคือใคร “ใกล้ถึงหรือยังท่านแม่ข้าเหนื่อยแล้วนะท่านแม่”
“ใกล้แล้ว ๆ นั่นไงบ้านของเฟยหรง” จินซู่ฮุ่ยชี้ไปที่บ้านหลังหนึ่งที่อยู่ถัดไปไม่ไกล
เมื่อเป่าเป้ยกับหลินซู่ฮุ่ยเดินไปถึงบ้านชองเฟยหรงความทรงจำของเป่าเป้ยก็ปรากฎขึ้นมาให้เป่าเป้ยจำเรื่องราวในอดีต เหตุการณ์ที่เป่าเป้ยระลึกได้ก็คือเรื่องราวของนางกับเฟยหรงที่เกือบจะได้แต่งงานกันแต่โชคดีที่นางป่วยไข้เสียก่อน
“ข้าไม่แต่งนะท่านแม่ข้าไม่แต่งงานกับเฟยหรงข้าไม่เอาด้วยนะคนอะไรไม่มีความงามเลยสักนิด”
“ถ้าเจ้าไม่อยากแต่งงานกับเฟยหรงเจ้าต้องออกไปสวนผักกับแม่ทุกวันและทำงานบ้านงานเรือนเหมือนที่เจ้าเคยทำก่อนที่เจ้าจะล้มป่วยถ้าเจ้าทำได้แม่จะไม่บังคับเจ้าแต่งงานกับเฟยหรง”
“ตกลงท่านแม่ข้าตกลงถ้าอย่างนั้นข้าว่าเราไปสวนผักเถอะท่านแม่ข้าอยากไปสวนผักใจแทบขาดแล้ว” เป้าเป้ยรีบจับแขนแม่ของนางให้เดินออกจากตรงนี้เพราะนางกลัวการที่จะต้องแต่งงานกับเฟยหรงยิ่งกว่ากลัวผีเสียอีก
“ท่านแม่ต่อจากนี้ข้าจะทำงานช่วยท่านแม่ทุกอย่างเชื่อมือข้าได้เลยท่านแม่”
“ดีมากลูกรักของแม่ถ้าอย่างนั้นวันนี้เราไปสวนผักกันเพราะวันนี้แม่ต้องเริ่มปลูกผักกาดแล้ว้เดี๋ยวไม่ทันเอาไปขาย”
“ได้เลยท่านแม่ข้าจะทำช่วยท่านแม่ไม่ให้ท่านแม่ต้องเหนื่อยเลยคอยดู”
“ทำให้ได้อย่างที่พูดเถอะเจ้าขี้เกียจมาหลายชั่วยามแล้ว”
“นั่นท่านพ่อใช่หรือไม่ท่านแม่ท่านพ่อกำลังจะไปไหนหรือท่านแม่” เป่าเป้ยชี้ไปที่จินต้าวหยวนพ่อของนางที่กำลังเดินอยู่กับชาวบ้านอีกสองสามคน
“วันนี้พ่อของเจ้าต้องออกไปช่วยชาวบ้านทำศาลากลางบ้านเพราะอย่างนั้นเจ้าถึงต้องไปช่วยแม่ปลูกผักและต่อให้พ่อของเจ้าไม่ได้ไปไหนเจ้ายังต้องไปช่วยแม่กับพ่อทำงานอยู่ดีเจ้าเข้าใจใช่หรือไม่”
“ข้าเข้าใจแล้วท่านแม่เราไปสวนผักกัน”
เป่าเป้ยช่วยแม่ของนางปลูกผักจนเสร็จเมื่อมาถึงบ้านนางถึงกับล้มลงนอนอย่างหมดแรง
“เหนื่อยมากใช่หรือไม่เป่าเป้ยเจ้ารู้หรือยังว่าแม่ต้องทำอย่างนี้ทุกวันถ้าไม่มีเจ้าช่วยแม่น่าจะเหนือยกว่านี้เป็นเท่าตัว”
“วันนี้เจ้ายังไม่ต้องทำกับข้าว วันนี้แม่จะเป็นคนทำเองวันหลังเจ้าค่อยเริ่มช่วยแม่ถือเสียว่าอย่างน้อย ๆ เจ้ายังขยันมากขึ้นกว่าเมื่อวาน”
“ลูกขอบคุณท่านแม่มากนะที่เข้าใจข้าพรุ่งนี้ข้าจะทำงานเต็มกำลังของข้าเลยแต่วันนี้ข้าขอนอนก่อนนะ” เป่าเป้ยพูดจบนางก็นอนหลับสนิทราวกับเทียนที่โดนเป่าแล้วดับลง
“แม่นางซู่ฮุ่ยวันนี้ลูกของเราเป็นยังไงบ้างนางไปสวนผักกับเจ้าหรือไม่” จินต้าวหยวนเอ่ยถามเมียของเขาเรื่องลูกสาวจอมขี้เกียจของเขา
“เป่าเป้ยไปสวนผักกับข้าแล้วช่วยข้าปลูกผักจนเสร็จแปลงแต่นางดูเหนื่อยเมื่อกลับมาถึงบ้านข้าจึงให้นางพักพรุ่งนี้นางสัญญากับข้าว่าจะทำงานบ้านและไปสวนผักกับข้า”
“เจ้าทำอย่างไรนางจึงยอมไปสวนผักกับเจ้า” จินซู่ฮุ่ยเล่าเรื่องทั้งหมดให้สามีของนางฟังจินต้าวหยวนหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อได้ฟังเรื่องเล่าที่
“ลูกของข้ายังกลัวเฟยหรงเหมือนเดิมไม่มีผิด ฮ่า ๆ”
“ไม่ใช่แค่ลูกของเราหรอกแต่น่าจะเป็นหญิงทั้งหมู่บ้านที่กลัวการแต่งงานกับเฟยหรง”
“ถ้าไม่ติดที่หน้าตา เฟยหรงก็เป็นคนที่ขยันขันแข็งเลยทีเดียวเอาการเอางานดีทีเดียวแต่ก็นั่นแหละเฟยหรงมีหน้าจาเป็นอาวุธสาว ๆ ต่างพากันกลัวไม่อยากแต่งงานกับเฟยหรง”
เป่าเป้ยหลังจากกลับมาจากสวนผักนางก็นอนหลับเหมือนตายเพราะตั้งแต่เกิดมานางไม่เคยต้องทำงานหนักเหมือนชะตาฟ้าลิขิตสอนให้นางรู้จักความลำบากเสียบ้าง