บทที่ ๘ ความเคลื่อนไหว

1769 คำ
ตำหนักม่อหลัน ช่างสมชื่อยิ่งนัก กลิ่นกล้วยไม้อบอวลไปทั่ว ทุกจุดประดับด้วยกล้วยไม้หลากหลายสีสัน แม้บรรยากาศโดยรอบตำหนักจะสดชื่น ผ่อนคลาย งดงามยิ่ง ทว่าเจ้าของตำหนักกำลังนั่งหน้าขรึมอยู่ภายในห้องหนังสือชั้นใน เหล่าองครักษ์สายสืบหลายนายถวายรายงานความเคลื่อนไหวของคนที่เจ้านายสั่งจับตามอง ด้านข้างมีขันทีผู้รับใช้ใกล้ชิดนามเหวินกงกงยืนสงบนิ่งราวกับท่อนไม้ เงาดำสายหนึ่งคุกเข่าถัดจากองครักษ์ที่นั่งอยู่ก่อน “อัครเสนาบดีหลิ่นอินเหอไม่มีความเคลื่อนไหวพ่ะย่ะค่ะ” “ท่านอ๋องเถาประจำชายแดนเหนือยังคงรักษาท่าทีสงบ ไร้ความเคลื่อนไหวพ่ะย่ะค่ะ” “เสนาบดีลู่กำลังจัดการเรื่องส่งตัวบุตรสาวเข้าวังพ่ะย่ะค่ะ” ข้อมือที่ตวัดพู่กันนั้นชะงักไปเล็กน้อย เฟยหลงหรือองค์รัชทายาท ผู้ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้เหลือบมองคนรายงานเพียงเล็กน้อย “ตาเฒ่าลู่มีบุตรสาวคนโตเป็นถึงสนมซูเฟย ข้าได้ยินมาว่าเสด็จพ่อทรงโปรดปรานนางยิ่งนัก ไม่คิดเลยว่าตาเฒ่านั่นจะไม่รู้จักพอ ยังคิดส่งบุตรสาวอีกคนเข้าไปปรนนิบัติเสด็จพ่ออีก ไหนลองบอกมาหน่อยซิ ว่าตาเฒ่านั่นคิดจะขายบุตรีคนไหน” “มีข่าวออกมาว่าเป็นคุณหนูสามพ่ะย่ะค่ะ” “คุณหนูสาม” คิ้วเรียวดุจกระบี่ของเฟยหลงขมวดเข้าหากันเพียงเล็กน้อย แล้วยิ้มพูด “ตาเฒ่านั้นช่างเป็นบิดาที่ถนอมบุตรสาวนัก ไม่คาดคิดว่าจะส่งบุตรีที่มีสายเลือดเดียวกันเข้าไปรับใช้เสด็จพ่อได้” “หรือองค์รัชทายาทคิดว่า...” เหวินกงกงหรี่ตาลง “ถ้าตาเฒ่าลู่สามารถตัดใจส่งคุณหนูสามเข้าไปได้ เห็นทีข้าคงต้องนับถือแล้ว” หลังจากนั้นเฟยหลงก็โบกมือแล้วปล่อยให้คนต่อไปรายงาน “ตำหนักเหอฮวามีความเคลื่อนไหวพ่ะย่ะค่ะ” “ตำหนักเหอฮวา...” เฟยหลงเงียบไปครู่หนึ่งก็จำได้ ตำหนักแห่งนี้เสด็จพ่อยกให้น้องหกผู้มีความสามารถ แต่น่าเสียดายหลายปีมานี้น้องชายต่างมารดาของเขาป่วยหนักเสียจนขยับตัวลงจากเตียงไม่ได้ จู่ๆ ก็มีความเคลื่อนไหวทำให้อดประหลาดใจไม่ได้จริงๆ “น้องหกของข้ากำลังทำอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ” “มีข่าวออกมาว่า ร่างกายขององค์ชายหกจวนเจียนจะรักษาไม่ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” “น้องหกของข้าคนนี้ใกล้ตายแล้ว ช่างน่าเสียดายจริงๆ” มุมปากของเฟยหลงกระตุกเล็กน้อย “แต่ถ้าน้องหกตายง่ายดายขนาดนั้น ข้าก็อดตกใจไม่ได้ ไหนๆ น้องหกก็อุตส่าห์นอนติดเตียงมาเป็นเวลาสามปี ไม่ตายตั้งแต่สามปีก่อน จะมาตายเอาตอนนี้มันไม่ง่ายไปหน่อยหรืออย่างไร” เขาไม่พูดอะไรอีก โบกมือฟังรายงานจากคนต่อไป “เจ้าของตำหนักฝูหรงที่เป็นแม่ทัพอยู่ชายแดนตะวันตกของแคว้นหลิ่งซาน ยังคงรักษาการไว้อย่างเข้มแข็ง แม้จะถูกกองกำลังจากต่างแคว้นบุกเข้ามารุกราน แต่องค์ชายเจ็ดก็ยังทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม พระองค์ได้รับการยกย่องจากเหล่าทหารพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้หมิงชิงตี้มีพระธิดาหนึ่งองค์ มีองค์ชายทั้งหมดเก้าองค์ ตอนนี้องค์ชายสาม องค์ชายสี่ และ องค์ชายแปดล้วนตายไปหมดแล้ว ส่วนองค์ชายห้าหายสาบสูญไปเมื่อสิบปีก่อน ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย แต่คนพวกนี้ไร้ความหมายและก็ไม่มีแก่ใจที่เฟยหลงจะนึกถึง น้องๆ ของเขาตายไปก็ได้ฟังคำรายงานน้อยลงก็เท่านั้นเอง “น้องเจ็ดของข้าเก่งกาจนัก” แม้ปากจะเอ่ยชมแต่นัยน์ตากลับปรากฏแววเยียบเย็นขึ้น “ทางด้านตำหนักเถาฮวายังคงเคลื่อนไหวเหมือนเดิม เช้าจรดค่ำองค์ชายเก้าดื่มด่ำกับดนตรี ทอดพระเนตรสาวงามร่ายรำ” “น้องเก้าของข้าช่างใช้ชีวิตได้สำราญยิ่ง” เฟยหลงยังคงยิ้ม แต่รอยยิ้มครั้งนี้กลับเต็มไปด้วยความเหยียดหยามและดูแคลน คนพวกนี้ก็แค่ใช้ชีวิตอย่างที่เขาอยากเห็นเท่านั้น เบื้องลึกเบื้องหลังยังมีอีกมากมาย ฉะนั้นเปลือกนอกพวกนี้เอาไว้หลอกคนอื่นเถอะ เขาจะยอมหลับตาข้างลืมตาข้าง อดทนรับรู้รับฟังในสิ่งที่คนพวกนี้แสดงออก แต่ถ้าเมื่อไรที่มีใครยื่นแข้งยื่นขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการขึ้นครองราชย์บัลลังก์ละก็ เขาจะกุดหัวพวกมันไม่เว้นไว้แม้แต่ชีวิตเดียว โบกมืออีกครั้ง เหล่าองครักษ์สายสืบก็หายไป มีเพียงเหวินกงกงที่ยืนนิ่งสงบรอรับคำสั่ง “จับตาดูเจ้าของตำหนักเหอฮวาเอาไว้ น้องหกของข้าเงียบหายไปสามปี กลับมาครั้งนี้คงลงมือแน่” “บ่าวจะไม่ทำให้พระองค์ต้องผิดหวัง” “ในตำหนักของเสด็จพ่อเป็นอย่างไรบ้าง” “องค์ฮ่องเต้ยังคงสะสางราชกิจ อ่านฎีกา มีบางครั้งที่เรียกสนมนางในมาปรนนิบัติ” “ส่วนมากเสด็จพ่อเรียกใช้ใคร” “ยังคงเป็นพระสนมเสียนเฟยแห่งตำหนักสราญใจพ่ะย่ะค่ะ ส่วนพระสนมซูเฟยแห่งตำหนักห่มรักถูกเรียกใช้เป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น” “แล้วตำหนักของเสด็จแม่เล่า” เหวินกงกงเงียบไป เมื่อได้รับสายตาดุดันฉายแววน่าสะพรึงกลัวจึงรีบคุกเข่ารายงานเสียงสั่น “หนึ่งเดือนมานี้ ฝ่าบาทไม่เคยเสด็จตำหนักห่มใจเลยพ่ะย่ะค่ะ” “ดี ดี เสด็จพ่อของข้าช่างถนอมน้ำใจเสด็จแม่ยิ่งนัก” กงกงรับใช้ใกล้ชิดถึงกับไม่กล้าสูดหายใจแรง ทำได้เพียงนิ่งเงียบเพื่อรอให้องค์รัชทายาทพระทัยเย็นลงเท่านั้น แต่ดูเหมือนความขุ่นเคืองที่องค์รัชทายาททรงมีต่อฮ่องเต้นั้นไม่ได้ลดน้อยถอยลงเลย สิบปีมานี้กลับยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเป็นสิบเป็นร้อยเท่าตัว จวนเสนาบดีลู่ เรือนมั่งคั่ง นี่ก็ย่างเข้าสามราตรีแล้วที่ฮูหยินใหญ่จิวเลี่ยนเข้ามาหว่านล้อมคนเป็นสามี นับตั้งแต่คืนนั้นที่นางเสนอให้ท่านพี่เปลี่ยนตัวบุตรสาวเข้าวังจากคุณหนูสามเลือดเนื้อเชื้อไขของนางให้เป็นคุณหนูรอง บุตรสาวของหญิงชั้นต่ำ แต่ถึงแม้พยายามโหมกระจายข่าวในเรือนว่าท่านพี่เปลี่ยนใจส่งนังเด็กลู่เพ่ยไปจริงๆ ทว่าก็ยังไม่ได้ยินคำรับปากเป็นมั่นเหมาะจากสามีเลย “ท่านพี่...ตกลงเถอะเจ้าค่ะ ถือว่าน้องขอร้อง” “หลายปีมานี้ ข้าไม่ได้ดูแลอบรบสั่งสอนลู่เพ่ยให้ดี แล้วนางจะสามารถทำประโยชน์อันใดให้ข้าได้ สงสัยว่าเข้าไปอยู่ในวังยังไม่ทันข้ามคืนคงต้องอาญาของฝ่าบาทเป็นแน่ ถึงเวลานั้นพวกเราก็อาจถูกบัญชาสวรรค์ให้กุดหัวทั้งตระกูล” “เรายังมีเวลาอีกนับเดือนในการอบรมสั่งสอนนางไม่ใช่หรือเจ้าคะ น้องจะขอให้พระสนมซูเฟยส่งนางกำนัลมีฝีมือมาอบรมคุณหนูรองเอง ขอแค่ท่านพี่รับปาก น้องจะไม่ทำให้ท่านพี่ลำบากแน่นอนเจ้าค่ะ แต่ถ้าหากท่านพี่ยังคงยืนกรานจะส่งเอินเอ๋อเข้าวังให้ได้ล่ะก็ เห็นทีน้องก็ต้องเข้าวังไปขอร้องพระสนมซูเฟยสักครั้งแล้ว” “เจ้า!” พูดคุยเรื่องนี้กับฮูหยินทีไร เสนาบดีลู่เหลียนก็ต้องบีบขมับทุกที เห็นท่าทีคล้ายอ่อนลงของคนเป็นสามีเช่นนั้น ฮูหยินใหญ่ก็พลันคลานเข่าเข้าไปหา “ได้โปรดรับปากน้องเถิดนะเจ้าคะ” เสนาบดีลู่หลับตาลง ครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดก็ยอมพยักหน้า “เอาเถอะ ในเมื่อการส่งเอินเอ๋อเข้าวังทำให้เจ้าเจ็บปวดใจนัก ข้าก็จะยอมส่งเพ่ยเอ๋อไปแทนก็แล้วกัน จำไว้ว่าระหว่างนี้เจ้าต้องอบรมนางให้ดี อย่าทำให้เสียชื่อจวนตระกูลลู่เด็ดขาด” “เจ้าค่ะท่านพี่” ค่ำคืนนั้นฮูหยินใหญ่จึงตุ๋นน้ำแกงไก่รับใช้ท่านเสนาบดีอยู่ทั้งคืน กลับมาถึงเรือนพำนักก็เป็นเวลายามเฉินแล้ว เข้ามาในเรือนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินไปเดินมา ท่าทางดูฮึดฮัดขัดใจยิ่ง พอเห็นว่าเป็นลูกสาวที่รักยิ่ง นางจึงโบกมือให้คนอื่นถอยไปแล้วรับชาจากเอินเอ๋อ เห็นใบหน้าเล็กๆ กับดวงตาใสซื่อนี่แล้วนางจะตัดใจส่งเข้าวังไปได้เช่นไรกัน “เอินเอ๋อมาหาแม่แต่เช้า เจ้ามีอะไรจะพูดกับแม่” “ลูกได้ยินว่าท่านแม่ไปพูดกับท่านพ่อเรื่องเข้าวัง ท่านพ่อว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ” “วางใจเถอะ ในเมื่อเจ้าไม่อยากเข้าวัง แม่ก็ย่อมไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง” “หมายความว่า...” “เอินเอ๋อของแม่ ต้องได้แต่งเป็นพระชายารองขององค์รัชทายาทแน่นอน” “ท่านแม่...” ลู่เอินเรียกได้เพียงเท่านั้นสองแก้มก็พลันซับสีระเรื่อ นับตั้งแต่งานเทศกาลหยวนเซียวเมื่อต้นปีก่อนนางก็ได้พบกับองค์รัชทายาทเป็นครั้งแรก เวลาที่พระองค์แย้มพระโอษฐ์ช่างตราตรึงอยู่ในหัวใจนัก แล้วอย่างนี้นางจะยอมเข้าวังไปเป็นสนมได้อย่างไรกัน ตำแหน่งที่นางอยากได้ความจริงแล้วนั้นคือตำแหน่งพระชายา แต่ในเมื่อมีคนครอบครองแล้วก็ทำได้เพียงยอมรับตำแหน่งรองลงมา ไม่ว่าสุดท้ายนางจะได้อยู่ตำแหน่งใด ขอแค่เป็นตำหนักขององค์รัชทายาทนางล้วนยินยอมทั้งนั้น บิดผ้าเช็ดหน้าด้วยความเขินอายแล้ว ลู่เอินก็ค่อยๆ เงยหน้ามอง “แล้วนังลู่เพ่ยจะยินยอมหรือเจ้าคะ” ริมฝีปากของฮูหยินใหญ่เหยียดยิ้มประหลาดออกมาแวบหนึ่ง “บุตรีจะแต่งงานก็ล้วนขึ้นอยู่กับบิดามารดาและแม่สื่อ นังเด็กเรือนใจสงบมีสิทธิ์อะไรไม่ยินยอมกัน ถ้ามันกล้าขัดคำสั่ง คนในเรือนนั้นคงต้องหลังขาดกันบ้างล่ะ” “จริงเจ้าค่ะท่านแม่” ลู่เอินคุกเข่าลงแล้วนวดแขนนวดขาให้ด้วยท่าทางประจบเอาใจ “พรุ่งนี้ท่านแม่ก็ประกาศให้คนทั้งจวนรู้เลยนะเจ้าคะ ลูกอยากเห็นหน้านังจิ้งจอกนั่นยิ่งนัก เมื่อต้นปีก่อนนางนั่นริอ่านชม้ายชายตามององค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์ ครานี้ต้องไปปรนนิบัติรับใช้องค์ฮ่องเต้ไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไร” “เจ้าก็อย่าได้พูดมากไป”คนเป็นแม่เอ่ยปราม “เรื่องแบบนี้เจ้าพูดได้แค่กับแม่เท่านั้น อย่าได้เอ่ยให้คนอื่นได้ยินเด็ดขาด” “ลูกทราบแล้ว” ถึงแม้ใบหน้าจะแสดงท่าทีสลดหดหู่ลง แต่ประกายตาของลู่เอินกลับเต้นระยิบระยับด้วยความร้ายกาจ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม