บทที่ ๓ พบหน้า(๒)

1302 คำ
“ต่ำช้า!” นางด่าสั้นๆ แล้วนึกไปถึงเนื้อหาในนิยาย ไหนบอกองค์ชายหกรูปงาม อ่อนโยนกับสตรี ที่ไหนได้ นิสัยใจคอช่างผิดกันมากมายนัก แต่จะให้ทำยังไงได้ ต่อให้อีตานี่จะต่ำช้ายังไง สุดท้ายก็ได้เป็นฮ่องเต้ นางจึงเลือกเดิมพันไปที่เขา องค์ชายหกไม่ได้อนาทรร้อนใจกับคำด่าเลยสักนิด เขากลับยิ้มน้อยๆ แล้วบีบเข้าที่คางเล็กของลู่เพ่ยอย่างแรง บีบเสียจนเจ้าของคางน้ำตาไหลเล็ดออกมาหลายหยดถึงได้หยุดมือ “จำไว้ว่าต่อไป อย่าด่าข้าอีก ไม่เช่นนั้น ข้าจะให้เจ้าอยู่ไม่สู้ตาย” ถึงจะโกรธจนเลือดขึ้นหน้า แต่เพราะชีวิตบนโลกใบนี้ต้องพึ่งพิงเขา ลู่เพ่ยจึงต้องยอมอ่อนข้อให้ เปลี่ยนท่าทีแข็งกร้าวเป็นรอยยิ้มประจบ พยายามใช้รูปกายงดงามของร่างนี้ให้เป็นประโยชน์ สตรีในยุคโบราณนี้ต้องอ่อนหวาน ยอมเป็นวัวเป็นม้าให้บุรุษ เวลานี้นางเองก็ต้องทำเช่นนั้นเพื่อเอาตัวรอด “หม่อมฉัน...หม่อมฉันมีเรื่องขอร้อง องค์ชายได้โปรดยื่นมือช่วยเหลือหม่อมฉันสักครั้งได้หรือไม่?” จู่ๆ สตรีตรงหน้าก็เปลี่ยนคำเรียกขานแทนตัว แถมยังวางสีหน้าอ่อนหวานยั่วยวนอีก ทำเอาเฟยหลิงต้องเพิ่มความระมัดระวังอีกหลายส่วน แต่เมื่อสบสายตากับอีกฝ่ายแล้วมองเห็นระลอกคลื่นแห่งความหวาดกลัวพาดผ่านเขาก็อดใจอ่อนขึ้นมาไม่ได้ เห็นทีคงจะมีแค่เจ้าของแววตาแบบนี้เท่านั้นที่ทำให้ใจของเขาไม่สงบเอาเสียเลย เห็นท่าทางรอคอยคล้ายหากเขาไม่ยื่นมือเข้าช่วยแล้วจะสิ้นลมตายไปตรงหน้า ก็ได้แต่ออกปากถามอย่างไม่วางใจนัก “เจ้าต้องการให้ข้าช่วยอะไร?” เมื่อได้ยินประโยคที่อยากฟัง ดวงตากลมโตของ ลู่เพ่ยวับวาวขึ้นทันที นางคว้าหมับเข้าที่ลำแขนของเขา บีบไว้ไม่ยอมปล่อย ท่าทางสนิทสนมนั้นทำเอาซือโฉวต้องก้มหน้ามองพื้น เขาไม่อยากมอง ไม่อยากเห็นอะไรทั้งนั้น เพราะนี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ร่างกายสูงส่งขององค์ชายบังเกิดเกล้าถูกสตรีคนหนึ่งแตะต้อง แถมยังเป็นสตรีที่งามพิลาสล้ำล่มบ้านล่มเมืองอีกด้วย เขาไม่อยู่ตรงนี้ ซือโฉวมองปลายเท้าของตัวเองตาปริบๆ เพราะว่าไม่อยากโดนผู้เป็นนายเล่นงานตามหลัง “องค์ชายทรงยินยอมช่วยหม่อมฉันจริงๆ นะเพคะ” เฟยหลิงพยายามแกะมือเรียวนุ่มที่สร้างความปั่นป่วนกับผิวเนื้อบริเวณนั้น คล้ายร้อนคล้ายเย็นให้หลุดออก แต่ไม่ว่าจะทำยังไงอีกฝ่ายก็เกาะแน่นไม่ยอมปล่อย จึงได้แต่ผ่อนลมหายใจเข้าออกเนิบช้า เสียงที่ถามขึ้นอีกครั้งเพิ่มความดุดันลงไปอีกหลายส่วน “เจ้าต้องการอะไรก็บอกมา ขอแค่ยอมปิดปากเรื่องความลับ ข้าจะยอมช่วยเจ้า” “องค์ชายตรัสแล้วห้ามคืนคำนะเพคะ” จู่ๆ สตรีแข็งกร้าวก็เปลี่ยนเป็นนุ่มนวลอ้อนวอนเช่นนี้ ทำให้รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา “ว่ามาเถอะ” ครั้นได้ยินน้ำเสียงยินยอมเป็นมั่นเหมาะ ลู่เพ่ยก็ยอมวางมือจากล่ำแขนล่ำสัน แม้จะเสียดายบ้างแต่ก็นั่นแหละ ตอนนี้นางต้องวางตัวเป็นคุณหนูในห้องหับที่น่าสงสาร และเพื่อหลีกเลี่ยงจากแท่งสาธารณะน่ารังเกียจนั่น นางก็ต้องทำให้องค์ชายหกตกปากรับคำช่วยนางให้ได้ เงียบไปครู่หนึ่ง ใบหน้าที่เคยสดใสเมื่อครู่ก็พลันซีดถนัดลง น้ำเสียงแผ่วเบาแฝงไปด้วยความเจ็บปวดพลันดังขึ้น “หลายปีมานี้ หม่อมฉันอาศัยอยู่ในจวนตระกูลลู่อย่างลำบากนัก บิดาไม่รัก มารดาจากไปตั้งแต่หม่อมฉันอายุยังน้อย ตำแหน่งบุตรสาวคนรองแห่งจวนเสนาบดีใหญ่ก็เป็นเพียงชื่อจอมปลอมเท่านั้น สามเวลาหลังอาหารหม่อมฉันต้องถูกฮูหยินใหญ่ ฮูหยินสามทำร้าย ถูกคนรับใช้แย่งของกินของใช้ แม้แต่พี่ใหญ่กับน้องสามก็ทำให้หม่อมฉันลำบาก ตอนนี้พี่ใหญ่อยู่ในรั้ววังเป็นพระสนมขั้นเฟย เพราะท่านพ่ออยากกุมอำนาจมากขึ้นก็เลยคิดส่งบุตรสาวอีกคนเข้าไปอยู่ในวัง เดิมทีคนที่ถูกเลือกก็คือน้องสาม ทว่าไม่รู้ฮูหยินใหญ่ไปพูดอะไร เพียงแค่คืนเดียว คนที่ต้องเข้าวังกลับกลายเป็นหม่อมฉัน” “เจ้าไม่อยากเข้าวังหรือ” “ไม่เพคะ” ดวงตาดำเข้มของเฟยหลิงหรี่ลงน้อยๆ เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตอบตรงๆ เช่นนี้ “ด้วยอำนาจของเสนาบดีลู่ ข้าเชื่อว่าเพียงเจ้าเข้าวัง ไม่ถึงหนึ่งปีคงจะครอบครองตำแหน่งขั้นเฟยเหมือนพี่สาวเจ้าได้ ถึงเวลานั้นเจ้าจะมีอำนาจวาสนาเรียกลมเรียกฝนได้ตามใจ และเมื่อใดที่เจ้าปีนป่ายจนได้กุมอำนาจเหนือพี่สาวเจ้า คราวนี้เจ้าจะจัดการคนที่รังแกเจ้าอย่างไรก็ได้ ข้าว่าเจ้าน่าจะเข้าวัง ไม่เห็นต้องคิดการใดให้วุ่นวายเลย” อีตานี่! ถ้าข้าคือลู่เพ่ยคนเดิมก็คงจะโง่เข้าวังแล้วตายไปในตำหนักเย็นแล้ว แต่นี่คือข้าไง ข้าที่ไม่ใช่คนในโลกนี้ไง แล้วก็รู้ดีรู้ซึ้งว่าใครจะได้เป็นองค์ฮ่องเต้ ข้าก็เลยมาหาท่านไง แล้วจะให้ข้าเปลี่ยนใจเข้าวังเนี่ยนะ ฝันไปเถอะ! ถึงในใจจะคิดแบบนั้น แต่คำพูดกลับเป็นอีกอย่าง “หม่อมฉันไม่อยากเข้าวังเพคะ หม่อมฉันอยากเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งของบุรุษคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ต้องการอำนาจวาสนาใดๆ ต้องการแค่ใช้ชีวิตดังสามีภรรยากับบุรุษที่รักหม่อมฉันเท่านั้น หม่อมฉันปรารถนาเพียงสิ่งง่ายๆ แค่นี้ องค์ชายได้โปรดทำให้ความปรารถนาของหม่อมฉันเป็นจริงด้วยนะเพคะ” เฟยหลิงใช้เพียงชั่วอึดใจในการสำรวจท่าทีของคนตรงหน้า เห็นนางไม่มีท่าทีโกหกก็ได้แต่ยิ้มถาม “ถ้าข้ายื่นมือเข้าช่วย แล้วเจ้าจะตอบแทนข้าอย่างไร” ลู่เพ่ยประสานสบสายตาด้วยความเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่น “หม่อมฉันจะช่วยให้องค์ชายได้ปกป้องแคว้นเฟยเทียนให้คงอยู่สืบไป ตราบใดที่องค์ชายยังมีชีวิตอยู่ แคว้นเจียน- หลัน แคว้นหยางสือ แคว้นหลิ่งซาน หรือแม้แต่แคว้น ซือสือก็อย่าได้คิดกล้ำกรายเหยียบแผ่นดินนี้เด็ดขาด” “เจ้า!” “ถ้าองค์ชายช่วยให้หม่อมฉันหลุดพ้นจากอำนาจของตระกูลลู่ได้ หม่อมฉันจะมีของขวัญให้องค์ชาย รับรองว่าเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ที่ต่อให้องค์ชายทุ่มทั้งชีวิตก็ไม่มีวันเสาะแสวงหาได้จากที่อื่น” นางเอ่ยแค่นั้นก็หยัดกายขึ้น ท่าทางเป็นรองเมื่อครู่ไม่มีปรากฏ เชิดหน้าลำคอตั้งตรงองอาจราวกับทหารกล้าที่ผ่านสนามรบมานักต่อนัก ไม่กี่วินาทีก็ออกคำสั่ง “รบกวนองค์ชายส่งหม่อมฉันกับคนสนิทกลับเรือนด้วยเพคะ และเมื่อใดที่องค์ชายทำสำเร็จ เราค่อยมาพูดเรื่องนี้กัน” เฟยหลิงได้แต่มองสตรีนางหนึ่งที่เดินผ่านหน้าเขาออกไปยังประตูโดยที่ไม่หันกลับมามองเลยสักนิด เขาจึงทำได้เพียงจับจ้องแผ่นหลังตั้งตระหง่านดังภูเขาของนางตาไม่วาง สุดท้ายก็ต้องโบกมือให้ซือโฉวส่งนางกับคนรับใช้กลับ ขณะที่เขาได้แต่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม มองภาพของนางที่มีให้เห็นเพียงเลือนราง ชาถ้วยนั้นยังคงมีร่องรอยกรุ่นร้อน สุดท้ายเขาก็หยิบถ้วยชาของนางขึ้นมา หมุนมันรอบหนึ่งแล้วทาบริมฝีปากลงทับร่องรอยเดิมที่นางทิ้งไว้ เห็นทีอาการป่วยเรื้อรังสามปี คงต้องหายเสียแล้ว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม