ด้านนอกเรือนลี่หมิง เมื่อหลิวฝานรู้เรื่องทั้งหมดจากอาอิ๋งก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้าไม่คิดว่าเรื่องราวจะบานปลายใหญ่โตเช่นนี้
“เจ้าจะบอกข้าว่าท่านแม่จงใจฆ่าฉานเอ๋ออย่างนั้นหรือ” ขณะที่พูดเขาก็หันมองไปรอบ ๆ เพราะเกรงว่าจะมีคนได้ยินเข้า
อาอิ๋งพยักหน้าแสดงออกทางภาษากาย เพราะว่าวันนั้นนางเห็นกับตาตัวเองว่าฮูหยินใหญ่จงใจใช้ไม้ฟาดไปที่หัวของคุณหนูโดยตรง ซึ่งโชคดีที่คุณชายซ่งพาหลบได้ทัน แต่ยังไม่พ้นรัศมีจึงทำให้คุณหนูที่ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะเล็กน้อย
ขณะที่พูดคุยเรื่องสำคัญหลิวฝานก็ได้ยินเสียงหลิวยุ่นฉานร้องออกมาเลยรีบเดินกลับเข้าไปดูในเรือน แล้วก็เห็นว่าน้องสาวกุมศีรษะไม่ยอมปล่อย “ฉานเอ๋อ!” ด้วยความตกใจเขาจึงรีบเข้าไปตรวจดูอาการและเห็นว่าคนสลบไปแล้วจึงสั่งให้สาวใช้ไปแจ้งพ่อบ้านรีบตามหมอมา
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ทั้งจวนเสนาบดีวุ่นวาย หมอจากข้างนอกบอกเพียงว่าศีรษะของคุณหนูใหญ่นั้นปกติดีเพียงแต่ร่างกายไม่แข็งแรงเพราะอดอาหารบ่อยเลยทำให้เกิดผลกระทบต่อร่างกายโดยรวม จากนั้นก็ฝังเข็มลดอาการปวดแล้วจัดเทียบยาบำรุงร่างกายให้
หลิวฝานเห็นโอกาสเหมาะเลยใช้เรื่องในวันนี้ขอร้องบิดาเพื่อให้ตนนั้นได้เป็นคนดูแลน้องสาวเอง ฮูหยินใหญ่ถูกเสนาบดีฝ่ายขวาเรียกไปตำหนิโทษฐานดูแลบุตรีไม่ดี ทำให้ตระกูลหลิวต้องประสบเคราะห์ภัย เพราะอีกไม่กี่วันจะถึงวันอภิเษกสมรสแล้ว ถ้าหากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา เนื้อชิ้นโตก็อาจจะหลุดมือไปได้ เนื่องจากมีขุนนางหลายคนจ้องที่จะยกบุตรีของตนมาแทนที่คุณหนูใหญ่กันทั้งนั้น
“คุณหนูเจ็บหรือว่าปวดตรงไหนอีกหรือไม่เจ้าคะ” อาอิ๋งถามด้วยความเป็นห่วง หลิวยุ่นฉานจึงส่ายหน้าช้า ๆ ซึ่งการฝังเข็มสามารถช่วยให้อาการปวดศีรษะหายเป็นปลิดทิ้งได้จริง
“ข้าดีขึ้นแล้ว” หลิวยุ่นฉานดื่มยาจนหมด จากนั้นก็ขอคุยกับท่านหมอเป็นการส่วนตัว
เมื่อท่านหมอได้ฟังสิ่งที่คุณหนูใหญ่ขอร้องก็มีสีหน้าลำบากใจ “คุณหนูมันจะดีหรือขอรับ”
“ข้าจะจ่ายเพิ่มให้ท่านสามเท่า ทำยังไงก็ได้ให้เรื่องนี้หลุดออกไปอย่างลับ ๆ บอกว่าข้าป่วยเป็นโรคร้ายแรงไม่อาจรักษาหายได้” หลิวยุ่นฉานคิดใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้เพื่อปฏิเสธการอภิเษกสมรสกับรัชทายาท ไม่ใช่ว่านางเกลียดชังเขา เพียงแต่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกันอีกต่อไป
“ตะ แต่ว่า...” ท่านหมอมีสีหน้าลังเล หลิวยุ่นฉานจึงดึงปิ่นปักผมที่ทำจากทองคำมอบให้โดยไม่ลังเล
“สิ่งนี้เป็นมัดจำก้อนแรก ถ้าหากท่านทำสำเร็จข้าจะให้เพิ่มอีกสามเท่า และขอให้ท่านช่วยแค่ครั้งเดียวเท่านั้น” นัยน์ตาหงส์มองอย่างอ้อนวอนขอร้อง จนทำให้ท่านหมอใจอ่อนพยักหน้าจำใจรับปากคุณหนูใหญ่
ก่อนส่งคนกลับไป หลิวฝานก็กำชับท่านหมอว่าห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจวนเสนาบดีฝ่ายขวาจะไม่อยู่นิ่งเฉยถ้าเกิดข่าวที่ไม่ดีขึ้นในช่วงนี้ ท่านหมอพยักหน้ารับแต่แววตากลุ้มใจมากซึ่งระหว่างนั้นอาอิ๋งก็ลงครัวทำโจ๊กและกับข้าวที่คุณหนูชอบด้วยตัวเอง
“กลิ่นหอมอะไรน่ะ” แน่นอนว่าหลิวยุ่นฉานชอบกินข้าวมากที่สุด แม้ว่านางเพิ่งจะกินขนมไปไม่น้อยแล้วก็ตาม
“ของโปรดคุณหนูเจ้าค่ะ” สาวใช้ยิ้มกว้างพร้อมกับวางอาหารลงบนโต๊ะจัดเรียงให้เรียบร้อย หลิวยุ่นฉานน้ำลายสอมองตาไม่กะพริบ ไม่อาจห้ามความต้องการของร่างกายได้ไหว
“คุณหนูต่อไปนี้อยากกินอะไรบอกข้าได้เลยนะเจ้าคะ” อาอิ๋งกระซิบบอก
“ท่านแม่อนุญาตแล้วหรือ” หลิวยุ่นฉานถามด้วยสีหน้าแปลกใจ
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” แล้วสาวใช้ก็เล่าเรื่องที่รู้มาให้คุณหนูฟัง และนั่นก็ยิ่งทำให้หลิวยุ่นฉานไว้ใจพี่ชายคนนี้ อย่างน้อยเขาก็ไม่น่าคิดร้ายต่อนางเลยทำให้เย็นวันนั้นเป็นวันแรกที่กินข้าวอิ่มที่สุดในชีวิต
ณ ตำหนักบูรพา
“นางเสนอให้เจ้าสามเท่า เช่นนั้นข้าก็จะให้มากกว่านั้นอีกห้าเท่าจงปล่อยข่าวออกไปว่าคุณหนูใหญ่สุขภาพแข็งแรงดีพร้อมที่จะมีบุตรให้รัชทายาท” หลี่ซู่เฟิงยกมุมปากแสยะยิ้มเล็กน้อย แล้วก้มมองปิ่นทองคำในมือที่เพิ่งได้มาจากองครักษ์
“ขอบพระทัยองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” ท่านหมอรีบก้มหน้าลงตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว แล้วค้อมตัวถอยหลังออกจากเรือนไปด้วยความนบนอบ จากนั้นขันทีก็พาเขาออกจากตำหนักบูรพาทางประตูด้านหลัง
“จำเป็นต้องปล่อยข่าวลือทำนองนี้ด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ข้างกายเอ่ยถามด้วยความสงสัย บุรุษองอาจซึ่งยามนี้สวมเพียงเสื้อตัวในสีดำก็เหลือบตามององครักษ์ด้วยความไม่สบอารมณ์ พวกเขาสองคนสนิทสนมกันเหมือนดั่งสหาย ทว่าก็ยังเป็นเจ้านายและลูกน้อง
“ถงอี้...” น้ำเสียงที่รัชทายาทใช้เรียกนั้นดูห่างเหินและจริงจัง
หลี่ซู่เฟิงดึงสายตากลับมาแล้วจ้องมองปิ่นทองคำของหลิวยุ่นฉานด้วยสายตาที่ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ
“พ่ะย่ะค่ะ” ถงอี้เริ่มรู้แล้วว่ารัชทายาทไม่พอพระทัยที่ถามเรื่องที่ไม่ควรถาม
“เจ้ารีบส่งคนไปจับตาดูคุณหนูใหญ่ไว้ให้ดี นางกล้าทำเรื่องแบบนี้ลับหลังหลิวฝาน คงคิดทำลายเส้นทางความเจริญก้าวหน้าของพี่ชายต่างสายเลือดอยู่แน่ ๆ” หลี่ซู่เฟิงแค่ห่วงใยสหายร่วมเรียนที่เป็นเหมือนสหายร่วมเป็นตาย ความจริงเขาก็ไม่ได้เต็มใจอภิเษกสมรสกับหลิวยุ่นฉานเท่าไรนัก สตรีที่เป็นแค่บุตรบุญธรรมไม่ใช่สายเลือดแท้ของเสนาบดีฝ่ายขวา แต่ไม่ว่านางจะเป็นคนตระกูลใดเพียงแค่เกี่ยวพันกับหลิวฝานก็ถือว่าคู่ควรกับเขาได้แล้ว
ถงอี้เลิกคิ้วขึ้นแต่ก็ไม่กล้าสอบถามอะไรอีกทั้งที่ในใจรู้สึกสับสนและคับข้องใจ ในเมื่อรัชทายาทหมายความว่าเพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคุณชายหลิว ดังนั้นเขาควรขัดขวางคุณหนูใหญ่ไม่ให้ทำลายชื่อเสียงของตนเอง ที่ซึ่งต่อไปในอนาคตอาจจะกระทบกับชื่อเสียงจวนเสนาบดีฝ่ายขวาทั้งหมดด้วย
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
และคืนนั้นก็เป็นคืนแรกที่หลิวยุ่นฉานข่มตานอนหลับลงเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น คนเราเมื่อท้องอิ่มใจเริ่มคลายกังวล ร่างกายได้รับการดูแลที่ดีขึ้น ความตึงเครียดก็ได้รับการเยียวยา ร่างบางหลับสนิทเหมือนร่างไร้วิญญาณกระทั่งอาอิ๋งมาปลุกให้ตื่นนอนในช่วงเช้าเพื่อลองชุดแต่งงาน
“เคยลองชุดไปแล้วมิใช่หรือ” แน่นอนว่าหลิวยุ่นฉานนั้นไม่อยากลองชุดใหม่ นางไม่ได้อยากแต่งงานกับคนคนนั้นสักหน่อย
อาอิ๋งมีสีหน้าวิตกกังวลเนื่องจากช่วงนี้คุณหนูกินมากกว่าปกติหลายเท่า เกรงว่าชุดที่เคยลองเมื่อเดือนก่อนอาจจะต้องมีการแก้ไข
“แต่ว่า...” สาวใช้ไม่กล้าพูดเซ้าซี้แต่แววตาอ่านง่าย หลิวยุ่นฉานรู้ว่าอาอิ๋งคิดเรื่องอะไรอยู่เลยพยักหน้าว่าลองชุดใหม่ก็ได้
สตรีโฉมสะคราญหายไปหลังฉากกั้นระหว่างห้องนอนและห้องแต่งตัว จากนั้นก็เดินออกมาหมุนกายรอบหนึ่งให้สาวใช้สำรวจดู
“ก็ยังใส่ได้นะ เพียงแต่อึดอัดที่หน้าอกสักหน่อย” หลิวยุ่นฉานพูดยิ้ม ๆ และมองตัวเองที่สวมชุดแต่งงานเป็นครั้งแรกในคันฉ่องทองเหลือง ความงดงามนั้นทำให้ใจของคนที่อยากยกเลิกงานแต่งใจเต้นแรง สำหรับการแต่งงานเคยเป็นสิ่งที่สตรีใฝ่ฝันมาก่อน
“คุณหนูต้องลดปริมาณการกินลงแล้วนะเจ้าคะ ขอแค่ให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อน” อาอิ๋งอดไม่ได้ที่จะบ่นตามประสาคนที่เป็นห่วง เนื่องจากคุณหนูใหญ่นั้นเป็นคนน้ำหนักตัวขึ้นง่ายจึงทำให้ฮูหยินใหญ่ต้องเข้มงวดเรื่องนี้
หลิวยุ่นฉานไม่รับปากกลับยิ้มจนถึงดวงตาเพราะว่านางคิดออกแล้วว่าจะเลื่อนงานแต่งออกไปอย่างไรดี เอาไว้ให้มีข่าวลือออกมาก่อนว่านางมีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงป่วยเป็นโรคร้ายแรง ถึงตอนนั้นค่อยเพิ่มน้ำหนักตัวขึ้นสักหน่อย เนื่องจากรูปร่างคุณหนูใหญ่ในตอนนี้ผอมแห้งไม่มีน้ำมีนวลซึ่งเข้ากับสถานการณ์พอดี
“ก็ได้...ชุดนี่เจ้าก็ไม่ต้องส่งไปแก้ไขหรอก เดี๋ยวน้ำหนักข้าก็ลดลงแล้ว” สตรีรีบไปเปลี่ยนชุดกลับมาเป็นชุดลำลองตามเดิม จากนั้นก็เดินมาจิบชาและกินอาหารเช้ารองท้อง วันนี้นางอยากออกไปข้างนอกจึงให้คนไปแจ้งพี่ใหญ่
ส่วนหลิวฝานที่ช่วงนี้ไม่มีงานอะไรให้ทำก็นั่งอ่านหนังสือและฝึกเดินหมากทุกวันเพื่อไปท้าแข่งกับรัชทายาทในยามที่มีโอกาส ขณะที่กำลังพักผ่อนก็มีสาวใช้มาแจ้งข่าว