ทั้งสายตาและวาจาดูแคลนหลิ่งหลินย่อมมองออก ยิ่งได้ฟังคำว่า ‘ลดตัว’ นางพลันแค่นเสียงหยันในใจ แต่ใบหน้ากลับแย้มยิ้มเฉิดฉาย ทว่าวาจาเชือดเฉือน “น้องชายผู้ยิ่งใหญ่ของข้า ได้ข่าวว่าเป็นสหายร่วมเรียนกับท่านอ๋องน้อยนี่นา ไฉนไม่เชิญท่านอ๋องน้อยมาเที่ยวที่จวนของเราบ้างเล่า หรือเจ้ามินับเป็นสหายในสายตาพระองค์”
“เหลวไหล!” สวีหย่งกังตวาดกลับ “ท่านอ๋องสูงศักดิ์ ใช่ว่าจะเชิญมาได้ตามใจชอบ”
“โอ้! เช่นนั้นเจ้าคงได้รับพระเมตตาให้ไปร่ำสุรากับพระองค์บ่อยๆ กระมัง เคยไปที่ใดมาบ้าง ใช่จวนอ๋องหรือไม่ หอหมื่นบุปผาหรือเปล่า กี่ครั้งแล้วล่ะ ไม่เห็นเล่าให้ฟังบ้าง โอวดูเถิด! พี่สาวคนนี้ช่างเบาปัญญาเหลือเกิน นอกจากไม่รู้เรื่องภายนอก ยังไม่รู้เรื่องของน้องชาย เฮ้อ...รู้สึกผิดยิ่งนัก”
ทุกถ้อยคำหลิ่งหลินยังคงพูดพร้อมฉีกรอยยิ้มโง่เขลา แต่ความหมายล้วนชัดเจน
‘ไร้เกียรติไม่น่าเคารพไม่คู่ควรได้คบหา’
“จ่ะ เจ้า...” แต่สวีหย่งกังถึงขั้นพูดไม่ออกเถียงมิได้ เพราะเขาเป็นสหายร่วมเรียนก็จริง แต่ตอนศึกษาในชั้น ไม่เคยได้เข้าใกล้ท่านอ๋องเลย พระองค์ไม่ชายตาแลด้วยซ้ำ อาจเพราะมีสหายร่วมเรียนมากมายหลายคนจนเกินไป
เห็นบุตรชายอึกอัก กัวเหมยจึงเอ่ยกับสวีหลิงเยี่ยน “ตายจริง ข้าไม่คิดว่าคุณหนูใหญ่จะปากคอเราะรายเช่นนี้ เห็นทีฮูหยินใหญ่คงไม่ว่างอบรม มิสู้ให้ข้าช่วยสั่งสอนแทน ดีหรือไม่เจ้าคะ?”
แน่นอนว่ามิใช่ความหวังดีปรารถนากล่อมเกลาผู้ใด เพียงต้องการหักหน้าเหยาซื่อที่มิอาจดูแลบุตรสาวตัวเองได้ เช่นนี้ยังเหมาะจะครองตำแหน่งภรรยาเอกหรือไร ไยมิใช่สมควรปลดออกไปแล้วให้นางขึ้นแทนเสียที
หึ! เหยาซื่อมีสกุลบ้านเดิมที่ดีกว่านางแล้วอย่างไร เห็นได้ชัดว่าโง่ทั้งแม่ทั้งลูก ไม่คู่ควรให้สนทนาด้วยซ้ำ คิดพลางหันไปทางสามี บุรุษที่นางใช้เสน่ห์มารยาช่วงชิงอย่างไม่เปลืองแรงผู้นี้ล้วนเชื่อคำนาง
“ท่านพี่ดูเถิด หลิงเยี่ยนคงอิจฉาที่หย่งกังได้เรียนที่สำนักศึกษาหลวง มิแน่ว่าอยากเข้าไปเรียนด้วย แต่นางคงลืมไปว่าการเป็นสหายร่วมเรียนกับราชนิกุลไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครก็ทำได้ต้องฝึกฝนร่ำเรียนจนชำนาญแตกฉานและต้องสอบแข่งขัน หย่งกังของเราต้องลำบากยากเข็ญปานนั้น ความรู้ความสามารถต้องผ่านเกณฑ์ของราชครูในวัง”
นางหัวเราะเสียงเหยียด “แต่หลิงเยี่ยนไม่ต้องสอบ สำนักศึกษาชิ่นหลันไม่ต้องแข่งขันเพื่อเข้าเรียน แค่เป็นบุตรหลานขุนนางก็เข้าได้ ไร้ความสามารถก็เรียนได้ นางไม่เพียงไม่ประเมินตนเองให้ดี ยังหาเรื่องว่ากล่าวน้องชายได้ขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าพี่หญิงน่ะ มีบุตรสาวแต่ดูแลไม่ได้ น้องหญิงรู้สึกเป็นกังวลแทนเหลือเกินเจ้าค่ะ”
เรื่องนี้นับเป็นปัญหาใหญ่มากเลยทีเดียว
โดยปกติการมีบุตรชายว่ายากแล้ว การดูแลบุตรชายยิ่งยากกว่าการดูแลบุตรสาวหลายเท่านัก
เพราะสตรีแค่เติบโตแต่งงานไปอยู่บ้านสามีนับว่าจบ แต่บุรุษมิใช่แค่เติบโตแต่งงานแต่ต้องสืบทอดวงศ์ตระกูลให้ยั่งยืนยาวนานชั่วลูกชั่วหลาน
ทว่าหากบุตรสาวทำตัวไม่ดีหรือทำเรื่องผิดเพียงนิด ย่อมเป็นที่เสื่อมเสีย ทำลายชื่อเสียงของสกุลได้ตลอดกาล เรียกได้ว่าฉุดวงศ์ตระกูลให้ตกต่ำได้อย่างร้ายแรง
หมัดนี้กัวเหมยตีได้หลายจุดนัก ทั้งตำหนิภรรยาเอกอย่างไม่ไว้หน้า ทั้งยกบุตรชายของตนเองให้สูงส่งเหนือฟ้ายากเทียบเทียม และด่าทอสวีหลิงเยี่ยนจนต่ำตมไร้ค่าสิ้นคิด
เช่นนี้ต่อให้ใครอยากเถียงก็เถียงไม่ได้แม้ครึ่งคำ เรียกได้ว่ายกฝ่ายตนโดยกดฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสง่างาม
แคว้นต้าอัน ต่อให้จักรพรรดิทรงให้ความสำคัญกับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน ทว่าถึงอย่างไรบุรุษก็ยังคงเหนือกว่าสตรีอยู่ดี
และภรรยาที่คลอดบุตรชายที่เก่งกาจให้สามีก็มักจะได้ดีกว่าภรรยาที่คลอดได้เพียงบุตรสาว
ครานี้เป็นเหยาซื่อบ้างที่อึกอัก นางไร้สิทธิ์ไร้เสียงมาตลอดตั้งแต่ต้น ทั้งที่คนผู้หนึ่งเป็นถึงภรรยาเอก จึงทำได้เพียงส่งสายตาปรามบุตรสาวว่าอย่าทำเรื่องราวที่แสดงความโง่เขลาออกมามากนัก แค่นี้ข้าก็แทบไม่มีที่ยืนในจวน บิดาเจ้ารักใคร่โปรดปรานอีกฝ่ายมากไม่รู้หรือไร?
หลิ่งหลินเห็นสายตานั้น แต่หาได้สนใจไม่ เพียงทำท่าตกอกตกใจ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าโง่งมเต็มขั้น “ไอ่โยว่! ฮูหยินรองก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือเจ้าคะ? ข้าเพิ่งเห็น อา...ไม่สิ! ต้องบอกว่าข้ามีตาแต่ไร้แววแล้ว เพราะท่านช่างโดดเด่น ชุดสีเขียวสดนี่ช่างงดงามยิ่งนัก เครื่องประดับบนศีรษะยังหรูหราปานนี้ ทุกชิ้นล้วนเป็นทองคำ โอว! เห็นคราแรก ข้านึกว่าท่านเป็นมารดาตัวเองเสียอีก”
นางชำเลืองตาอีกทาง “อ้าว ท่านแม่ นั่งอยู่ตรงนั้น ผิดตำแหน่งแล้วกระมัง ห่างท่านพ่อเกินไปหรือไม่เจ้าคะ?”
วาจานางเรียกได้ว่าตบซ้ายตบขวาและกระทืบซ้ำ เพราะคำเหล่านั้นหนึ่งไม่ให้ค่า ไม่เห็นกัวเหมยในสายตา สองตำหนิเรื่องแต่งกายเกินฐานะอนุภรรยา ข้ามหน้าข้ามตาภรรยาเอกนับว่าผิดธรรมเนียม
ยังไม่นับรวมการล้ำเส้นบังอาจอบรมบุตรีภรรยาเอก ผู้อื่นมีแต่ให้ภรรยาเอกช่วยสั่งสอนบุตรอนุ สามตำหนิไปถึงสวีจงสือ เรื่องตำแหน่งที่นั่ง เพราะยามนี้กัวเหมยนั่งใกล้นายท่านใหญ่สวี ในขณะที่ภรรยาเอกนั่งไกลปานนั้น
อันที่จริงอนุภรรยามิอาจนั่งร่วมโต๊ะกับเหล่านายท่านนายหญิงด้วยซ้ำมิใช่หรือไร?
นี่มันครอบครัวแบบใด?
นั่นมิใช่เพียงความคิดของหลิ่งหลินแต่ยังส่งตรงไปถึงอู่ถังเชี่ยวผู้เป็นแขกในวันนี้ด้วย
ชายหนุ่มถึงขั้นมีสีหน้ากระอักกระอ่วนแล้ว เขาอยากขอปลีกตัวกลับก่อน แต่หาจังหวะเอ่ยแทรกไม่ได้ จึงเพียงมองคนนั้นทีคนนี้ทีและส่งเสียง “เอ่อ ข้า” ได้แค่นั้น
กัวเหมยกับสวีหย่งกังแม่ลูกถึงกับบื้อใบ้ไปชั่วขณะด้วยไม่คิดว่าสวีหลิงเยี่ยนที่สงบปากเจียมตนมาแต่ไหนแต่ไรจะกล้าพูดจาสามหาวปานนี้ อันที่จริงพวกเขาไม่รู้แล้วว่านิสัยแท้จริงของนางเป็นเช่นไร
ในส่วนนี้สวีจงสือเองก็รู้สึกเช่นกัน เขาไม่เคยมองบุตรสาวคนนี้เต็มตา ทว่าเห็นทีวันนี้คงต้องมองนางใหม่ อีกทั้งยังต้องเข้มงวดให้มากขึ้นเสียแล้ว เขาแค่นเสียงเครียด “เจ้าลูกคนนี้ กล้าล่วงเกินผู้อาวุโส ช่างบังอาจนัก”
แน่นอนว่าแม้แต่ฮูหยินยังมิอาจทำอันใดกัวเหมยได้ เพราะมีนายท่านใหญ่อย่างสวีจงสือคอยปกป้องตลอดเวลา วันนี้สวีหลิงเยี่ยนกล้าหักหน้าสวีหย่งกังต่อหน้าแขกแซ่อู๋ และตำหนิกัวเหมยอย่างเหิมเกริม บุตรสาวผู้ต่ำต้อยด้อยค่าจึงถูกคำสั่งประกาศิตของผู้นำจวนสวีสั่งขังให้อยู่ในห้อง ห้ามออกนอกเรือนถึงสามวันสามคืน
อยู่บ้านเขาแคว้นเขาย่อมต้องทำตามกฏเขา
หลิ่งหลินผู้ไม่อาจกระทำการรุนแรงเกินฐานะยามนี้จึงได้แต่ถอนหายใจปลดปลงขณะอยู่บนเตียงนอนส่วนตัว
“เฮ้อ... ถือว่ามาพักผ่อนฤดูร้อนแล้วกัน!”
เมื่อถูกขังไว้ในห้องหับมิดชิดจึงคิดได้ว่าเหมาะยิ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนถูกอาจารย์หลิ่งม่อสั่งให้เก็บตัวในถ้ำ เพื่อฝึกวิชามารอีกครั้ง
อันดับแรก...
หลิ่งหลินยกฝ่ามือขึ้นเบื้องหน้าในระยะสายตา เพ่งมองนิ้วของร่างเก่าที่ในอดีตเคยแตกร้าวข้อกระดูกยังหักจากการรองรับน้ำหนักตัวของว่านลู่ชิงขณะสะดุดล้ม บัดนี้กลายเป็นการบาดเจ็บเรื้อรัง กระทั่งพิณยังบรรเลงแทบมิได้
หญิงสาวหลับตาลงนั่งขัดสมาธิหลับตาเดินลมปราณสำรวจกำลังภายในของตน
เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านอย่างเชื่องช้ามิแยแสโมงยาม
นางค่อยๆ รับรู้ได้ถึงบางสิ่งในร่างว่ามีพลังสายหนึ่งติดมากับจิตวิญญาณ
ไม่นานเลือดลมพลันสูบฉีดใหลเวียนแล่นพล่าน เกิดคลื่นความร้อนวูบวาบไปทั่วกายให้รู้สึกดี มวลลมปราณที่ซ่อนเร้นเริ่มผุดพรายเผยกำลังภายในอันลึกลับทีละน้อย
จังหวะนั้น หลิ่งหลินยกนิ้วขึ้นมาเบื้องหน้าอย่างช้าๆ ให้อยู่ระยะสายตาอีกครา นางลืมตาขึ้นเพ่งมอง
จากนั้น เพียงขยับนิ้วแกร่กเดียว ทั้งข้อที่หักและกระดูกที่แตกร้าวพลันผสานสมานแผลเรื้อรังหายทันที
นางวางมือลงหลับตานั่งขัดสมาธิตั้งจิตขั้นสุด
เมื่อลมปราณผสานจิตวิญญาณวิชายุทธที่ติดมาด้วยย่อมไหลทะลักเข้าสู่กระแสเลือด กายหยาบย่อมพัฒนา นางลืมตาพรึบลุกขึ้นยืนข้างเตียง ลองขยับตัวไปมาให้กระดูกเคลื่อนทั่วกาย พลังปราณกระจายก่อนหลวมรวมและผนึกเป็นหนึ่งเดียว เรียกได้ว่าสามารถฟื้นฟูลมปราณได้ในระยะเวลาอันสั้น
มุมปากหลิ่งหลินผุดรอยยิ้มน่ากลัวขึ้นอย่างช้าๆ
“ดี...ดีมาก”