เธอที่ฉันแคร์

1358 คำ
เธอที่ฉันแคร์          “งอน นายกรเหรอ”          “สรไม่ได้งอน…” เท้าเรียวหยุดชะงักและหันกลับมาคุย เมื่อเห็นว่าพี่ชายลุกตามเธอมาด้วย “ว่าแต่พี่วินจะกลับที่พักเลยหรือเปล่า” เสียงนุ่มหากแต่สั่นจนจับน้ำเสียงได้ ประหม่าเกรงกลัว แม้จะรู้สึกเห็นใจน้องสาว หากแต่ก็เหมือนน้ำท้วมปาก ยอมให้ทุกอย่างดำเนินต่อไป          “ว่าจะกลับ” คำตอบทำให้หน้าหวานหุบเศร้าไปอีก มือหนาจึงยกขึ้นตบไหล่มนเบาๆ อย่างให้กำลังใจแล้วเอ่ยขึ้น          “อย่ากลัว ในสิ่งที่เราไม่รู้แน่” เขารู้ ที่นี่ไม่มีใครทำอันตรายภัศสร แม้แต่ชายหนุ่มที่ทำให้น้องสาวเขาหวั่นเกรงอยู่ในขณะนี้          “สรไปพักกับพี่ไม่ได้เหรอ” ใบหน้าหวานเศร้าเอ่ยเบาๆ ใบหน้าคมเข้มส่ายหน้าช้าๆ          “อยู่ที่นี่ เตรียมตัวเป็นเจ้าสาวที่ดี พี่รู้ว่าน้องสาวพี่แข็งแกร่งแค่ไหน สรจะต้องผ่านไปได้”          “แต่...”          “ไม่มีแต่” น้ำเสียงเด็ดขาด หากคนฟังรู้ว่าพลังเสียงนั่นเต็มไปด้วยความห่วงใย ใบหน้าหวานหม่นลง ภาวินถอนหายใจก่อนจะกลืนระดับน้ำเสียงก่อนหน้านั้นลง “เดี๋ยวยังไงหากพี่เคลียร์งานได้ พี่จะมาบ่อยๆ จนถึงวันงานเลยนะ...โอเคมั้ย?” คำบอกกล่าวเชิงสัญญา เรียกรอยยิ้มน้อยๆ ของน้องสาวขึ้นมาได้บ้าง คำพูดของสองพี่น้องทำให้ปานวาดที่เดินออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจแอบฟัง รู้สึกสะท้อนใจ นางภาวนาให้ลูกชายเธอเปลี่ยนจากเฉยชา ปากร้าย มารักและแสดงกิริยานุ่มนวลกับภัศสรให้ได้! “จะกลับแล้วหรอ” นางตัดสินใจเดินเข้ามาทำลายความตึงเครียดของสองพี่น้อง  ทั้งคู่หันมองบุคลที่เพิ่งเดินเข้ามา “ครับ ยังไงผมต้องฝากน้องภัศสรด้วยนะครับ” “แหม้... ไม่ต้องฟงต้องฝากหรอก ถึงยังไงฉันต้องดูแลหนูสรยิ่งกว่าไข่ในหินแน่นอน” “ครับ” ความรู้สึกที่เชื่อมั่นใน มณีพรรณต่อธรรมราช ทำให้ภาวินเชื่อมั่นเกินร้อย แม้จะไม่ได้ฟังจากปากของเพื่อนที่ต้องทำหน้าที่ตรงนี้โดยตรง! ภัศสรยืนรอจนรถพี่ชายขับรถเคลื่อนหายไปแล้ว เธอจึงหันหลังเดินกลับเข้าด้านใน เมื่อคุณปานวาดขอตัวไปทำธุระก่อนหน้านั้น หากแต่เมื่อเธอผันกลับมา ก็พบว่า ผู้ชายที่ตั้งตัวเป็นปริปักษ์กับเธอ กำลังยืนมองเธออยู่ด้านหลัง ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ระยะห่างแค่คืบ ทำให้เธอได้รับรู้ถึงกลิ่นไอของบุรุษเพศที่ผสมกับกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆสำหรับผู้ชาย ใจดวงน้อยเกือบหล่นไปอยู่ตาตุ่ม! “เอ่อ... ขอโทษค่ะ” เธอกล่าวแล้วรีบเบี่ยงตัวหนี เมื่อคิดว่าตัวเอง เป็นฝ่ายหันมาไม่ดูตาม้าตาเรือ หากแต่แขนหนากับยื่นมากั้นไว้ ภัศสรเงยหน้ามองคนรั้ง หัวใจหล่นหายลงไปอยู่ตาตุ่ม และตามมาด้วยอาการชาวาบ รู้สึกเลือดในกาย ค่อยๆ เริ่มจับตัวกันเป็นกลุ่มก้อน อีกทั้งสายตาคู่นั้น มองเธออย่างเหยียดหยัน!จนเธอไม่อาจขยับเขยื้อนไปไหนได้  “หึ...ทำไม เห็นหน้าว่าที่สามีถึงกับทนมองไม่ได้หรือไง หรือใบหน้าของฉัน ไม่น่าพิศวาสเมือนครั้งนั้น” คำถากถางตามมา เจ็บหนักกว่า ทำให้เท้าเรียวบางถึงกับตรึงอยู่กับที่ และเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังโยงเรื่องนี้ ไปยังอีกเรื่องเมื่อสองปีก่อน คงคิดว่าการเข้าไปหาเขาครั้งนั้น เป็นเพราะเธอพิศวาสเขาสิท่า คนบ้า... หาเรื่องกันชัดๆ แถมหลงตัวเองอีกต่างหาก! “ขอโทษนะคะ หากการกระทำของสร ทำให้คุณคิดเช่นนั้น” เธอกล้าสบตา คนตัวโต หลงตัวเองมากขึ้น “หรือไม่จริง” คนพร้อมหาเรื่อง สืบเท้าเข้าไปหา เหมือนต้องการคำยืนยัน นัยน์ตากลมโตไหวระริกแล้วก้าวถอยหลังเมื่ออีกฝ่ายมีท่าทีคุกคาม “มะ ไม่จริง” เสียงหวานสั่นไหวตอบกลับโดยดึงความกล้าลดหายไปด้วย “ไม่จริง... เพราะเธอพิศวาสฉัน” เขายืนยัน ใบหน้าหวานจืดเจื่อน “...สรต้องขอตัวนะคะ” เมื่อคิดว่าแย้งไปก็คงไม่ชนะ เธอจึงไม่อยากเผชิญหน้ากับเขาอีก “คิดว่าฉันอยากรั้งเธอไว้หรือไง” คิ้วเรียวขมวดผูกปม มองใบหน้าหล่อเหลาไม่เข้าใจ ...หากไม่ต้องการรั้งเธอไว้ เพื่อพูดจาเสียดสี แล้วมาคุยด้วยทำไม? และเมื่อเธอนิ่งคิดอยู่นั้น เสียงห้วนก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ไปแต่งตัว ครึ่งชั่วโมงคงพอ” เรื่องที่เปลี่ยนไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาคนฟังตาเบิกกว้าง แล้วค่อยๆ ถามกลับ “ปะ ไปไหน?” คนตัวโตกรอกตาไปมาแล้วทำเสียงหายใจฟิดฟัด ประหนึ่งรำคาญ การที่หล่อนยืนอยู่นิ่งๆ เขาก็รู้สึกขัดนัยน์ตาอยู่แล้ว ยิ่งหล่อนทำหน้าเหมือนเด็กขี้สงสัย ทำให้เขายิ่งขัดเคืองใจยิ่งกว่า “ไปสิ ยืนบื้ออยู่ได้” เขาไล่ซ้ำพร้อมคำจิกแสบๆ คันๆ ยิ่งทำให้คนไม่เข้าใจหน้าเผือดสี คล้ายจะร้องไห้เสียให้ได้ “ตากร…” เสียงเรียกถามทำให้หนุ่มสาวเลิกสนใจกัน “บอกน้องไปหรือยังว่าจะพาไปลองชุดเจ้าสาว” ปานวาดที่กลับจากสั่งงานเด็กรับใช้ ถามในสิ่งที่นางได้กำชับลูกชายไว้ก่อนที่จะลุกจากโต๊ะอาหาร “ก็กำลังใช้ให้ไปแต่งตัว... แต่ดูลูกสะใภ้คุณแม่ไม่ค่อยอยากไปกับผมเท่าไหร่” เขาหันไปบอกมารดาพร้อมเหลือบมองหญิงสาวที่ยืนก้มหน้าและกุมมือเข้าด้วยกัน คำบอกกล่าวของปานวาดและคำตอบเชิงต่อว่าของฝ่ายชาย ทำให้ภัศสรกระจ่างขึ้น ก่อนจะปรับความรู้สึกให้กลับมาเหมือนเดิม... สบตาหญิงสูงวัย  “จริงหรือ หนูสรไม่กล้าไปกับพี่กรหรือจ๊ะ…” นางสบตากลับ พร้อมกับถามความรู้สึก ไม่แปลกที่ภัศสรจะกลัวลูกชายนาง “หรือจะให้แม่ไปด้วย” นางรู้สึกเห็นใจสาวสวยไม่น้อย ทีแรกนางอยากให้ทั้งสองได้มีเวลาอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง เพื่อสร้างความคุ้นเคย หากตอนนี้นางเริ่มคิดใหม่ คำพูดของมารดาที่ดูจะเอาใจลูกสะใภ้ทำเอาลูกชายทำเสียงจิ๊จ๊ะ “หากคิดว่ายังเด็กนัก ก็ไม่ต้องแต่ง...” “ตากร!” เสียงหวานแหลม พร้อมสายตาดุดัน ทำให้ปากที่อ่า หุบฉับ อารมณ์พุ่งเพิ่มเป็นเท่าตัว โธ่แม่ดุอีกอ่ะ... เขาค้อนขอดอยู่ในใจ แต่สายตาพาลเหลือบไปยังบุคล ที่เขาคิดว่าเป็นตัวต้นเหตุให้เขา ถูกพิพากษาทางสายตา ที่ช่วงนี้เขาโดนผู้เป็นแม่ดุอยู่บ่อยครั้ง “หนูสรอย่าไปถือสาคนปากเสียเลยนะลูก” ปานวาดกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาคล้ายขอโทษแทนลูกชายไปในที คนโดนกระทบ จิกตาไปยังคนต้นเหตุ ภัศสรก้มหน้าหลบสายตาเหมือนเธอเป็นคนผิดเสียเอง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆและหันไปคุยกับผู้สูงวัยกว่า “ค่ะ คุณแม่ ...” เธอตอบกลับ เหมือนคำพูดชายหนุ่มที่ผ่านมาไม่ได้สำคัญกับความรู้สึกเธอมากนัก “สรไปกับคุณกรก็ได้” เธอตอบออกไปในที่สุดเมื่อดูท่าทีอีกฝ่ายแล้ว เธอคงโดนหมายหัวไปมากกว่านี้ หากเธอยังไม่ให้คำตอบออกไป “เรียกพี่กรสิจ๊ะ” นางบอกเบาๆ ด้วยสายตาเอ็นดู สายตาคมที่เต็มไปด้วยความหวั่นไหวเหลือบมองชายหนุ่มเพื่อให้แน่ใจว่าเธอเรียกอย่างนั้นได้จริงหรือ เมื่อมั่นใจว่าสายตานั่น ไม่ได้แต้มด้วยความรู้สึกเห็นด้วยหรือปฏิเสธใดๆ ออกมา เธอจึงเพียงพยักหน้ารับไว้ และเมื่อคุยกันเข้าใจ ภัศสรจึงขอตัวขึ้นไปแต่งตัว โดยณภกรณ์ยังกล่าวไล่หลังอีกว่า “เหลือแค่15 นาทีเท่านั้นนะ โอ้ยแม่!...” แล้วเสียงเนื้อกระทบเนื้อที่มาพร้อมกับเสียงโอดครวญก็ดังตามมา โดยที่เธอไม่สนใจหันกลับไปมอง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม