ตอนที่ 3 สหายร่วมเรียน2

1124 คำ
“เอาล่ะ! ข้าต้องไปแล้ว ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” ในศาลา เหยาซื่อยังคงนั่งมองตามแผ่นหลังเล็กๆ ของบุตรสาวอย่างเงียบงัน ดรุณีน้อยผู้นั้นเดินจากไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงพลังอำนาจบางอย่างจากวาจาอันแสนธรรมดา ใช่แล้ว สิ่งที่สวีหลิงเยี่ยนพูดนั้นถูกต้องทั้งหมด และเป็นสิ่งที่นางเองก็ขบคิดมานานแล้วแต่ไม่ลงมือเสียที อาจเพราะไม่มีความกล้ามากพอ แต่นับจากวันนี้... ‘ต่อไปข้าจะช่วยท่านแม่เอง...’ ประโยคยาวเหยียดทั้งหมดของบุตรสาว มีเพียงวาจาสั้นๆ เพียงแค่นี้เท่านั้น ที่สามารถปลุกความกล้าในใจ ทว่าจู่ๆ น้ำตาหยดหนึ่งพลันเอ่อล้นขึ้นมาตรงขอบตา เหยาซื่อรู้สึกโศกเศร้าอยู่ในอกลึกๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุ สายลมพัดโชยเบาๆพากลีบดอกไม้เล็กๆที่หลุดจากขั้วม้วนตัวหมุนวนอยู่ด้านนอกศาลา พาความเย็นจัดชนิดหนึ่งผ่านวูบเข้าสู่ใบหน้าของผู้ที่นั่งอยู่ด้านในศาลา ดวงตาเหยาซื่อสั่นไหวเล็กน้อย แม้รู้สึกดีที่บุตรสาวเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทว่า...นางกลับรู้สึกเหมือนตัวเองได้สูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตไปแล้ว ตลอดกาล... สำนักศึกษาชิ่นหลัน หลิ่งหลินเดินเข้าประตูสำนักศึกษามาอย่างคุ้นเคยตามความทรงจำจากร่างเก่า พอเข้ามาถึงสวนหย่อมต้องเลี้ยวขวาผ่านประตูพระจันทร์[1] จากนั้นจะเจอเรือนหนังสือถัดกันคือห้องเรียนระดับชั้นของร่างนี้ หญิงสาวเดินเข้ามา มองไปรอบๆ อย่างอารมณ์ดี นางเป็นสตรีที่ชอบเรียนรู้ใฝ่ฝึกฝน ตอนอยู่หุบเขาปีศาจ ฝึกตนจนแตกฉานสรรพวิชาแห่งมารและการต่อสู้เชิงยุทธ ตอนนี้ต้องอยู่เมืองเฉินโจวในต้าอันที่ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้เช่นกันจึงมิใช่เรื่องยากหากต้องฝึกฝนในศาสตร์อื่นๆ ที่ต่างออกไป หลิ่งหลินก้าวเท้าอย่างมั่นใจ หางตาเห็นทางฝั่งซ้ายมีคุณหนูจับกลุ่มคุยกันอยู่ประปราย มีกลุ่มหนึ่งหันมองนาง แววตาเหล่านั้นคล้ายรังเกียจเดียดฉันท์ สตรีผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างหยามหยัน “หายไปสามวัน นึกว่าคิดได้แล้วเรื่องลาออกจากสำนักศึกษา แต่วันนี้กลับยังโผล่หัวมาให้พวกข้าต้องทนเห็นหน้า ช่างน่ารังเกียจนัก” หลิ่งหลินชะงักฝีเท้าเล็กน้อยเมื่อได้ยินวาจาเช่นนั้น แม้อีกฝ่ายไม่เอ่ยชื่อ แต่นางรู้ดีว่าหมายถึงใคร ยังไม่ทันหันไปมองต้นของทางเสียง สตรีสามคนพลันเดินเข้ามารุมล้อม ล้วนเป็นคุณหนูที่เคยผลักไสสวีหลิงเยี่ยนวันก่อน นอกจากขับไล่ให้ลาออกจากสำนักศึกษายังผลักจนล้มได้แผลที่ฝ่ามือด้วย หลิ่งหลินหรี่ตา นึกขึ้นมาพลันแสบมือ หญิงสาวปรายตามอง เร่งสำรวจทีละคน หนึ่งอวี้ซู สองฟู่ชิง สามกู้ซิน จากความทรงจำร่างเก่าพอรู้สตรีทั้งสามแม้ต่างแซ่แต่เป็นลูกพี่ลูกน้องบ้านมารดาเดียวกันทั้งสิ้น พวกนางจึงมักอยู่ด้วยกันตลอด ยึดถือแต่พวกพ้องเดียวกันตอนท่านอาจารย์ซ่งสั่งให้จับกลุ่มเรียนร่ายรำบรรเลงพิณจึงไม่ชอบใจที่มีสวีหลิงเยี่ยนเพิ่มอีกคน หลิ่งหลินไม่อยากเสวนาต่อคำจึงทำท่าเดินจากไป แต่เหมือนพวกนางไม่คิดจะลดลาวาศอก ยังคงเดินตามติดแบบล้อมหน้าล้อมหลัง “นี่ กล้าดีอย่างไรเมินเฉยต่อพวกข้า หะ!” “ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ” “ทำไมไม่ตายเสียล่ะ โผล่มาทำไม? ไสหัวไปซะ” หลิ่งหลินถอนหายใจเบื่อ นางหยุดเดินถามเสียงนิ่ง “ครั้งที่แล้วสวีหลิงเยี่ยนขอโทษไปแล้วยังจะเอาอย่างไรอีก” อวี้ซูเชิดหน้าถาม “แค่ขอโทษไม่พอกระมัง?” ฟู่ชิงเสริม “เจ้าต้องหายตัวไปซะจึงจะดี” กู้ซินว่าต่อ “รีบไสหัวกลับไปเลยนะ” คนถูกไล่ทำหูทวนลม นางตั้งใจมาศึกษาร่ำเรียน ไม่ได้มาทะเลาะเบาะแว้งกับใคร เป็นอย่างไรเล่า หลิ่งหลินในร่างใหม่ผู้นี้นิสัยดีมาก เปี่ยมเมตตายิ่ง รู้หรือไม่? แน่นอนว่าคุณหนูทั้งสามมิได้รับรู้ถึงความเมตตานั้น พวกนางคิดเพียงว่าสวีหลิงเยี่ยนเพียงทำตัวสงบเสงี่ยมโง่เง่าน่ารำคาญเหมือนที่ผ่านมาจึงตามตอแยไม่เลิกรา อวี้ซูเหยียดปากว่า “วันนี้ทำเป็นแต่งตัวสะสวย ทาแป้งแต้มชาดใส่ชุดสีแดง จงใจเลียนแบบท่านพี่ฟู่ชิงสินะ” คุณหนูทั้งสาม ขึ้นชื่อเรื่องแต่งกายสีสันสดใสบาดตา โดดเด่นแต่ไกล คนหนึ่งชอบใส่สีเหลืองสด อีกคนสีเขียว ส่วนฟู่ชิงเป็นญาติผู้พี่ที่ชอบแต่งเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดที่สุด โดยเฉพาะสีแดง ใส่มาแทบทุกวัน ดังนั้น การที่เห็นสวีหลิงเยี่ยนแต่งกายเหมือนกันคล้ายจงใจจริงๆ เช่นนั้นจึงหมั่นไส้ยิ่งกว่าเดิม “ช่างบังอาจนักนะ” ฟู่ชิงตวาดอย่างหงุดหงิด แต่หลิ่งหลินยังคงเมินเฉย แล้วอย่างไร? ใครสน! นางเป็นคนที่ชอบสีสันสีสด ชอบหยดเลือด ชอบสีแดง เสื้อผ้าสีโลหิตยิ่งชมชอบนัก ชุดนี้ก็เพิ่งแวะซื้อที่ตลาดตอนเช้าเพื่อใส่มาเรียนวันแรกเชียวนะ หญิงสาวเดินต่อ ไม่ใส่ใจว่าผู้ใดอยากรุมล้อม ครั้นเห็นสตรีตรงหน้าไม่สะทกสะท้าน พวกนางยิ่งเพิ่มความชิงชัง โทสะพลันโหมกระพืออย่างรุนแรง เพียงแต่ยามนี้รอบด้านพวกนางเริ่มมีผู้คนเยอะขึ้นกว่าตอนแรกมาก เพราะใกล้เวลาเข้าเรียนแล้ว ผู้คนจึงหนาแน่น พวกเขากำลังเดินเข้าสำนักศึกษาอย่างคึกคัก กู้ซินจึงหันมาจับแขนกับอวี้ซูและฟู่ชิงให้หยุดเดินก่อนกระซิบกระซาบกับพี่น้องของตน ให้ได้ยินกันแค่สามคน “พี่สาวทั้งสอง ด้านหลังสำนักศึกษามีป่าไผ่ เงียบเชียบยิ่ง” อีกสองคนพลันมีดวงตาสว่างวาบ จากนั้นค่อยๆ เปลี่ยนท่าทีที่มีต่อสตรีโง่เขลา อวี้ซูเดินเข้าหาสวีหลิงเยี่ยน แย้มพรายอย่างชั่วร้าย “หลิงเยี่ยน ข้าคิดว่าพวกเราควรไปคุยกันดีๆ ทางด้านนั้นดีกว่า พวกข้าจะช่วยเจ้าฝึกร่ายรำเพลงพิณเป็นไร ดีหรือไม่?” ว่าพลางพยักเพยิดใบหน้าใช้คางเชิดๆ ชี้ทางขณะตรงเข้ามากุมมือสวีหลิงเยี่ยนอย่างเป็นมิตร โดยไม่รู้ตัวว่าผู้ถูกกุมมือซ่อนรอยยิ้มชั่วร้ายยิ่งกว่า เชิญตามสบาย รีบๆ เลยเถอะ อย่ามัวเห่าหอน... [1]ประตูพระจันทร์(**) ทางเปิดโล่งลักษณะวงกลม เชื่อมต่อจากผนังหรือกําแพงที่ล้อมรอบสวน ส่วนหนึ่งของสถาปัตยกรรมในสวนจีน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม