หลิ่งหลินหาวิธีกลับเข้าร่างเก่าไม่ได้ ทั้งยังไม่รู้ว่าจะเดินทางไปยังหุบเขาปีศาจอย่างไร มันตั้งอยู่ตรงไหน
รู้เพียงมันเป็นเส้นทางลึกลับใจกลางหุบเขาวงกต ภายใต้เทือกเขาสูงชันสลับกับหน้าผาหินแกร่งที่ตั้งตระหง่านซับซ้อนเรียงรายสุดลูกหูลูกตา รอบทิศมีแต่สีเขียวอึมครึม แล้วอย่างไรอีกเล่า?
ทุกครั้งที่คิดขึ้นมา นางมักปวดหัว นึกไม่ออก เหมือนน้ำในสระ พอแตะต้องความจำบางส่วนก็กระเพื่อมจนพร่าเบลอ คลับคล้ายสายตาที่เห็นดอกไม้ที่สวยสดงดงามแต่พอมันไหวเอนใต้น้ำกลับมองลวดลายของมันไม่ชัดเจน
อาจเป็นเพราะความทรงจำสองร่างมารวมกันทำให้ความทรงจำบางส่วนโดนบดบัง
หรือสวรรคกลั่นแกล้งไม่ให้ข้าจำได้ ไม่ให้กลับสู่บ้าน ไม่ให้นางกลับไปบงการสมุนมารก่อกรรมทำเข็ญอันใดอีก
โอ้! สวรรค์! ท่านควรรู้ไว้ คนที่นางไล่ล่าเข่นฆ่านั้น พวกมันสมควรตายปานใด แต่จะว่าไป นางก็ฆ่าคนเยอะจริง
เฮ้อ!
เพราะเป็นเช่นนี้ หลายสิ่งยิ่งมิอาจทำตามอำเภอใจเมื่ออาศัยในร่างผู้อื่นนั่นแล
ยามนี้หลิ่งหลินจึงมีความคิดว่าใช้ชีวิตให้แนบเนียนเป็นปกติที่สุดไปก่อน
ทว่าคิดแล้วก็ให้รู้สึกไม่ยินยอม
อาจเพราะเจ้าของร่างนี้ต้อยต่ำเกินไป ไร้อำนาจปราศจากบารมีให้ผู้คนที่พบเห็นเป็นต้องเคารพยำเกรง
หนทางข้างหน้าย่อมยากเย็นแสนเข็ญหากคิดจะกลับไปหยัดยืนเกรียงไกรดุจเดิม เฮ้อ...คิดแล้วกลุ้มใจยิ่งนัก รู้สึกเหมือนตนเองกำลังฝ่าด่านเคราะห์เพื่อไต่เต้ากลับขึ้นไปเป็นมหาเทพชั้นสูงอย่างไรอย่างนั้น
ชีวิตต้องสู้เสียจริงเลยเรา!
หลังจากพักผ่อนถึงสามวันสามคืน วันนี้จึงได้เวลาตื่นนอนเพื่อเตรียมตัวไปเข้าเรียนในสำนักศึกษา
ก่อนออกจากจวน เห็นเหยาซื่อนั่งจิบชาอยู่ในศาลา ท่าทางคล้ายหงุดหงิดไม่สบอารมณ์ในบางสิ่ง แต่จำต้องเก็บต้องกดข่มเอาไว้อย่างทุกข์ทรมาน น่าสงสารยิ่ง
หลิ่งหลินเลิกคิ้วมอง สีหน้าเรียบนิ่ง สายตาของนางเฉยชา มิได้เคารพนับถือเท่าใดนัก เพราะมารดาของร่างเก่าอายุห่างจากหลิ่งหลินคนเดิมไม่มากพอ แม้คิดเช่นนั้น ทว่ากิริยาและวาจายังคงเหมือนสวีหลิงเยี่ยนคนเดิม
“คำนับท่านแม่เจ้าค่ะ”
เหยาซื่อสูดลมหายใจ พยายามระงับอารมณ์ขั้นสุด “กำลังจะไปสำนักศึกษากระมัง นั่งคุยกันก่อนสิ”
หญิงสาวกลอกตาเล็กน้อยก่อนนั่งลงที่ตั่งตรงข้าม “วันนี้ไม่ไล่ข้าแล้วหรือไร?”
ถูกถามสะกิดใจเช่นนั้น เหยาซื่อพลันชะงัก สักพักนางหรี่ตาลงอย่างพินิจ พิจารณาบุตรสาวโดยละเอียด
ต่อให้ผู้อื่นสังเกตไม่เห็นหรือมองไม่ออก แต่นางเป็นมารดาย่อมจับพิรุธได้ว่าบุตรสาวต่างไปจากเดิมอย่างไร
เรื่องแรก ขายสาวใช้ส่วนตัวอย่างไร้เหตุผลกะทันหันทั้งที่อยู่ด้วยกันมานานและให้อภัยในความผิดมาตลอด เรื่องสองคือตอนรับมื้ออาหารวันนั้น แม้กิริยาท่าทางดุจเดิม ใช้คำถามอย่างใสซื่อโง่เขลาไม่ได้ผ่านการไตร่ตรองตามวิสัย แต่ทุกวาจากลับพุ่งจู่โจมได้ตรงจุด ชัดเจนว่าพูดอย่างจงใจ
“เจ้าดูเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเก่านะ เยี่ยนเอ๋อร์”
หลิ่งหลินรินชาให้ตัวเองขณะเอ่ย “ใช่แล้ว ข้าไม่ใช่คนเดิม ไม่ใช่เยี่ยนเอ๋อร์ของท่าน ที่วันๆ เอาแต่หดหัวตัวสั่น ยอมถูกอนุกับน้องชายต่างมารดาดูแคลนสารพัดไม่เว้นวัน บิดาไม่ใส่ใจก็แล้วไปเถิด ทว่าแม้แต่แม่ตัวเอง” แววตานางช้อนขึ้นเผยรอยเหยียดขณะมองเหยาซื่อ “ไม่ปกป้องลูกตนนั่นว่าแย่แล้ว ยังขับไล่ไสส่งเหมือนหมูสกปรกตัวหนึ่ง”
ทั้งที่วันนั้นเป็นวันที่สวีหลิงเยี่ยนอ่อนแอจนถึงที่สุด ถูกชายคนรักกับสหายหักหลัง สหายร่วมเรียนชิงชังทั้งชั้น กลับบ้านยังเจอมารดาไล่ตะเพิดอีก
หลิ่งหลินยกนิ้วเรียวขาวของร่างนี้ขึ้นลูบข้างแก้มตรงตำแหน่งที่มีแผลเป็นอ่อนจาง “รอยนี่เกิดจากถ้วยชาวันนั้น ท่านจำได้หรือไม่?”
เหยาซื่อชะงัก ค่อยจำได้ว่าวันนั้นนางเขวี้ยงถ้วยชาใส่หน้าบุตรสาว หญิงวัยกลางคนให้รู้สึกผิดขึ้นมา
“เยี่ยนเอ๋อร์ แม่...” คำขอโทษติดอยู่ที่ริมฝีปาก มิอาจกล่าวออกมา ด้วยไม่รู้ว่าต้องเอ่ยเช่นไร
อาจเป็นเพราะเรื่องที่ทำมิใช่ครั้งแรกและครั้งเดียว ทุกครั้งที่ถูกสามีกับอนุผู้นั้นทำให้เจ็บช้ำน้ำใจจนโมโห นางมักระบายโทสะกับบุตรสาวตลอด
นางอ่อนแอเกินไปหากเข้มแข็งกว่านี้จะดีสักเพียงใด
เหยาซื่อกำมือที่สั่นเทา แววตาเศร้าสลดอย่างแท้จริง
“เยี่ยนเอ๋อร์ เจ้าเจ็บมากหรือไม่? ให้แม่ทายา...”
รอยยิ้มเย้ยหยันเหยียดตรงมุมปากของหลิ่งหลิน “ไม่จำเป็น แผลแค่นี้ไม่นานก็หาย เห็นแก่ที่ท่านรู้สึกผิดสำนึกเสียใจแล้ว ข้าจะไม่พูดถึงอีกแล้วกัน เพียงหวังว่าภายหน้า ท่านจะไม่สร้างแผลใหม่ให้ข้าอีก”
เพราะไม่แน่ว่าท่านอาจเจ็บตัวถึงขั้นตายเอาได้ ประโยคหลังนางเพียงเอ่ยแบบคาดโทษไว้ในใจ
เหยาซื่อพยักหน้ายิ้มขื่น แววตาซับซ้อนยามมอง “เยี่ยนเอ๋อร์ เจ้าโตขึ้นแล้วจริงๆ เพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น แต่แม่รู้สึกคล้ายไม่รู้จักเจ้าเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา”
หลิ่งหลินเชิดหน้า “ใช่! หมดเวลาอ่อนแอเสียที ท่านแม่เองก็เช่นกัน เลิกยึดติดกับความรักในวัยเยาว์ได้แล้ว ตัดอารมณ์หึงหวงออกไปให้หมดด้วย อาจใช่ที่ท่านพ่อเป็นบุตรชายคนเดียวของสกุลสวีจึงคาดหวังทายาทบุรุษสืบทอด พอกัวเหมยมอบให้ได้ ความรักจึงเปลี่ยนถ่ายแปรผัน แต่แล้วอย่างไรล่ะ?”
หลิ่งหลินหรี่ตา จ้องหน้าเหยาซื่อ กล่าวต่อเสียงเรียบ “หากท่านมิอาจคลอดบุตรได้อีก เพียงหาสตรีสุขภาพดีงดงามเย้ายวนดุจดอกไม้ผลิบานมาเพิ่มสักสี่คนก็ใช้ได้แล้วนี่ บุรุษเช่นท่านพ่อน่ะไม่ใช่เพราะท่านคลอดข้าเป็นสตรี แต่เป็นเพราะกัวเหมยงดงามกว่าอ่อนเยาว์กว่าเท่านั้นเอง อย่าลืม การยอมให้เรือนหลังมีสามภรรยาสี่อนุมิใช่เพื่อบุรุษ แต่ทำไปเพื่อถ่วงดุลอำนาจต่างหาก ใช่ว่าท่านแม่ไม่เข้าใจเรื่องหลังเรือนนี่ เพียงแต่ก่อนนี้ยึดติดเกินไป หึงหวงเกินเหตุ ขนาดท่านพ่อมีกัวเหมยคนเดียวท่านยังแทบคลั่ง หากเขามีสาวงามเคียงกายอีกหลายคนย่อมมิอาจทำใจได้ จึงจำต้องอดทนเพียงเพราะมิอาจยอมให้สามีรับอนุเกินหนึ่งคน และมันก็เป็นดาบสองคม กัวเหมยไร้คู่แข่งเพราะท่านแม่น่ะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางมานานแล้ว แต่ท่านลองตรองดูเถิด กัวเหมยแย่งความรักไปได้ เหตุใดผู้อื่นจะแย่งจากนางไม่ได้ ในเมื่อท่านไม่ได้รับความรักนั่นอยู่แล้ว จะใส่ใจไปไยว่ามันจะเผื่อแผ่ไปทางใดอีก ต่อไปข้าจะช่วยท่านแม่เอง ดีหรือไม่เล่า? นั่งบนภูดูเสือกัดกัน สนุกจะตายเจ้าค่ะ”
แววตาเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายผุดวาบแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว พูดจบก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ เรียกความชุ่มชื่นกลับคืนสู่ลำคอ พูดมากไปหน่อยคอแห้งเลย