“วะ ว้าย!” ไม่ทันได้ตั้งตัวหลิวยุ่นฉานก็ล้มลงโดยมีใครก็ไม่รู้มากอดนางไว้ กลิ่นกายที่คุ้นเคยทำให้หัวใจสตรีเต้นแรงแทบหลุดออกมาจากหน้าอก ซึ่งก็ตอบไม่ได้ว่าเคยดมกลิ่นนี้มาจากที่ไหน มันให้ความรู้สึกสูงส่งเอื้อมไม่เคยถึง
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
สายตาคมจ้องหน้าโฉมสะคราญเขม็ง เขารู้สึกว่าวันนี้นางนั้นดูแตกต่างไปกว่าทุกครั้งที่ได้เจอกัน “เจ้าคิดจะทำอะไร” เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกกดดัน หลิวยุ่นฉานหน้าเจื่อนมองตาหลี่ซู่เฟิงเหมือนคนเจอผีสาง
“อะ เอ่อ” มือเรียวสวยรีบเอาออกจากบ่ากว้างนั้นทันที แม้ว่าเขาจะมีหน้าตาเหมือนหลี่ซู่เฟิงทุกอย่างแต่แววตากลับไม่ใช่ ไม่มีทางใช่เลยสักนิดเดียว
“เกิดอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” หลิวฝานได้ยินเสียงเอะอะด้านนอกก็นึกเป็นห่วงน้องสาวขึ้นมาเลยเดินออกมาดู แล้วก็ได้เห็นว่ารัชทายาทเสด็จมาที่นี่พร้อมกับองครักษ์ส่วนพระองค์ แต่ว่าหลิวยุ่นฉานกลับล้มอยู่ในอ้อมกอดนั้น ความรู้สึกที่พยายามสะกดเอาไว้ก็เผยให้เห็นผ่านดวงตา
ดวงตาคมเข้มของหลี่ซู่เฟิงตวัดมองหน้าสหายแล้วแสยะยิ้มเย็นชา ความรู้สึกอึดอัดนั้นทำให้หลิวยุ่นฉานรีบผละตัวออก ทว่าแรงรัดที่เอวคอดกิ่วกลับแน่นขึ้น ทำให้ทั้งร่างกายของนางเคลื่อนย้ายไปใกล้ชิดกับคนผู้นั้นโดยไม่ตั้งใจ
“ปล่อยได้แล้วเพคะ” หลินยุ่นฉานพยายามดันตัวคนตรงหน้าให้ออกห่าง กระทั่งหลิวฝานเดินเข้ามาใกล้กัน หลี่ซู่เฟิงถึงได้คลายอ้อมแขนออกแล้วส่งยิ้มให้สหายร่วมเรียนเหมือนกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
“คุณหนูหลิวท่าทางเหมือนจะล้ม ข้าจึงช่วยประคอง” รัชทายาทพูดออกมาเป็นธรรมชาติ แต่หลิวยุ่นฉานไม่รู้สึกแบบนั้น คนคนนี้ต้องมีอะไรแอบแฝง ความกลัวบังเกิดในใจสตรีไม่มากแต่ก็ไม่น้อย
หลิวฝานปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วค้อมศีรษะลงให้รัชทายาท
“ลำบากองค์ชายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ลำบากหรอก อีกไม่กี่วันคุณหนูหลิวก็จะอภิเษกสมรสกับข้า” คล้ายว่าประโยคนี้หลี่ซู่เฟิงพูดให้หลิวฝานฟังโดยเฉพาะ บุรุษสองคนสบสายตากันนิ่งคล้ายจะทำสงคราม
หลิวยุ่นฉานเหลือบสายตาออกไปมองด้านนอกร้านก็เห็นว่าคนเริ่มมามองดูอยู่ด้านนอกจำนวนมาก จึงบังเกิดความคิดที่ว่าวันนี้นางควรเล่นงิ้วอีกสักฉากก่อนที่จะไม่มีโอกาส ระหว่างที่รัชทายาทและพี่ใหญ่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ร่างบางแสร้งเดินไปอีกทางแล้วแกล้งทำของตก นางค้อมตัวจะไปเก็บของแต่กลับถูกรัชทายาทที่ไม่รู้ว่าเดินตามมาเมื่อไรดึงต้นแขนเอาไว้
“ของตกพื้นสกปรกไปแล้ว เจ้าไม่ต้องเก็บ ใช้ของข้าไปก่อน” อยู่ดี ๆ รัชทายาทที่มีท่าทางเย็นชาอยู่เสมอก็ส่งผ้าเช็ดหน้าให้คุณหนูหลิว ท่ามกลางสายตาของผู้คนภายนอกที่มองเข้ามา
หลิวยุ่นฉานอ้ำอึ้งไป วันนี้นอกจากแผนของนางจะล่มไม่เป็นท่า ยังค้นพบว่ารัชทายาทที่หน้าตาคล้ายคลึงกับชายที่นางชอบเมื่อชาติก่อนกำลังปฏิบัติต่อกันเปลี่ยนแปลงไป “มะ หม่อมฉันไม่กล้ารับเพคะ”
บุรุษองอาจที่วันนี้มาแปลกก็โน้มหน้าเข้ามาใกล้ “เจ้าต้องรับไป” น้ำเสียงของเขาดูกดดันชอบกล สตรีมองสบตาแล้วก็ต้องรีบผินหน้าออกเพราะหัวใจเต้นแรงมากแทบหลุดออกมาจากหน้าอก
“หม่อมฉันมิบังอาจเพคะ” หลินยุ่นฉานไม่รับน้ำใจ ท่าทางดึงดันของนางนั้นไปกระตุ้นความอยากเอาชนะของรัชทายาทให้ปะทุขึ้น
เขาจึงรั้งนางให้หันมามองกัน จากนั้นก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับใบหน้าคุณหนูใหญ่ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์
“ถือว่ามันเป็นของของเจ้าแล้ว” หลี่ซู่เฟิงยิ้มเจ้าเล่ห์จากนั้นก็ยัดผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นใส่มือหลิวยุ่นฉาน แล้วหันหน้าไปมองสหายที่ด้านหลังด้วยสายตาเย็นชา
“หลิวฝาน อย่าลืมนัดล่ะ” แล้วก็ก้าวเท้าเดินออกจากร้านค้าไปด้วยท่าทางองอาจพร้อมกับองครักษ์ ชาวบ้านที่มุ่งดูรีบแหวกทางให้ทันทีไม่มีใครกล้าขวางทางรัชทายาทสักคนเดียว
หลิวยุ่นฉานยืนนิ่งรู้สึกอ้ำอึ้งไป ‘นี่ไม่เหมือนกับหลี่ซู่เฟิงในชาติก่อนสักนิดเดียว’ อาอิ๋งวางของที่สนใจลงแล้ววิ่งมาดูคุณหนูด้วยท่าทางตกใจ
“คุณหนูไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ” สาวใช้ถามด้วยความเป็นห่วง หลินยุ่นฉานถึงได้สติกลับมา โฉมสะคราญส่ายหน้าเบา ๆ แผนการที่นางเตรียมเอาไว้ล่มไม่เป็นท่า นัยน์ตาหงส์เหลือบมองท้องฟ้าด้านนอก
นี่ก็เลยเวลานัดกับท่านหมอแล้ว ยังไม่มีข่าวอะไรหลุดออกมาเลยสักนิด ดูท่านางคงเสียเงินเปล่าประโยชน์แล้ว
หลิวฝานเดินมาด้านหลังน้องสาวเอ่ยว่า “เจ้าเป็นอะไรหรือไม่”
หลิวยุ่นฉานเลยหันไปมองพี่ชาย “ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ พี่ใหญ่สั่งของเสร็จแล้วใช่ไหมเจ้าคะ ท่านมีนัดกับองค์รัชทายาทก็รีบไปเถิด ข้ากับอาอิ๋งจะเดินเล่นต่ออีกสักหน่อย” เมื่อได้โอกาสนางก็อยากใช้ความคิดตามลำพัง หลิวฝานเห็นน้องสาวเอ่ยปากไล่ก็ไม่พูดเซ้าซี้
“เจ้าอยากซื้ออะไรเพิ่มก็สั่งให้คนไปส่งที่จวน ส่วนค่าใช้จ่ายไม่ต้องเป็นกังวลให้มาเก็บที่ข้า” หลิวฝานอยากชดเชยให้น้องสาว นางอยู่ในจวนตามลำพังคงอึดอัดไม่น้อย
หลิวยุ่นฉานได้ยินแบบนั้นก็ส่งยิ้มน้อย ๆ ไปให้ อยู่ที่นี่มีพี่ชายแบบหลิวฝานแค่นี้นางก็รู้สึกปลอดภัยมากแล้ว “เจ้าค่ะ”
ร่างแน่งน้อยยืนโบกมือให้พี่ชายที่ต้องเดินทางไปตำหนักบูรพาต่อด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ภายในใจนั้นนางคิดเรื่องมากมายนัก
“อาอิ๋ง เจ้าเลือกได้หรือยังว่าอยากได้ของอะไรบ้าง”
“มันจะดีหรือเจ้าคะ” อาอิ๋งรู้สึกเกรงใจ
“ดีสิ เงินพี่ใหญ่ ข้าไม่ได้จ่ายสักหน่อย” หลิวยุ่นฉานยิ้มแย้ม นางเลิกคิดมากแล้ว ก็แค่ซื้อของให้เต็มที่แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหาของอร่อย ๆ กิน
ครึ่งชั่วยามต่อมา หลิวยุ่นฉานก็พาอาอิ๋งมานั่งกินอาหารเที่ยงที่ภัตตาคารลู่เฉียว ทุกคนต่างหันมามองคุณหนูใหญ่จวนเสนาบดีเป็นตาเดียว คนที่ถูกจับจ้องมีท่าทีประหม่าไม่เป็นตัวของตัวเอง
“ข้าแต่งตัวแปลกประหลาดหรือ” หลิวยุ่นฉานกระซิบถามสาวใช้ที่ไม่ยอมมานั่งข้างกัน อาอิ๋งหันไปมองคนพวกนั้นจนพวกเขาต้องรีบหันหน้าไปทางอื่น
“วันนี้คุณหนูแต่งตัวงดงามเจ้าค่ะ เลยทำให้หลายคนสนใจ” สิ่งที่อาอิ๋งพูดออกมานั้นไม่เกินจริงนัก โดยปกติคุณหนูใหญ่ไม่ค่อยปรากฏตัวข้างนอก นี่เลยทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจ
“เราเปลี่ยนโต๊ะกันเถอะ” หลิวยุ่นฉานสั่งให้อาอิ๋งไปแจ้งกับเสี่ยวเอ้อ แต่ห้องชั้นบนกลับไม่มีห้องว่างเลยสักห้องเดียว นางจำใจต้องนั่งตรงนั้นตรงที่เป็นจุดสนใจของผู้คน เพียงไม่นานอาหารที่สั่งไว้ก็จัดเรียงเต็มโต๊ะพร้อมทั้งส่งกลิ่นหอมชวนให้คนที่ไม่ค่อยได้กินหลากหลายเกิดอาการน้ำลายสอ
“อาหารที่นี่น่ากินมากเลยเจ้าค่ะ” อาอิ๋งที่ยืนอยู่ด้านหลังรู้สึกไม่แตกต่างกัน หลิวยุ่นฉานจึงกระตุกชายแขนเสื้อบอกให้สาวใช้มานั่งที่ฝั่งตรงกันข้าม
“เจ้าก็มากินด้วยกันเถิดนะ อาหารเยอะขนาดนี้ข้ากินคนเดียวไม่หมดแน่ ” สำหรับพิธีรีตองที่จวนเสนาบดีเคร่งครัดนั้นใช้ไม่ได้กับหลิวยุ่นฉานผู้ซึ่งมาจากโลกอนาคต นางไม่สนใจว่าอาอิ๋งจะเป็นแค่สาวใช้หรือไม่ รู้เพียงแค่ว่าเป็นคนที่ช่วยเหลือและพึ่งพาได้
อาอิ๋งน้ำตารื้น แม้ใช้ชีวิตอยู่ในจวนเสนาบดีจะไม่ได้ลำบากอะไรแต่เรื่องอาหารการกินนั้นถูกฮูหยินใหญ่จำกัดจนน่าอึดอัด
“ที่นี่มีคนอยู่มาก ข้าเกรงว่า...”
“ข้ารับผิดชอบเอง เจ้ามากินได้แล้ว” หลิวยุ่นฉานพูดเสียงดุ เป็นครั้งแรกที่คุณหนูผู้อ่อนโยนจะขึ้นเสียงใส่
“จะ เจ้าค่ะ...” อาอิ๋งเดินไปนั่งฝั่งตรงกันข้ามด้วยความไม่เต็มใจนัก หลิวยุ่นฉานเห็นอย่างนั้นก็อมยิ้มน้อย ๆ พร้อมทั้งหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบกับข้าวหลายอย่างให้สาวใช้ไม่มีท่าทางรังเกียจ