หญิงสาวสองคนนั่งกินอาหารมื้อนั้นด้วยกันอย่างมีความสุขไม่สนใจสายตาที่แอบมองมาเป็นระยะ กระทั่งอาการบนโต๊ะพร่องไปเยอะ หลิวยุ่นฉานก็หันไปสั่งขนมหวานมาอีกหลายกล่อง
ในช่วงเวลาเดียวกันที่ตำหนักบูรพา รัชทายาทกำลังยืนให้อาหารปลาที่สระน้ำใสก็ต้องหันไปสนใจหลิวฝานที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์
“เจ้าไม่ต้องแสดงออกมากขนาดนั้นก็ได้” หลี่ซู่เฟิงพูดขึ้นลอย ๆ จนหลิวฝานต้องรีบเก็บสีหน้า
“หม่อมฉันไม่ได้แสดงออกอะไรพ่ะย่ะค่ะ” แน่นอนว่าหลิวฝานไม่มีทางรู้ตัวเองว่าท่าทีเมื่อสักครู่นี้ถูกรัชทายาทอ่านออกหมดแล้ว
บุรุษองอาจยื่นชามใส่อาหารปลาให้นางกำนัลนำไปเก็บ จากนั้นก็มองหน้าสหายร่วมเรียน “เจ้าแน่ใจ...” หลิวฝานได้ยินรัชทายาทเอ่ยคำนี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
หลี่ซู่เฟิงหมุนเท้าหันหลังเดินไปตามทางเพื่อกลับเข้าด้านในของตำหนัก วันนี้เมื่อได้พบหน้าหลิวยุ่นฉานเขาก็ควบคุมการกระทำของตนไม่ได้หลายอย่าง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรกันแน่ถึงทำให้เกิดเหตุการณ์เหล่านั้นขึ้นมา ส่วนข่าวลือเรื่องที่คาดว่าจะให้คนปล่อยวันนี้ก็ชะลอเลื่อนออกไปก่อน ทางด้านหลิวฝานเดินตามหลังไปอย่างระมัดระวังและสังเกตเห็นว่าวันนี้องค์รัชทายาทอารมณ์ไม่ดีเท่าไรนัก
“เจ้าว่าข้าเลื่อนงานอภิเษกสมรสดีหรือไม่” เมื่อรัชทายาทเข้ามานั่งด้านในห้องทรงพระอักษรแล้วก็เอ่ยขึ้น ประโยคนี้ทำให้หลิวฝานเย็นวาบที่สันหลัง
“เลื่อนงานอภิเษกสมรสหรือพ่ะย่ะค่ะ” สายตาหลิวฝานเหลือบขึ้นมองใบหน้าสง่างามขององค์รัชทายาท ไม่ปกปิดแม้กระทั่งความตกใจในแววตานั้น
หลี่ซู่เฟิงนั่งนิ่งทำเพียงหยิบหมากตัวสีดำมาวางบนกระดานหยกที่ถูกแกะสลักมาอย่างดี หลิวฝานเริ่มร้อนรน “องค์ชายไม่พอใจหม่อมฉันหรือพ่ะย่ะค่ะ” เพราะคบหากันมานานเขาย่อมรู้นิสัยองค์รัชทายาทดี แต่ทว่าวันนี้กลับมองไม่ออกเลยสักนิดว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ ถ้าหากปล่อยให้หลิวยุ่นฉานถูกเลื่อนงานอภิเษกสมรสออกไปอีก ชื่อเสียงของนางจะด่างพร้อยไม่เป็นผลดีในภายหลังอย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้อย่างนั้นหลิวฝานจึงรีบคุกเข่าลงและอ้อนวอน
“ขอองค์ชายทรงทบทวนด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
บุรุษชะงักมือในขณะที่วางหมากสีขาวลงบนกระดานหมากอีกฝั่ง หมากกระดานนี้นับว่าเขาควบคุมด้วยตัวเอง “ดูแล้วคุณหนูใหญ่ไม่ได้อยากอภิเษกสมรสกับข้าสักเท่าไรนัก”
“ไม่จริงพ่ะย่ะค่ะ หรือต่อให้ฉานเอ๋อไม่อยากอภิเษกสมรสกับรัชทายาท นางก็ขัดราชโองการไม่ได้” หลิวฝานพูดด้วยสีหน้าตึงเครียดและจริงจัง หลี่ซู่เฟิงตวัดสายตามองด้วยความไม่พอพระทัย
“เจ้าว่าเรื่องนี้ข้าจะหาทางออกอย่างไรดี” แน่นอนว่าหลี่ซู่เฟิงนั้นกำลังพูดหยั่งเชิงสหาย แววตาคมเข้มจ้องเขม็งเข้าไปในดวงตาของหลิวฝาน สหายร่วมเรียนที่เขาไว้ใจมากที่สุด แต่วันนี้กลับได้กลิ่นบางอย่างที่ไม่น่าไว้วางใจระหว่างสองพี่น้องตระกูลหลิว ที่ไม่ได้มีสายเลือดเกี่ยวข้องกันเลยสักเพียงนิดเดียว
หลิวฝานขนลุกชัน เขารีบเก็บความคิดที่ไม่ดีซ่อนไว้ในจิตใจส่วนลึก “ถึงอย่างไรฉานเอ๋อก็เป็นน้องสาวคนเดียวของหม่อมฉัน หวังว่าองค์ชายจะทรงเมตตานาง” คุณชายตระกูลหลิวโขกศีรษะลงกับพื้นอย่างไม่กลัวเจ็บ ผิดที่เขาเผลอแสดงออกสิ่งที่ซ่อนไว้ในใจ องค์รัชทายาทไม่ใช่คนโง่เขลาแน่นอนว่าย่อมต้องมองออกแล้ว
หลี่ซู่เฟิงปัดหมากบนกระดานทิ้งแววตาเข้มขึ้น ถงอี้ที่ยืนอารักขาอยู่ด้านข้างสะดุ้งเล็กน้อย ไม่คาดคิดว่ารัชทายาทจะมีโทสะมากเช่นนี้
“เริ่มตั้งแต่เมื่อไร...” คนที่มีโทสะหลับตาลง เขาไม่ใช่คนที่จะแย่งสตรีของใคร ถ้าหากทั้งคู่ใจตรงกันย่อมต้องสนับสนุนและถอยออกมา
หลิวฝานส่ายหน้าไม่มีทางยอมรับ “หม่อมฉันไม่เคยคิดเกินเลยกับฉานเอ๋อมากไปกว่านี้ นางเป็นน้องสาวที่น่าสงสารเท่านั้น ขอองค์ชายโปรดอย่าคิดไปไกลพ่ะย่ะค่ะ” ถ้าหากว่าเรื่องนี้จะต้องโทษใคร เขาขอรับผิดไว้แต่เพียงผู้เดียว
“เจ้าคิดว่าข้าโง่งมหรือ” หลี่ซู่เฟิงไม่ใช่คนคำนวณอะไรผิดพลาด เพียงได้เห็นสายตาของหลิวฝานในร้านค้าก็มองออกแล้วว่าใจคนคิดไม่ซื่อ
“ไม่ใช่อย่างนั้นพ่ะย่ะค่ะ” แน่นอนว่ายิ่งพูดก็ยิ่งแย่ สถานการณ์ที่จะดีขึ้นกลับแย่ลงไปอีก หากหลิวฝานทำให้น้องสาวไม่ได้อภิเษกสมรสกับรัชทายาท นอกจากนางจะอับอายแล้ว บิดาคงไม่ปล่อยเขาไว้แน่
ถงอี้เห็นว่าวันนี้รัชทายาทดูแปลกไปจึงรีบห้ามปราม “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์เอ่ยขึ้น
หลี่ซู่เฟิงจึงหยุดคาดคั้นสหาย “ถ้าไม่ใช่ก็แล้วไป เจ้ากลับไปได้แล้ว” รัชทายาทลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องทรงพระอักษรไปในทันที เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันว่าเหตุใดต้องไม่พอใจเรื่องที่สหายอาจจะคิดไม่ซื่อกับน้องสาวที่ไม่ใช่สายเลือดเดียวกันคนนั้น
“ขอบพระทัยองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ” หลิวฝานค่อย ๆ ลุกขึ้น แล้วมองแผ่นหลังรัชทายาทที่ดูเหมือนว่าอยากทอดทิ้งตระกูลหลิวใจจะขาดแล้ว
“องค์ชายคิดจริงจังกับคุณหนูใหญ่แล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” ถงอี้เอ่ยถามหลังจากที่คุณชายตระกูลหลิวจากไปแล้ว
หลี่ซู่เฟิงที่นั่งจิบชาสงบอารมณ์อยู่ส่ายหน้า “ข้าไม่รู้”
องครักษ์ทำตาโตใส่รัชทายาททันทีเพราะสิ่งที่พระองค์แสดงออกมานั้นช่างตรงกันข้ามกับการกระทำยิ่งนัก “ทรงไม่รู้หรือพ่ะย่ะค่ะ แต่องค์ชายกริ้วคุณชายหลิวถึงขนาดนั้น”
“อย่าพูดมากน่า นางปล่อยข่าวออกมาหรือยัง” แน่นอนว่าเขารอให้นางโจมตีก่อนจะได้แก้ไขสถานการณ์ถูก
“ยังไม่มีวี่แววเลยพ่ะย่ะค่ะ” ถงอี้ตอบไปตามความจริง
ฝั่งหลิวยุ่นฉานหลังจากกินอาหารเที่ยงที่ภัตตาคารลู่เฉียวเสร็จก็สั่งขนมหวานกลับจวนอีกหลายกล่อง แล้วพาอาอิ๋งไปเดินเล่นซื้อของต่ออีกสักพักถึงได้นั่งรถม้ากลับจวนเสนาบดี ระหว่างทางก็พบเข้ากับพี่ใหญ่ที่มีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
“พี่ใหญ่ เหตุใดถึงมาเดินอยู่ตรงนี้เจ้าคะ” หลิวยุ่นฉานรับพี่ชายขึ้นรถม้าด้วยกัน แล้วแบ่งขนมให้เขากิน สีหน้าของนางนั้นดูร่าเริงผิดกับหลิวฝานที่ดูกลัดกลุ้มว้าวุ่นใจ
“ฉานเอ๋อ วันนี้เจ้าสนุกหรือไม่” หลิวฝานจำเป็นต้องเลิกคิดไม่ซื่อกับน้องสาว แม้ว่าจะยากเย็นแต่ก็ต้องทำให้ได้ สาเหตุก็เพราะอนาคตของตระกูลย่อมสำคัญมากกว่าความรักโง่เขลา
“สนุกมากเจ้าค่ะ ข้าซื้อของกลับมาหลายอย่างเลย” หลิวยุ่นฉานไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติของพี่ชาย จึงพูดด้วยสีหน้าสดใส
เมื่อร่ายยาวถึงกิจกรรมที่ได้ทำในวันนี้เสร็จสิ้น หลิวยุ่นฉานจึงหันมาถามพี่ชายด้วยแววตาใสซื่อ “เหตุใดวันนี้พี่ใหญ่ถึงรีบกลับนักเจ้าคะ”
หลิวฝานที่กำลังครุ่นคิดเรื่องอื่นอยู่ไม่ทันได้ฟังที่น้องสาวพูดเลยหันมามองด้วยสีหน้าตึงเครียด “เอ่อ...เจ้าพูดว่าอะไรนะ” และตอนนี้เองที่หลิวยุ่นฉานสังเกตเห็นความผิดปกติ
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” ความอึดอัดครอบคลุมเข้ามาจึงทำให้หลิวยุ่นฉานสงบปากสงบคำ
ไม่นานรถม้าก็เดินทางมาถึงและหยุดลงที่หน้าจวนเสนาบดีฝ่ายขวา อาอิ๋งจึงเลิกม่านขึ้นแล้วประคองคุณหนูให้เดินลงมา ส่วนด้านหลังก็เป็นคุณชายใหญ่ติดตามลงมาด้วยกัน
“อาอิ๋งอย่าลืมแบ่งขนมให้พี่ใหญ่ด้วยนะ” หลิวยุ่นฉานพูดเพียงเท่านั้นก็หันไปมองพี่ชายที่ดูแปลกไป
“เจ้าพักผ่อนเถิด” หลิวฝานไม่ชวนน้องสาวไปเล่นที่เรือนของตนเหมือนอย่างเคย หลิวยุ่นฉานเลยไม่เอ่ยคำใดออกมาอีก
“วันนี้ขอบคุณพี่ใหญ่มากเจ้าค่ะ”
หลิวฝานทำเย็นชา แม้อยากจะพูดอะไรออกมาสักคำทว่าก็หมุนเท้าเดินเข้าจวนไปเลย ปล่อยให้หลิวยุ่นฉานมองตามหลังด้วยสายตาไม่เข้าใจ กระทั่งอาอิ๋งนั้นยังสัมผัสได้ว่าคุณชายใหญ่มีพฤติกรรมผิดปกติไปจากเดิม
“หรือว่าคุณชายจะถูกรัชทายาทตำหนิมาเจ้าคะ” สาวใช้พูดไปเรื่อยเปื่อย และนั่นก็ทำให้หลิวยุ่นฉานเก็บมาคิด
“พี่ใหญ่อาจจะเหนื่อย เจ้าก็รีบไปจัดการตามที่ข้าบอกเถิด” สตรีเดินเข้าจวนตามไป แต่ไม่นานนักก็มีคนของฮูหยินใหญ่มาตามตัวคุณหนูใหญ่