“ปล่อยนะ!” หญิงสาวดิ้นขลุกขลัก รั้งสายรัดเอวไว้ หนีบขาตัวเองแน่น ปกป้องส่วนสำคัญ มิให้ชายเหนือร่างแทรกกายลงมาได้
“ไม่เอาน่า เด็กดี ไม่ดื้อ บิดาจะรักถนอมเจ้า”
อาจเพราะสัญชาตญาณหรือเลือดนักสู้ในกายนาง มีดใต้หมอนถูกดึงออกมาแล้วปักฉึกตรงลำคอเหวินอี้อย่างไม่ต้องยั้งคิด หรงเอ๋อร์บิดแล้วดึงออก จากนั้นแทงซ้ำ แทงย้ำให้ลึกกว่าเดิมแล้วดึงออกอย่างแรง
“อ๊ากกกกกก”
เสียงของเหวินอี้โหยหวนเหมือนวัวตัวโตถูกเชือด เลือดสีแดงฉานกระฉูดเต็มใบหน้าจิ้มลิ้มของหรงเอ๋อร์
แววตานางกร้าวขึ้นด้วยแรงโทสะท่วมฟ้า
ร่างใหญ่ถูกถีบจนล้มกลิ้งลงพื้นข้างเตียงดังโครม หรงเอ๋อร์ลุกตามมา กระชับมีดในมือแทงร่างหนานั้นไม่ยั้ง ยังไม่ลืมตัดเอ็นชั่วกลางลำตัวจนขาดกระเด็น
“อึกๆ อั่ก...”
ยามนี้เหวินอี้สิ้นไร้เส้นเสียง แหกปากแทบฉีกแต่กลับร้องไม่ออกอีกแล้ว ทำได้เพียงเบิกตากว้างมองหรงเอ๋อร์อย่างตกตะลึงพรึงเพริดด้วยคิดไม่ถึง
มิคาดว่าแม่นางน้อยผู้หนึ่งจะโหดเหี้ยมได้ขนาดนี้
มีดคมกริบยังคงปักฉึกๆ ลงในเนื้อหนังอย่างต่อเนื่อง หรงเอ๋อร์กระชับมีดกระหน่ำแทงไม่ยั้ง ดวงตานางแดงก่ำ ประกายในแววตาเต็มไปด้วยความขยะแขยงชิงชัง
มีดเล่มนี้หรงเอ๋อร์พกพาตลอดเวลา มันใช้งานได้ดีและถนัดมือยิ่ง โดยเฉพาะตอนฆ่าสัตว์
สาวน้อยใช้มีดเล่มนี้ตัดคอแล่เนื้อเถือหนังสัตว์ป่า เพราะนางต้องขึ้นเขาหาของป่าและล่าสัตว์ลงมาขายทุกวัน จะไม่สันทัดได้อย่างไร
“อั่ก...”
ในที่สุดเหวินอี้ก็แน่นิ่ง เขาเบิกตาโพลงจมกองเลือด นอนสิ้นใจตายไปในสภาพเนื้อตัวเปล่าเปลือยไร้อาภรณ์
ช่างอุจาดตานัก หรงเอ๋อร์กำมีดในมือตัดสายรัดเอวแล้วถอดเสื้อผ้าของตนที่เปื้อนเลือดของอีกคนออกมา เหวี่ยงลงไปกองบนกายของร่างไร้วิญญาณนั้น
หญิงสาวยืนหรี่ตานิ่งตระหง่านเหนือศพน่ารังเกียจ เลือดหยาดรินจากปลายคางมน หยดลงบนศพนั้นเงียบๆ
นางยกมือข้างหนึ่งปาดเลือดออกไปอย่างไม่ไยดี เลือดสัตว์กับเลือดคนคงไม่แตกต่าง
แต่ทว่าที่ผิดกันคือบ้านเมืองมีกฎหมายคุ้มครองคน
หากฆ่าคนย่อมถูกจับไปลงทัณฑ์ทรมานในคุกมืด เหตุผลอันใดล้วนฟังไม่ขึ้นทั้งนั้น เพราะคงไม่มีใครเสียเวลาฟังคำของเด็กสาวเช่นหรงเอ๋อร์ หญิงสาวจึงไม่เสียเวลาคิด นางไม่มีทางอยู่ที่นี่อีก ใครจะโง่รอให้ถูกจับไปไต่สวน
ทางหนีทีไล่ถูกขบคิดในทันที
หญิงสาวรีบเดินไปหาชุดใหม่ที่สะอาดมาเปลี่ยน เป็นเสื้อหม่นสีทึบเหมาะแก่การเร้นกายยามราตรี ไม่นาน เรือนสกุลเหวินในหมู่บ้านจินซานพลันเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้อย่างรุนแรง
เปลวเพลิงสีแดงเผาผลาญลุกโชนโหมกระพือรุนแรงจนสีแสบตานั้นส่องสว่างไปถึงฟากฟ้า
คนบ้านเรือนใกล้เคียงพลันแตกตื่นเบิกตามอง กระนั้นกลับมิอาจดับไฟได้โดยง่าย
ครั้นเมื่อรุ่งอรุณมาเยือน ทุกอย่างกลายเป็นเถ้าถ่าน ถึงได้พบศพของเหวินอี้ถูกเผาไฟพร้อมเรือนที่มอดไหม้นั้น
แม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงที่รักใคร่สามัคคีกันหนักหนา
ถึงขั้นเป็นลมล้มทั้งยืน ครั้นตื่นขึ้นมากลับไม่ใยดีกันเสียแล้ว พวงนางต่างยื้อแย่งสิ่งของที่พอมีค่าซึ่งหลงเหลืออยู่น้อยนิดจากกองเพลิงในเรือนอย่างบ้าคลั่ง
นั่นคือศพแรกของหรงเอ๋อร์
หญิงสาวมิได้ชมชอบการฆ่า เพียงแต่ชะตาชีวิตนี้ นางอาจเกิดมาและต้องอยู่รอดให้ได้ด้วยการฆ่าก็เท่านั้น
หลังจากหนีเตลิดออกมาไกลจากหมู่บ้านจินซาน หรงเอ๋อร์ระหกระเหินอย่างไม่ทราบทิศทางอยู่นาน จนกระทั่งหลงเข้ามาในถ้ำแห่งหนึ่งแล้วหาทางออกไม่เจอ แต่ที่นี่นางได้เจอกับสาวงามนามหลิ่งม่อ
อันที่จริงเรียกสาวงามอย่างเดียวคงไม่ถูกต้องนัก ต้องเรียกว่านางมารชาดแดงขาดสติจิตวิปริตวิปลาสต่างหาก เพราะหลิ่งม่อชอบแต่งหน้าทาชาด รูปลักษณ์คือชุดแดง ปากแดง รักสวยรักงามยิ่ง แต่ทุกทิศที่กรีดกรายย่างผ่านกลับโหดร้ายดุจมารปีศาจ
นางมักจะหาเรื่องฆ่าคนอย่างบ้าระห่ำมีเหตุผลบ้างไร้เหตุผลบ้างตามอารมณ์ ทั้งเลี้ยงสมุนมารไว้เยอะมาก ยังปกครองหุบเขาปีศาจ
ถูกขนานนามว่าจักรพรรดินีหลงซาน
นับว่าโชคดีที่หลิ่งม่อถูกชะตากับหรงเอ๋อร์มาก ถึงขั้นรับเป็นศิษย์รัก และตั้งชื่อใหม่ให้ว่า หลิ่งหลิน
และเพื่อความอยู่รอด หลิ่งหลินจึงต้องฝึกวิชาอย่างบ้าคลั่ง เพื่อ ‘ฆ่า’ ตามคำสั่ง
สิบปีนับแต่นั้น หลิ่งหลินจึงเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งติดตามหลิ่งม่อทุกเส้นทางโลหิต
เป็นมือสังหารคนสนิทของจักรพรรดิมารหลงซาน
ไม่มีใครไม่รู้จักนักฆ่าฝีมือพระกาฬนามหลิ่งหลิน
กระทั่งหนึ่งปีก่อน
ตอนนั้นเป็นฤดูเหมันต์ หลิ่งม่อฝึกวิชาต้องห้ามในตำนานหมายอยู่ยงคงกระพัน
หวังเป็นอัมตะเยาว์วัยและไร้เทียมทานตลอดกาล แต่กลับถูกธาตุไฟเข้าแทรกจากการกินยามารเพิ่มพลังยุทธทางลัด
แต่ผลของมันมิเป็นดังหมาย กลับดีกลายเป็นร้าย ทำให้ชีพจรสะดุดและสับสนจนสูญเสียการควบคุมตัวตน
ขณะที่พิษเย็นแล่นลาม เลือดลมกลับสูบฉีดรุนแรงทะลักทลายออกเจ็ดทวาร หลิ่งม่อก็ได้รู้ตัวแล้วว่าตนไม่รอด
ก่อนที่ธาตุไฟจะแตกซ่านจนร่างระเบิดแหลกลาญ หลิ่งม่อจึงยกสำนักไพรีพิฆาตให้หลิ่งหลินปกครองนับแต่นั้น