“ยุ่นฉานอยากออกไปข้างนอกหรือ ดีเลย บอกนางด้วยว่าข้าจะออกไปด้วย” นานแล้วที่เขากับน้องสาวไม่ได้ไปเดินเล่นข้างนอกด้วยกัน หลิวฝานพูดจบก็ลุกขึ้นไปเปลี่ยนชุดใหม่
หลังจากที่ได้รับอนุญาตให้ออกไปนอกเรือนได้ หลิวยุ่นฉานก็ให้อาอิ๋งแต่งตัวให้เพราะนางอยากออกไปแสดงตัวว่าตนเองนั้นสุขภาพไม่ดีจริง ๆ เลยประทินโฉมน้อยที่สุดเพื่อให้ใบหน้าซีดเซียวสวมใส่เสื้อผ้าที่เผยให้เห็นสัดส่วนชัดเจนเพื่อให้ทุกคนรู้ว่านางผอมแห้งมากเพียงใด และคนที่ตกอยู่ในแผนการนี้โดยไม่ได้รู้ตัวนั่นก็คืออาอิ๋งและพี่ชายที่แสนดี
“คุณหนูไม่ทาชาดเพิ่มอีกสักหน่อยหรือเจ้าคะ” สาวใช้ถามด้วยความงุนงงเพราะตามปกติแล้วคุณหนูมักประทินโฉมจัดจ้านอยู่เสมอ แต่วันนี้ให้เขียนแค่คิ้วแบบไต้เหมยและแต้มชาดที่ปากกับแก้มบาง ๆ เพียงเท่านั้นไม่ยอมทารองพื้นอีกด้วย
“ข้าเบื่อที่จะต้องประทินโฉมหนาขนาดนั้นแล้ว วันนี้อากาศร้อนแค่แต้มชาดเล็กน้อยก็เพียงพอ” หลิวยุ่นฉานยิ้มน้อย ๆ นางกลับพอใจที่เป็นเช่นนี้เสียอีก ทารองพื้นสีขาวยุคสมัยนี้อาจจะเป็นที่นิยมแต่สำหรับนางนั้นยังยอมรับไม่ได้เพราะมันคล้ายกับบางอย่างที่ดูน่ากลัว
อาอิ๋งไม่ได้พูดคำใดอีก ในเมื่อคุณหนูไม่คล้อยตามจึงทำได้เพียงต้องตามใจ สักพักหนึ่งเมื่อแต่งตัวเสร็จแล้วทั้งสองนายบ่าวก็ออกมายืนรอคุณชายใหญ่หน้าจวน รถม้าจอดรออยู่พร้อมคนขับรถม้า เหลือเพียงรอให้คนมาครบเท่านั้น
“ทำไมวันนี้คุณชายแต่งตัวนานเช่นนี้กันนะ” อาอิ๋งบ่นเสียงเบาพยายามชะเง้อหน้ามองหาคน สักพักหลิวฝานก็รีบเดินออกมาพร้อมกับคนของรัชทายาทที่ไม่รู้ว่ามาจวนเสนาบดีฝ่ายขวาตั้งแต่เมื่อไร
“ฉานเอ๋อรอนานหรือไม่” หลิวฝานในชุดลำลองสีขาวดูบริสุทธิ์ส่งยิ้มมาให้อย่างอ่อนโยน หลิวยุ่นฉานส่ายหน้าเนิบช้าเพื่อเป็นคำตอบ
“พี่ใหญ่มีแขกหรือเจ้าคะ” หลิวยุ่นฉานมองหน้าองครักษ์แล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติทั้งที่รู้สึกไม่ปลอดภัย เลยแสร้งกระแอมไอเล็กน้อยทำท่าทางเหมือนคนไม่สบาย อาอิ๋งจึงรีบเข้ามาประคองแขนคุณหนูใหญ่ทันที
“คุณหนูเอาเสื้อคลุมไหมเพิ่มไหมเจ้าคะ เดี๋ยวข้าไปหยิบให้” สาวใช้เตือนแล้วแต่หลิวยุ่นฉานก็ยังดื้อรั้นจะสวมชุดบางเบาแค่ไม่กี่ชั้น นางให้เหตุผลว่ารู้สึกร้อนไม่อยากสวมชุดหนาจนเกินไป
“สงสัยลมจะแรงน่ะ ข้าไม่เป็นอะไร เจ้าไม่ต้องไปหรอกเสียเวลา” สตรีโฉมสะคราญแสร้งพูดเพื่อหวังให้องครักษ์ของรัชทายาทนำเรื่องนี้ไปรายงาน
สายตาของหลิวฝานเป็นห่วงน้องสาวมากแต่ก็คิดว่าวันนี้อากาศร้อนมากจริง ๆ เขาเลยหันไปบอกกับองครักษ์รัชทายาทว่า “ฝากไปบอกรัชทายาทด้วยว่าข้ามีธุระไม่อาจปลีกตัวไปเดินหมากด้วยได้ เอาไว้เสร็จธุระแล้วจะรีบไปตำหนักบูรพาทันที”
องครักษ์พยักหน้ารับแล้วขอตัวลา
หลิวฝานมองตามหลังองครักษ์ไปด้วยสายตาเป็นกังวล หลิวยุ่นฉานสังเกตเห็นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ความจริงข้าไปซื้อของตามลำพังกับอาอิ๋งได้ พี่ใหญ่ไปตำหนักบูรพาเถิดเจ้าค่ะ”
“ไม่ได้…เจ้าไม่ค่อยสบายเช่นนี้ไปกับพี่น่ะดีแล้ว เดี๋ยวอีกหน่อยก็คงมาเดินเที่ยวเล่นด้วยกันยากแล้ว” หลิวฝานเอ่ยยิ้ม ๆ แต่นัยน์ตาเศร้าหมองแล้วประคองน้องสาวขึ้นรถม้าไปด้วยความระมัดระวัง
ไม่นานรถม้าก็เคลื่อนตัวออกไปบนถนนตามปกติ คนของฮูหยินใหญ่ที่แอบยืนสังเกตการณ์อยู่ก็รีบวิ่งกลับไปรายงานเจ้านายทันที
“ยุ่นฉานออกไปเที่ยวข้างนอกกับหลิวฝานหรือ…” ฮูหยินใหญ่ที่ช่วงนี้เก็บตัวอยู่แต่ในเรือน เมื่อได้รับรายงานเรื่องนี้ก็ขมวดคิ้วมีสีหน้าไม่พอใจนัก นางนั้นพยายามกีดกันหลิวฝานออกจากหลิวยุ่นฉานมาหลายปีเพราะมองออกว่าบุตรชายของเสนาบดีฝ่ายขวากับอดีตฮูหยินคิดไม่ซื่อกับบุตรบุญธรรมของนาง
“เจ้าค่ะ”
“นายท่านออกไปหรือยัง” แล้วฮูหยินใหญ่ก็ลุกออกจากตั่งที่เอนนอนไปสวมชุดคลุม ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ต้องป้องกันเรื่องผิดพลาดไว้ก่อน
“ยังอยู่ที่เรือนคุณธรรมเจ้าค่ะ”
ฝั่งรัชทายาทที่ได้รับรายงานจากองครักษ์แล้วก็ลุกขึ้นมาเปลี่ยนชุดใหม่ดูผิดปกติวิสัยมากเป็นพิเศษ ถงอี้มองตามด้วยสายตาไม่เข้าใจนักเพราะอีกไม่กี่วันก็ใกล้ถึงวันอภิเษกสมรสแล้ว เหตุใดต้องหาเรื่องไปหาคุณชายใหญ่เพื่อพบหน้าคุณหนูใหญ่ด้วย
“องค์ชายจะไปหาคุณชายหลิวตอนนี้เลยหรือพ่ะย่ะค่ะ” ถงอี้ยืนกอดอกในมือถือกระบี่แต่ปากก็ยังถามด้วยความใคร่รู้
หลี่ซู่เฟิงยืนนิ่งให้ขันทีช่วยเปลี่ยนชุดให้ วันนี้เขาสวมชุดผ้าไหมสีดำสนิททั้งตัวแล้วสวมทับด้วยชุดคลุมสีเดียวกันซึ่งปักด้วยเส้นไหมสีทองเป็นลวดลายงดงาม
“วันนี้จะมีเรื่องสนุกให้ดูจะให้ข้าพลาดชมไปได้อย่างไรกัน” เป็นครั้งแรกที่รัชทายาทดูกระตือรือร้นเช่นนี้ ปกติเขาเป็นคนเย็นชาและเก็บสีหน้ารวมทั้งแววตาได้ดี
ตลาดกลางเมือง ทั้งที่เป็นช่วงสายซึ่งไม่น่าจะมีผู้คนสัญจรไปมามากนัก ทว่าตามท้องถนนกลับมีร้านค้าออกมาตั้งแผงค้าขายกันอย่างคึกคัก ทำให้หลิวยุ่นฉานที่ไม่ได้ออกจากจวนเสนาบดีมานานเกิดความตื่นเต้นดูร่าเริงขึ้นมาผิดหูผิดตา แต่ทว่านางกับพี่ชายไม่ได้แวะซื้อของตามร้านข้างถนนนั้น เนื่องจากจวนเสนาบดีฝ่ายขวามีร้านค้าประจำ และข้าวของที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นของราคาแพง ที่เพียงแค่สั่งทำก็ให้คนมาส่งที่จวนแล้ว
“พัดเล่มนี้งดงามมากเลยเจ้าค่ะคุณหนู” อาอิ๋งชี้มือไปที่พัดถวนซ่านที่ปักลายดอกเหมยด้วยเส้นไหมทองคำให้ความรู้สึกหรูหราสง่างาม สายตาหลิวยุ่นฉานมองตามแล้วก็เอื้อมมือไปหยิบพัดเล่มนั้นขึ้นมามองดู
“เจ้าชอบพัดเล่มนี้หรือ...” หลิวฝานคอยสังเกตสีหน้าท่าทางของน้องสาวอยู่ตลอดเวลา หลิวยุ่นฉานรู้สึกถึงการเอาใจใส่ของพี่ชายได้เป็นอย่างดีแต่ก็รับรู้ได้ว่ามันค่อนข้างมีมากไปจนผิดปกติ
มือเรียวสวยวางพัดเล่มนั้นจากนั้นก็ส่ายหน้าไม่ยิ้มแย้ม แล้วเดินไปเลือกดูเครื่องประดับที่มุมอื่น ซึ่งเหตุการณ์นี้อยู่ในสายตารัชทายาทที่ยืนมองอยู่หน้าประตูร้านค้า ถงอี้ขมวดคิ้วมองตามรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่ไม่เป็นปกตินัก
“คุณหนูปิ่นทองคำนี้สวยมากเลยเจ้าค่ะ” อาอิ๋งที่ดูตื่นเต้นไม่แพ้ใครเรียกคุณหนูด้วยน้ำเสียงสดใส หลิวยุ่นฉานยิ้มแย้มแล้วหยิบปิ่นนั้นมาทาบที่ศีรษะสาวใช้
“คุณหนูทำอะไรเจ้าคะ” อาอิ๋งรู้ตัวดีว่าไม่ควรคาดหวังแต่หลิวยุ่นฉานไม่ถือสา
“เจ้าเลือกสักอันสิ ข้าซื้อให้” จากนั้นก็เดินไปดูข้าวของอื่น ๆ ที่ไม่เคยเห็น ของพวกนี้เป็นของเก่าแก่ก็ว่าได้สำหรับคนที่มาจากโลกยุคใหม่
ผ่านไปครึ่งจิบชาเมื่อมีลูกค้าเข้ามาในร้านมากขึ้นเรื่อย ๆ โฉมสะคราญก็ยังไม่ลืมที่จะเล่นงิ้วที่ตั้งใจอยากจะแสดงให้คนภายนอกเห็นโดยเฉพาะ นางเดินไปหยุดยืนข้างคุณหนูตระกูลหนึ่งที่กำลังยืนเลือกถุงผ้า จากนั้นก็แสร้งยกมือขึ้นมาแตะที่ข้างขมับทำเหมือนกับว่าจะเป็นลมล้มพับไปเสียเดี๋ยวนั้น
“เจ้าช่วยพยุงข้าหน่อยได้หรือไม่” หลิวยุ่นฉานพูดเสียงอ่อนและเม้มริมฝีปากแน่น เนื่องจากวันนี้นั้นนางไม่ได้ประทินโฉมจัดจ้านจึงทำให้ใบหน้าดูซีดเซียว ทว่าคุณหนูผู้นั้นกลับรีบเดินหนีห่าง สายตามองตรงไปที่ด้านหลังของนางแทน
“ขะ ข้าไม่บังอาจเจ้าค่ะ” แล้วเดินหนีไปอีกทางทันที หลิวยุ่นฉานไม่เข้าใจทว่าเมื่อลงมือแล้วนางจะแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้ ระหว่างที่หลิวฝานเข้าไปคุยกับเถ้าแก่ในห้องรับรอง ส่วนอาอิ๋งก็กำลังเลือกเครื่องประดับด้วยความตื่นเต้นจนหลงลืมเจ้านาย สตรีเลยจำต้องยอมทรุดตัวล้มลงไปกับพื้น แต่ก่อนที่จะเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ฝ่ามือหนาก็เอื้อมมารั้งเอวคอดกิ่วเอาไว้ ทำให้ร่างกายของคุณหนูใหญ่หมุนไปตามแรงดึงแล้วตกลงในอ้อมกอดของบุรุษผู้หนึ่ง