กลับเข้ามาในห้องขายความลับอีกครั้ง ซือโฉวก็ได้แต่ทำตาปริบๆ มองห้องเปล่าโล่งที่ไร้เงาของผู้เป็นนาย ดังนั้นจึงทำเพียงก้าวเข้าไปในช่องทางลับเพื่อกลับสู่ตำหนักเหอฮวา เข้ามาในห้องหนังสือแล้วคิ้วดำเข้มก็พลันขยับเข้าหากัน เพราะตอนนี้ผู้เป็นนายที่เคยนิ่งสงบทำตัวไร้คลื่นลมอยู่เป็นนิจกำลังเดินไปหยุดอยู่ริมหน้าต่างบานใหญ่ ทอดสายตาไปไกลคล้ายหลงอยู่ในภวังค์ความคิดที่ต่อให้เขาอยากจะรู้แค่ไหน แต่เมื่อผู้เป็นนายไม่เอ่ยปากก็ทำได้เพียงยืนนิ่งรออย่างใจเย็น
จวบจนเวลาผ่านพ้นยามซวีเข้าไปแล้ว องค์ชายก็ยังไม่ขยับออกจากริมหน้าต่าง ทำให้ซือโฉวผู้ขี้เล่นมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าอยู่เสมอถึงกับยิ้มไม่ออก ภายในใจคล้ายกับถูกพายุโหมกระหน่ำ ยิ่งผู้เป็นนายนิ่งเท่าไร รอบด้านก็ยิ่งน่ากลัว จนในที่สุดก็อดเอ่ยปากขึ้นมาไม่ได้
“นี่ก็จะเข้ายามจื่อแล้ว องค์ชายทรงพักผ่อนเถิด”
ได้ยินเพียงเสียงทอดถอนใจกลับมา เฟยหลิงหลับตาลงอีกครั้ง แล้วสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบยิ่ง “ไปตามท่านตาเซินมา”
“องค์ชาย...” ซือโฉวเรียกได้เพียงเท่านั้นก็ต้องหุบปากและหมุนตัวจากไป ในดวงตาพลันทอประกายแปลกใจออกมาวูบหนึ่ง เพราะครึ่งปีมานี้ องค์ชายไม่เคยเรียกให้ท่านตาเซิน หรือ เซินโฮ่ว ตาเฒ่าสารพัดพิษและก็ยังเป็นหมอชื่อดังอันดับหนึ่งอีกด้วย ทั้งแคว้นนี้ไม่ว่าจะมีฝีมือมากน้อยแค่ไหนก็เทียบตาเฒ่าเซินไม่ได้สักเสี้ยวเดียว สิบปีก่อนตาเฒ่าเซินมีลูกศิษย์ลูกหาคบค้าสมาคมมากมาย ทว่านับตั้งแต่องค์ชายหกล้มป่วยก็หายตัวไป ไม่มีใครรู้หรอกว่า เซินโฮ่วผู้นี้เก็บตัวอยู่ในตำหนักเหอฮวา เพาะปลูกสมุนไพรและก็ศึกษาพิษหลากหลายชนิด ส่วนมากแล้วองครักษ์ในจวนจะไม่ค่อยได้เฉียดใกล้ในสวนต้องห้ามนัก เพราะเข้าไปทีไรต่อให้ไม่ตายก็ไม่อาจอยู่เป็นผู้คน แถมตาเฒ่าเซินไม่เคยฟังคำสั่งใคร ใช้ชีวิตได้ตามใจตัวเองยิ่ง ต่อให้เป็นองค์ฮ่องเต้ก็ยังไม่สามารถเรียกเข้าวังไปรักษาได้ มีเพียงแต่ องค์ชายหกที่ตาเฒ่าเซินรักยิ่งเท่านั้นถึงสามารถเรียกหาได้ตลอดเวลา
“ท่านผู้เฒ่า”
ซือโฉวมาโค้งตัวคำนับอยู่หน้าประตูไม้ ลักลอบทอดสายตามองกำแพงหินสูงตระหง่านที่แบ่งตำหนักเหอฮวาออกเป็นสองฝั่งด้วยความระแวดระวัง ใครจะไปรู้ว่าตาเฒ่านั่นจะวางพิษไว้กับตำแหน่งใด โดยเฉพาะเถาวัลย์ที่เลื้อยเกาะตามกำแพงเหล่านี้มันน่ากลัวจะตาย ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นหนอนสีรุ้งไต่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด ถ้าไปถูกมันกัดเข้ามีแต่ตายกับตาย เขาจึงค่อนข้างระมัดระวังไม่เข้าใกล้ ได้แต่ส่งเสียงเรียกและทำตัวอ่อนน้อมสุภาพ
“ท่านผู้เฒ่าขอรับ องค์ชายให้เชิญท่านที่ห้องหนังสือขอรับ”
มีเพียงเสียงลมพัดหวีดหวิวตอบกลับมา ฉับพลันองครักษ์หนุ่มก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบกายช่างเยียบเย็นนัก จึงได้แต่กลั้นหายใจรอคอยอย่างสงบ เพราะจากประสบการณ์นั้นอีกไม่กี่อึดใจตาเฒ่าก็จะปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว และก็เป็นจริงดังคาด เมื่อเสียงหัวเราะบ้าคลั่งมาพร้อมกับลมแรงอีกระลอก ตรงหน้าของซือโฉวพลันปรากฏชายสูงวัย ผมเผ้ารกรุงรัง เคราขาวยาวจรดแผ่นอก มาถึงก็ฉีกยิ้มเอียงคอท่าทางดูเป็นกันเองยิ่ง ทว่าความจริงแล้วนั้นซ่อนสารพัดพิษไว้ภายใต้หน้ากากอารมณ์ดี ถ้าเขาทำผิดพลาดเพียงนิด ต่อให้องค์ชายยื่นมือเข้าช่วยก็ยังยากจะมีชีวิตรอด
“ท่านผู้เฒ่าขอรับ” น้ำเสียงขององครักษ์หนุ่มฉายแววประจบอยู่หลายส่วน “ท่านผู้เฒ่าได้โปรดไปพบ องค์ชายของบ่าวสักหน่อยเถิด ถ้าท่านผู้เฒ่าไม่ไป หัวบ่าวขาดแน่ขอรับ”
ตาเฒ่าเซินโฮ่วลูบคาง ดวงตาที่มีเส้นลึกยับย่นนั้นหรี่ลงน้อยๆ “ถ้าข้าไม่ไป เจ้าบ้าหลิงจะกุดหัวเจ้าจริงๆ รึ”
“จริงแท้แน่นอนขอรับ”
“ถ้าเจ้าบ้าหลิงอยากให้ตาย ก็ตายไปซะ”
“ท่านผู้เฒ่า”
ซือโฉวอยากจะร้องไห้ สุดท้ายน้ำตาของลูกผู้ชายที่ไม่เคยไหลรินเลยสักครั้งก็ทะลักล้นออกมาราวกับทำนบแตก ทำเอาตาเฒ่าเซินโฮ่วต้องอุดหูเพราะรำคาญยิ่ง สุดท้ายก็ได้แต่ยกมือยอมแพ้
“พอๆ ข้าไปพบเจ้าบ้าหลิงก็ได้ เสียงร้องของเจ้าโหยหวนยิ่งกว่าเจ้าซุนของข้าเสียอีก”
“เจ้าซุน...” องครักษ์หนุ่มทำตาปริบๆ แปลกใจ “เจ้าซุนนี่คือ...”
“หนูไง หนูสารพัดพิษของข้า เวลาที่ข้ากรอกพิษให้มันทีหนึ่ง มันก็ร้องเหมือนเจ้านี่แหละ”
ซือโฉวอ้าปากค้าง พูดไม่ออกเลยสักคำ สุดท้ายก็ได้แต่ก้มหน้าเดินตามหลังท่านผู้เฒ่า พลางตัดพ้อว่า ท่านผู้เฒ่าช่างร้ายกาจนัก เอาเขาไปเปรียบกับหนูได้เช่นไร เขาคือองครักษ์สุดยอดฝีมือ ผู้มีหน้าที่ปกป้ององค์ชายหกแห่งราชวงศ์เชียวนะ สุดท้ายแม้แต่หนูตัวหนึ่งก็ยังสู้ไม่ได้เลย ทำแบบนี้อยากให้เขากระอักเลือดตายหรืออย่างไร
ไม่ว่าซือโฉวจะผิดหวังแค่ไหน เสียอกเสียใจแค่ไหน ก็ได้แต่เก็บงำความรู้สึกไว้ มาถึงห้องหนังสือของผู้เป็นนายก็ยังต้องเชื้อเชิญตาเฒ่าเซินด้วยท่าทางเคารพนบนอบยิ่ง
บานประตูห้องหนังสือปิดลง แสงเทียนพลันทาบทอสว่างไสวไปทั่วทั้งห้อง ไข่มุกราตรีตามผนังส่องสว่างยิ่งกว่าเคย ทำให้ในห้องหนังสือเวลานี้มีบรรยากาศไม่ต่างจากยามกลางวันเลยสักนิด บุรุษสูงสง่าองอาจผู้หนึ่งยังคงยืนอยู่ริมหน้าต่าง สายตากวาดมองไปยังแผ่นฟ้าดำทะมึนมืดมิดไร้ดาว พอได้ยินความเคลื่อนไหวก็หันมาแล้วโค้งตัวอย่างสุภาพ
“ท่านตา...”
หางตาของตาเฒ่าเซินกระตุกเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าบ้าหลิงคนนี้เรียกว่าท่านตาน้อยนัก พอเอ่ยปากเรียกทีไรก็มีเรื่องให้ปวดหัวทุกที จึงได้แต่โบกมือไปมาคล้ายห้ามปราม คล้ายหวาดกลัว แถมยังขยับเท้าห่างไปหลายก้าว
“ไม่เอาน่า เจ้าบ้าหลิงอย่าเรียกข้าแบบนั้น”
“ท่านตา” เฟยหลิงยกยิ้มเรียก หูตาดูออดอ้อนขึ้นหลายส่วน เขากำลังแปลงร่างเป็นเด็กน้อยวัยสามขวบที่อยากจะประจบประแจงผู้อาวุโส ท่าทางของเขาทำเอาสีหน้าของตาเฒ่าเซินประหลาดขึ้น ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่หยุดแสดงท่าที “ท่านตาช่วยหลานอีกสักครั้งเถิด”
ตาเฒ่าเซินทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ รินน้ำชาขึ้นดื่ม พริบตาหลังจากนั้นก็ไม่มีแววขี้เล่นปรากฏให้เห็นอีก “เอาล่ะ เลิกทำหน้าแบบนั้นสักที อยากให้ข้าช่วยอะไรก็บอกมาเถิด”
ร่างสูงสง่าขององค์ชายหกจึงขยับมายืนอยู่เบื้องหน้า โค้งคำนับให้ ปกติแล้วคนที่เขาให้ความเคารพมีน้อยนัก นอกจากเสด็จพ่อกับเสด็จแม่แล้วเขาก็ไม่เคยก้มหัวให้ใคร ต่อให้เป็นองค์รัชทายาทก็ทำเพียงพยักหน้าทักทายเล็กน้อย หาได้มีความยำเกรงใครแม้แต่เสี้ยวเดียว แต่สำหรับท่านตาของเขาผู้นี้เป็นข้อยกเว้น เพราะถ้าไม่มีท่านตาเกรงว่าชีวิตนี้คงรักษาเอาไว้ไม่ได้นานแล้ว
เมื่อตาเฒ่าเซินโบกมือเฟยหลิงก็ได้แต่ยืดตัวขึ้นตรง สีหน้าและแววตาฉายแววหนักแน่นและมุ่งมั่นยิ่ง “สามปีมานี้ หลานป่วยหนักยากต่อการรักษาให้มีชีวิตรอด เห็นทีท่านตาคงต้องออกหน้ารักษาอาการของหลานแล้ว”
“เจ้าอยากหายป่วยรึ ถ้าเจ้าหายป่วย ตำหนักของเจ้าคงครึกครื้นนัก ผู้นั่งตำหนักห่มใจ ไอ้บ้ารัชทายาท ไอ้ขุนนางเสนาบดีทั้งหลาย หรือแม้แต่องค์หญิงใหญ่คงได้ส่งมือสังหารมาเยี่ยมเยือนเจ้าไม่ได้ขาดแน่”
“ในเมื่อหลบไม่ได้ เห็นทีก็มีแค่เพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะหลานไม่ใช่เฟยหลิงที่ใครอยากฆ่าก็ฆ่าได้อีกแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่ง”
“อะไรหรือขอรับ”
ตาเฒ่าเซินยกยิ้มน้อยๆ แล้วกวักมือเรียกหลานชายให้ขยับมาใกล้ ก่อนจะกระซิบบอกในสิ่งที่ต้องการ พอเหลือบเห็นสีหน้าซีดถนัดลงของผู้เป็นหลานแล้ว ตาเฒ่าก็ระเบิดเสียงหัวเราะลั่น เดินจากไปด้วยรอยยิ้มแย้ม ทำเอาซือโฉวซึ่งปรากฏตัวให้หลังต้องหรี่ตามองท่าทางของ องค์ชายหกด้วยความสงสัยใคร่รู้
“ท่านผู้เฒ่าต้องการอะไรเป็นข้อแลกเปลี่ยนหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เฟยหลิงถอนหายใจทิ้งยาวๆ ขยับมือข้างหนึ่งนวดคลึงขมับอย่างที่ไม่ค่อยจะทำบ่อยนัก เขายังนึกไม่ออกเลยว่าตาเฒ่าเซินรู้เรื่องนั้นได้เช่นไร แล้วทำไมถึงเจาะจงต้องเป็นเลือดที่กลั่นจากอกของผู้หญิงคนนั้นด้วย แต่ในเมื่อนั่นคือข้อแลกเปลี่ยนที่ตาเฒ่าต้องการ เห็นทีคงต้องแวะไปเยี่ยมเยือนคุณหนูรองแห่งจวนเสนาบดีลู่ดูสักครั้งแล้ว อยากรู้นักว่านางมีดีอะไร เหตุใดเลือดของนางถึงได้สำคัญต่อตาเฒ่านัก
“เตรียมตัวไปเรือนใจสงบ” น้ำเสียงทุ้มต่ำของ องค์ชายดังขึ้น ทำเอาองครักษ์หนุ่มต้องหรี่ตาลง
“ที่นั่นมัน...”
“จวนเสนาบดีลู่ ข้าไม่ได้แวะไปนานแล้ว”
“องค์ชายเสด็จที่นั่นไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ หลายปีมานี้ตาเฒ่าลู่วางกำลังไว้รอบจวนหนาแน่นนัก ถ้าเกิดองค์ชายบุกเข้าไปแล้วถูกจับตัวได้ เรื่องอาการป่วยขององค์ชายก็คงไม่เป็นความลับอีกต่อไป ถ้าฮ่องเต้ทรงทราบเข้า ด้วยข้อหาหลอกลวงเบื้องสูงที่หลายคนพร้อมจะโยนใส่ บ่าวเกรงว่าจะนำภัยใหญ่หลวงมาได้”
เฟยหลิงคิดตาม แต่สุดท้ายก็ยิ้มน้อยๆ แล้วโบกมือ
“ไม่เอาน่า ข้าก็แค่อยากแวะไปดูสาวน้อยใจกล้าคนนั้นเพียงชั่วครู่ชั่วยาม”
“องค์ชาย...”
“ไปเตรียมตัว!”
ได้ยินรับสั่งห้าวเข้มแล้วซือโฉวก็หมุนกายออกไปทันที โดยไม่กล้าเอ่ยปากทักท้วงอีก ในเมื่อองค์ชายอยากเสด็จ ก็ทำได้เพียงให้องค์ชายเดินทางไปที่นั่นได้อย่างแคล้วคลาดและปลอดภัยเท่านั้น หวังแค่เพียงว่าองค์ชายไปในครั้งนี้จะได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ ส่วน องค์ชายจะพึงพอใจเรื่องใดนั้นเขาไม่อาจหาญกล้าคิดแทน
หลังจากนั้นสามราตรี กลางดึกสงัดของคืนมืดทะมึนนั้น พลันปรากฏเงาดำกลุ่มหนึ่ง ไปมาไร้ร่องรอย กองกำลังรักษาจวนเสนาบดีลู่นับร้อยชีวิต รับรู้ได้เพียงลมเย็นสายหนึ่งที่พัดผ่านเนื้อตัวของพวกเขาไปเท่านั้น พอเหลียวมองไปรอบๆ กลับพบเพียงความเงียบสงบของยามค่ำคืนที่มีดาวเพียงไม่กี่ดวงส่องสว่าง