bc

บุปผาวารี สลับวิญญาณ สยบมังกร

book_age12+
133
ติดตาม
1.3K
อ่าน
ครอบครัว
จบสุข
ผู้สืบทอด
หวาน
ชายจีบหญิง
เบาสมอง
สาสมใจ
ฉลาด
วิทยาลัย
ปิ๊งรักวัยเด็ก
love at the first sight
addiction
like
intro-logo
คำนิยม

เมื่อบุปผาต่างขั้วสลับร่างเปลี่ยนวิญญาณ

กายผสานกับวิญญาณที่เปลี่ยนผันจะมอบคืนวันอันสงบสุขได้อย่างไร?

********

นางเกิดมาต้องฆ่า อยู่รอดเพราะฆ่า มีชีวิตเพื่อฆ่า เว้นไว้เพียงแค่เขา ที่นางปรารถนาปกป้อง...

แต่ขอแอบปกป้อง ดูแลแบบเงียบๆ ไม่ได้หรือไร? ไยชอบตามติด ชอบแนบชิด? ไม่ต้องอยากรู้หรอกว่านางเป็นใคร!

****

นางไม่บอกก็ได้ เช่นนั้นเขาจะทำตัวเสแสร้ง แกล้งทำตัวอ่อนแอต่อหน้า ให้คอยปกป้อง

chap-preview
อ่านตัวอย่างฟรี
ปฐมบท 1 สวีหลิงเยี่ยน1
เป้าหมายในการมีชีวิตอยู่คืออันใด ไฉนตัวข้าผู้นี้ถึงไม่มี แค่อยากชีวิตดี มีคนที่รักสักคน เหตุใดจึงยากเย็น ไร้สหาย สิ้นคนรักข้างกาย ไม่มีผู้อาวุโสพึ่งพิง ชีวิตนี้ว่างเปล่าเกินทน ทุกวันอ้างว้าง ไร้แรงกำลังอยู่ต่อจริงๆ สวีหลิงเยี่ยน แคว้นต้าอันยิ่งใหญ่ สงบและรุ่งเรืองแห่งนี้ จักรพรรดิจ้าวเฉวียนให้ความสำคัญการร่ำเรียนอ่านเขียน มิแบ่งแยกชายหญิง ทั่วแคว้น บุรุษสตรีเท่าเทียม มีสิทธิ์ได้เรียนรู้เท่ากัน ล้วนได้รับการขัดเกลา ร่ำเรียนและฝึกฝนศาสตร์ทุกแขนงจากสำนักศึกษาที่ก่อตั้งทั่วดินแดน ผู้คนในทุกช่วงวัยจำต้องมีวิชาความรู้ติดกาย ถึงจะเรียกว่าได้ดีมีคุณธรรมค้ำจุนใต้หล้า บุตรที่ขยันอดทนหมั่นพากเพียรมิหยุดหย่อน ย่อมได้รับการยกย่องเชิดชู ภายหน้าเติบใหญ่จะได้ดี มีสิทธิ์เข้ารับราชการเป็นขุนนางชายขุนนางหญิงผู้เลื่องลือ มียศถาบรรดาศักดิ์ เจริญรุ่งเรืองไม่สิ้นสุด สำนักศึกษาชิ่นหลัน สตรีนางหนึ่งก้มหน้าหลุบตาขณะค่อยๆ เดินผ่านกลุ่มสหายร่วมเรียนอย่างเงียบเชียบ สงบเสงี่ยมเจียมตัว ทว่าไม่เป็นผล เมื่อคนทั้งกลุ่มหันมามองนาง แววตาเหล่านั้นคล้ายรังเกียจเดียดฉันท์ สตรีผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างหยามหยัน “หากวันนี้มิใช่เพราะคุณหนูไร้ค่าไม่ได้เรื่องอย่างเจ้า พวกเราอาจชนะการแข่งขันร่ายรำเพลงพิณก็เป็นได้” ร่ายรำเพลงพิณนับเป็นศาสตร์สตรีที่สูงส่งมิต่างจากร่ายรำเพลงกระบี่ในวิชาต่อสู้ของเหล่านักรบที่ถูกยกย่องเป็นวีรบุรุษ อีกคนเอ่ยเสริม “ใช่ ไฉนท่านอาจารย์ซ่งต้องให้เจ้ามาเข้ากลุ่มกับพวกข้าด้วย หากไม่มีเจ้าเป็นตัวถ่วง พวกเราชนะไปแล้ว” “นั่นสิ บรรเลงพิณก็ไม่ได้ ออกท่าเริงระบำยังหกล้ม พาทุกคนลงไปกองกับพื้นจนหมด น่าอายนัก การจับกลุ่มวันนี้ อาจารย์ซ่งบอกว่ามีผลจนกว่าจะหมดวิชาเรียนฤดูร้อน นอกจากวิชาพิณกับร่ายรำ พรุ่งนี้ต้องวาดภาพต่อกลอนอีก ข้าคิดว่าพวกเราต้องแพ้ราบคาบจนไม่ได้เลื่อนระดับแน่ หากยังมีคุณหนูสวีผู้ไร้ประโยชน์อยู่ในกลุ่ม” สตรีชุดฟ้าที่นิ่งเงียบอยู่นานเดินเข้ามาผลักไหล่ “นี่! สวีหลิงเยี่ยน พรุ่งนี้ไม่ต้องมาเรียนที่ก็ดีนะ ข้าเห็นท่าทางอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงเหมือนซากศพเดินได้กับใบหน้าจืดชืดซื่อบื้อเหมือนคนไร้สมองของเจ้าแล้ว รู้สึกทนไม่ไหวจริงๆ อยากจะอาเจียน!” เจ้าของนามได้ยินชัดทุกคนแต่ยังคงเงียบงัน ก้มหน้ามิกล้าสบตาท่าทีเต็มไปด้วยอาการตกประหม่าขลาดเขลาและไม่มั่นใจ คุณหนูชุดเขียวเริ่มทนไม่ไหว นางเข้ามาผลักหน้าอกจนสวีหลิงเยี่ยนล้มตึง “ได้ยินหรือไม่? พรุ่งนี้ไม่ต้องโผล่หัวมาให้พวกเราเห็นหน้าอีก จะไปตายที่ไหนก็ไป” “ข่ะ ข้าขอโทษ” สวีหลิงเยี่ยนค่อยๆ เอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ ทว่าหนักแน่น “ต่อไปข้าจะพยายามให้มากกว่านี้ จะทำให้ดีขึ้นแน่นอน พวกเจ้า ได้โปรดให้อภัยข้าเถิดนะ” “เฮอะ! ให้อภัยหรือ? ชิ! ไร้ค่าจริงๆ” ทุกคนสบถขณะพากันเดินจากไป หลิงเยี่ยนเม้มปากน้ำตาคลอ ยกมือที่มีเลือดซิบเพราะถูกผลักจนล้มเมื่อครู่ขึ้นดู ฝ่ามือนี้เคยช่วยสหายผู้หนึ่งเอาไว้ตอนอีกฝ่ายกำลังเดินเล่นอย่างซุกซนแล้วสะดุดล้ม นางรับแรงกระแทกนั้น จนกระดูกนิ้วบาดเจ็บเรื้อรัง มิอาจบรรเลงพิณได้สะดวก หญิงสาวยังคงนั่งคุดคู้อยู่ตรงนั้น เนิ่นนานให้หลังค่อยลุกขึ้นเดินกะเผลกออกจากสำนักศึกษา มองผ่านม่านน้ำตาเห็นเบื้องหน้าในระยะไม่ไกลนักคือสวนพฤกษา ภาพบาดตากรีดใจที่เกิดขึ้นตรงนั้นเมื่อวาน กระทั่งส่งผลให้จิตใจไม่อยู่กับตัวยังคงฉายชัดในห้วงภวังค์ บุรุษที่นางคบหาดูใจมากว่าสามปีกับสตรีต่างเมืองที่เพิ่งรู้จักเพียงหกเดือน พวกเขาอยู่ด้วยกัน ท่าทีสนิทสนมเปิดเผยหวานชื่น และเหมือนตั้งใจให้นางเห็น เป็นเช่นนั้นหลายครั้งหลายครา หากแต่นางทำเพียงเพิกเฉย มิเอ่ยวาจาหรือโวยวายอันใด การยอมรับได้ในเรื่องสองภรรยาใช้สามีเดียวกันมิใช่ปัญหา แต่ว่า...หากครึ่งปีก่อนนางไม่พาสหายใหม่คนนี้มาแนะนำให้ท่านพี่ฉู่เฉิงรู้จักจะดีสักเพียงใด? เขายังจะมีวาจาเช่นนั้นกับนางหรือไม่? ‘เยี่ยนเอ๋อร์ เจ้าอ่อนแอเกินไป ทำตัวน่าเบื่อยิ่งนัก ช่วยเปลี่ยนตัวเองเสียบ้างเถอะ ข้ามิอาจอยู่กับเจ้าได้ตลอดหรอกนะ’ ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เห็นพูดแบบนี้ ยังบอกว่านางเป็นสตรีเรียบร้อยอ่อนโยน ปรารถนาดูแลปกป้องตลอดไป นางได้แต่คิดทว่ามิกล้าเอ่ยออกมา จังหวะนั้นสตรีที่ยืนข้างกายเขาพลันเอ่ยแทรก ‘อาเยี่ยน เจ้าอย่าบอกนะว่าไม่เคยเห็นข้ากับพี่ฉู่อยู่ด้วยกัน’ ‘ลู่ชิง...’ นางได้แต่ครางชื่อสหายอย่างปวดใจ ว่านลู่ชิงกล่าวต่อ ‘ข้าก็รอว่าเมื่อไรเจ้าจะโวยวาย ตีโพยตีพายให้แตกหัก ข้าจะได้ป่าวประกาศให้รู้ชัดๆ สุดท้ายเจ้ากลับเพิกเฉย อ้อ! หรือเจ้ายอมรับได้?’ แน่นอนนางพยักหน้า ทว่าเหมือนว่านลู่ชิงจะรับมิได้ ทั้งที่ ระหว่างนางกับฉู่เฉิง ว่านลู่ชิงมาทีหลัง “ชิ! โง่งม!” ว่านลู่ชิงสบถ “ชอบทำให้ผู้อื่นลำบากใจ ข้าไม่รู้จะทำกับสหายซื่อบื้อเช่นเจ้าอย่างไรแล้วนะอาเยี่ยน เฮ้อ...เอาเถอะ เจ้าคงไม่อยากแตกหัก ถึงอย่างไรก็มีแค่ข้าเป็นสหายนี่นะ ต่อไปเราเป็นเช่นเดิมก็ได้ แต่เจ้ากับพี่ฉู่ก็ต้องเป็นแค่สหายเช่นกัน” นางส่ายหน้าระอา “ไอ่โยว อาเยี่ยน เจ้าน่าสมเพชเกินไปแล้ว” สวีหลิงเยี่ยนยอมรับคำด่าทอนั้นอย่างจำนน ในขณะที่ฉู่เฉิงมองนางด้วยแววตาว่างเปล่า ไร้ความรู้สึกเฉกวันวาน เขาถอนหายใจเบื่อหน่าย กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเอือมระอาว่า ‘ข้ายอมรับว่าชอบน้องลู่ชิง ส่วนเจ้า ข้าขอบอกตามตรง พวกเราไม่เหมาะสมกันหรอก จงอย่าเอ่ยถึงเรื่องหมั้นอีก’ แล้วพวกเขาสองคนก็พากันเดินจากไป ทิ้งเอาไว้ให้นางยืนเคว้งเวิ้งว้างอยู่ที่เดิมครู่ใหญ่ ในครรลองสายตาของหลิงเยี่ยนยังคงเห็นเพียงเขา ชายในดวงใจกับสหายคนนั้น ทั้งสองส่งยิ้มให้กันหน้าระรื่น มีเสียงหัวเราะสดใสดังคิกคักให้ได้ยินเป็นระยะ แววตาของฉู่เฉิงที่มองว่านลู่ชิงยามนี้เต็มไปด้วยความเอ็นดูแฝงเสน่หาอันเร่าร้อน ทั้งที่เมื่อก่อนในแววตานั้นของเขาล้วนมีเพียงนาง พวกเราไม่เหมาะสมกันหรอก... ประโยคนั้นยังคงก้องกังวานในหัวใจของหลิงเยี่ยน ฉู่เฉิงโดดเด่นเก่งกาจมากความสามารถแต่ไหนแต่ไรกับว่านลู่ชิงที่แม้จะเพิ่งเข้ามาฝึกฝน แต่ทักษะกลับเป็นเลิศแบบก้าวกระโดด ไม่นานก็ติดอันดับต้นๆในสำนักศึกษา พวกเขาเหมาะสมกันแล้วล่ะ หลิงเยี่ยนเงยหน้ามองท้องฟ้า เห็นเพียงมวลเมฆผ่านม่านน้ำตา ในสมองว่างเปล่าขาวโพลน สายลมเย็นจัดพัดมาวูบหนึ่ง พาอาภรณ์สีฟ้าสะบัดพลิ้วแนบกายระหงที่อ่อนแอแม้แต่ท่ายืนยังไม่มั่นใจ นางผิดมากหรือไร ปรารถนาน้ำใจจากสหายใหม่ โหยหาความสุขเพียงเล็กน้อยแค่หนึ่งเดียวจากว่าที่สามี กลับได้รับการรวมหัวกันมอบความทุกข์ให้เช่นนี้

สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook