“คุณหนู ฮูหยินเรียกพบเจ้าค่ะ” สาวใช้ที่อยู่ข้างกายฮูหยินใหญ่มาอีกแล้ว คนผู้นี้หน้าตาไม่เป็นมิตรท่าทางเข้มงวด หลิวยุ่นฉานช้อนตามองแล้วแสร้งยกมือขึ้นนวดขมับ
“ข้ารู้สึกปวดศีรษะ คงไม่สะดวกไปพบท่านแม่ตอนนี้” นัยน์ตาหงส์แข็งกร้าวมีท่าทางไม่ยินยอม อยากจะเรียกนางไปอบรมสินะ ฝันไปเถอะ
สาวใช้คนนั้นแววตาเข้มขึ้น “คุณหนูไม่ไปพบไม่ได้เจ้าค่ะ” เสียงที่พูดออกมาคล้ายข่มขู่กัน แต่หลิวยุ่นฉานไม่ได้หัวอ่อนอีกต่อไป
“ถ้าหากข้าไปพบแล้วปวดศีรษะมากกว่าเดิม ทำให้งานอภิเษกสมรสเลื่อนออกไป เจ้าว่า...ท่านพ่อจะตำหนิใคร” สตรีที่นั่งอยู่บนเตียงนอนพูดด้วยสีหน้านิ่ง ๆ ไม่ยินดียินร้ายหรือว่าหวาดกลัวสิ่งใด ทำให้สาวใช้ที่เจ้ากี้เจ้าการคนนั้นกำมือแน่น
“คุณหนูเอารัชทายาทกับนายท่านมาข่มขู่ข้าหรือเจ้าคะ” สาวใช้ของฮูหยินใหญ่ไม่ยินยอม วันนี้ถึงอย่างไรก็จะลากคุณหนูออกไปให้ได้
อาอิ๋งเห็นเรื่องราวบานปลายเลยเกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเลยส่งสายตาให้คุณหนู แต่หลินยุ่นฉานไม่ได้สนใจ นางแสยะยิ้มขึ้นแววตาไม่ยินยอมเช่นเดียวกัน
“เจ้าก็เป็นแค่สาวใช้ อย่าคิดว่ามีท่านแม่ให้ท้ายแล้วข้าจะต้องกลัว...” หลิวยุ่นฉานลุกออกมาจากเตียงนอนที่ใช้พักผ่อนเพราะมีคนมาขัดขวางความสุขนั้น
สาวใช้คนนั้นจ้องตาคุณหนูใหญ่ไม่กะพริบ แต่ก่อนจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็มีเสียงทุ้มดังขึ้นมา
“ฉานเอ๋อ...” และเสียงนั้นก็เป็นเสียงของเสนาบดีฝ่ายขวา คนที่หลิวยุ่นฉานไม่ค่อยอยากพบหน้ามากที่สุด
“นายท่าน” สาวใช้ของฮูหยินใหญ่รีบปรับสีหน้าทันที ไม่มีท่าทางแข็งกร้าวเหมือนสักครู่นี้
ชายสูงวัยที่มีผมสีขาวเดินเข้ามาในห้องนอนของบุตรีบุญธรรม สายตาจดจ้องมองระหว่างหลิวยุ่นฉานแล้วก็สาวใช้ของฮูหยินใหญ่
“ยังจะยืนอยู่อีก” เสนาบดีฝ่ายขวาหันไปตำหนิสาวใช้ แน่นอนว่าได้ยินเสียงของคนสองคนพูดคุยกัน และดูท่าทางแล้วบุตรีบุญธรรมจะไม่ยอมอ่อนข้อให้เหมือนเดิม
“เจ้าค่ะ” เมื่อสาวใช้ถูกไล่จึงต้องกลับไปรายงานฮูหยินใหญ่ว่านายท่านมาพบคุณหนูใหญ่
กระทั่งทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงบและทำให้หลิวยุ่นฉานเกิดความประหม่าขึ้นมา อาอิ๋งเลยต้องออกจากห้องไปด้วยปล่อยให้นายท่านอยู่กับคุณหนูตามลำพัง
“ท่านพ่อมีอะไรจะพูดกับข้าหรือเจ้าคะ” หลิวยุ่นฉานพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง พยายามเก็บอาการไม่ให้ถูกอ่านความคิดได้
นายท่านตระกูลหลิวจึงเดินออกมาจากห้องนอนแล้วตรงไปที่เรือนรับรองพร้อมทั้งนั่งลงที่มุมจิบน้ำ หลิวยุ่นฉานเลยต้องเดินติดตามไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“นานแล้วที่ไม่ได้จิบชาฝีมือเจ้า” หลิวหยางเอ่ยพลางใช้สายตากดดันจ้องมองมา หลิวยุ่นฉานที่ชงชาไม่เป็นก็รีบยกการ้อนน้ำมารินใส่ถ้วยชา
เสนาบดีฝ่ายขวามองบุตรีที่รินชาเตรียมให้ด้วยท่าทางเงอะงะดูไม่ปกติ “ฉานเอ๋อ...ยังปวดศีรษะอยู่หรือไม่” แน่นอนว่าเขาไม่มีทางตำหนินาง เพราะคิดว่าอาจจะเป็นผลกระทบจากการที่ศีรษะบาดเจ็บ
หลิวยุ่นฉานมือสั่นเล็กน้อยเมื่อถูกถามไถ่อาการ นางเลื่อนถ้วยชาไปตรงหน้าเสนาบดีฝ่ายขวาด้วยความประหม่าอย่างถึงที่สุด แตกต่างจากตอนที่อยู่กับสาวใช้ของฮูหยินใหญ่
“ก็ยังปวดศีรษะอยู่บ้างแต่ไม่มากแล้วเจ้าค่ะ” พร้อมทั้งพยายามตอบอย่างเป็นปกติมากที่สุด
“เรื่องที่แม่เจ้าลงมือทำไปก็อย่าโกรธนางเลย” สุดท้ายหลิวหยางก็พูดธุระที่ต้องการพูดออกมา
หลิวยุ่นฉานทำหน้านิ่ง ในใจรู้สึกไม่ชอบฮูหยินใหญ่มาก ๆ คล้ายกับว่าสิ่งนี้เป็นความรู้สึกเดิมของเจ้าของร่าง
“เจ้าค่ะ” แต่ก็ต้องแสร้งพูดออกมาว่าไม่ได้ถือสาเอาความอะไร ถ้าหากนางทำตัวแข็งมากไปอาจไม่เป็นผลดี
เสนาบดีฝ่ายขวาสังเกตท่าทางของบุตรีบุญธรรมเห็นว่าไม่ได้ผิดปกติไปจากเดิมมากนักก็ยกชาขึ้นมาจิบ
“วันนี้ออกไปข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง” เนื่องจากหลิวหยางไม่ค่อยได้เข้ามาวุ่นวายที่เรือนกลางมากนักและปล่อยให้หลิวเซี่ยดูแลบุตรีตามลำพัง เขาเลยไม่เคยรู้ว่าหลิวฝานคิดไม่ซื่อกับน้องสาวต่างสายเลือดของตนเอง ดังนั้นที่มาเยือนในวันนี้ก็เพื่อตรวจสอบบางสิ่งบางอย่าง
เท่าที่จำได้ในความทรงจำแทบไม่ปรากฏความสัมพันธ์ของบิดากับบุตรีมากนัก หลิวยุ่นฉานเลยต้องตอบออกไปอย่างระมัดระวังมากที่สุด “ก็ดีเจ้าค่ะ”
หลิวหยางวางถ้วยชาลงแล้วก็ลุกขึ้น “เจ้าก็พักผ่อนให้ดี อีกไม่นานก็จะต้องย้ายไปอยู่ที่ตำหนักบูรพาแล้ว ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องออกไปข้างนอกอีก” เสนาบดีฝ่ายขวาพูดเพียงเท่านั้นก็เดินออกจากเรือนกลางตรงไปที่เรือนของฮูหยินใหญ่ อาอิ๋งที่ยืนรอปรนนิบัติอยู่ด้านข้างเห็นนายท่านไปแล้วก็รีบเดินมาดูคุณหนูทันที
หลิวยุ่นฉานมองตามหลังไปจนลับสายตา เสนาบดีฝ่ายขวาคนนี้มาเยือนเรือนลี่หมิงต้องการอะไรบางอย่างแน่นอน จะว่าไปบรรยากาศในจวนแห่งนี้ดูไม่ค่อยปกติ ความสัมพันธ์ในครอบครัวค่อนข้างห่างเหินเหมือนเจ้านายกับลูกน้องเสียมากกว่า
“คุณหนูไม่ไปพบฮูหยินใหญ่เช่นนี้จะดีหรือเจ้าคะ” อาอิ๋งเกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น แต่หลิวยุ่นฉานไม่ใส่ใจนัก
“ข้าไม่อยากพบก็คือไม่อยากพบ นางตีศีรษะข้าแรงถึงเพียงนั้น ยังคิดให้ข้าเชื่อฟังอีกหรือ” แน่นอนว่าหลิวยุ่นฉานจะไม่ยอมอ่อนข้อให้ แม้ว่าฮูหยินใหญ่จะเป็นผู้มีพระคุณของเจ้าของร่างก็ตาม
อาอิ๋งยืนก้มหน้าเข้าใจในสิ่งที่คุณหนูคิด หากนางถึงทำเช่นนั้นก็คงลืมยากเช่นเดียวกัน หลิวยุ่นฉานเห็นคนเป็นเดือดเป็นร้อนแทนก็ยิ้มออกมาด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“เจ้าไม่ต้องกังวล ไปเอาขนมที่ข้าซื้อออกมาเถิด” ยามนี้หากได้กินของหวานก็จะทำให้อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
อาอิ๋งยิ้มหวานตอบ ”เจ้าค่ะ”
ฝั่งเรือนหลักเสนาบดีฝ่ายขวานั่งอยู่ในห้องรับรองโดยมีฮูหยินใหญ่ช่วยบีบนวดบ่าให้ “ท่านพี่มาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ” หลิวเซี่ยพูดอย่างระมัดระวัง เพราะช่วงเช้าเพิ่งฟ้องเรื่องหลิวฝานที่ดูเหมือนว่าจะคิดไม่ซื่อกับหลิวยุ่นฉาน แต่ทว่าหลิวหยางกลับไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด
“ข้ามาหาเจ้าไม่ได้หรือไง” หลิวหยางพูดเสียงดุ เขาแต่งงานกับหลิวเซี่ยมายี่สิบกว่าปีแล้วก็จริงแต่ค่อนข้างห่างเหิน ไม่ค่อยเหมือนสามีภรรยาทั่วไป
“ได้สิเจ้าคะ” หลิวเซี่ยส่งสายตาไปให้สาวใช้เพื่อเตรียมสุราเข้ามา สิ่งเดียวที่จะเอาใจสามีผู้นี้ได้ก็คือการนั่งดื่มสุราเป็นเพื่อน คอยรับฟังอยู่ข้าง ๆ ไม่มีปากมีเสียง
“เรื่องหลิวฝานนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลใจ อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันอภิเษกสมรสแล้วก็อย่าไปเข้มงวดกับฉานเอ๋อมากนักเลย” หลิวหยางมองออกว่าความสัมพันธ์ช่วงนี้ระหว่างมารดากับบุตรีมีรอยร้าวยากจะประสานคืน ดังนั้นช่วงนี้ควรให้ทั้งคู่อยู่ห่างกันจะได้ไม่เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นมา
“ที่แท้ท่านพี่ก็มาเพราะเรื่องนี้ ความจริงข้าห่วงฉานเอ๋อเท่านั้นเลยจะเรียกนางมาปลอบใจสักหน่อย” หลิวเซี่ยพูดพลางบีบนวดแขนให้หลิวหยางไปด้วย
“ปลอบใจหรือ?” หลิวหยางชายตามองสาวใช้ที่ไปเรือนลี่หมิงด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัย และนั่นเลยทำให้หลิวเซี่ยมองตามสายตาสามีไป
“อาจินก็เป็นคนพูดจาเช่นนั้นเอง ท่านพี่อย่าถือสาเลยนะเจ้าคะ” หลิวเซี่ยพอรู้มาบ้างแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นจึงพยายามพูดปกป้องคนของตัวเอง
“พูดจาไม่เหมือนกับบ่าวรับใช้ตีตัวเสมอเจ้านาย ข้าว่าอย่าให้นางอยู่ที่นี่เลย” หลิวหยางดึงสายตากลับมา และนั่นก็ทำให้อาจินต้องรีบคุกเข่าอ้อนวอนเจ้านายทั้งสอง
“ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ขอนายท่านเมตตาด้วย” อาจินรีบโขลกศีรษะขอขมา แต่หลิวหยางส่งสายตาให้บ่าวรับใช้ของตัวเอง