อยากให้คนรัก ก็ทำตัวให้น่ารักซิ
“เธอทำให้ฉันเป็นลูกนอกสายตาของแม่แล้วนะ” ชายหนุ่มที่ถูกตามใจมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เริ่มประโยคแรกหลังจากที่นั่งเงียบกันมานานภายในรถยนต์คันหรูคู่ใจของเขาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
เธอเหลือบมองหน้าเขานิดหนึ่งก่อนจะหันไปทิศทางเดิมเหมือนไม่ใส่ใจ “อ้าว!...” คนหงุดหงิดอยู่แล้วจึงโพลงขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำหนักเสียงเข้มกว่าเก่า “ข้างนอกมันน่าสนใจมากกว่าผมหรือไง”
คำถามนั้น ทำให้ภัศสร รู้สึกขำอยู่ในใจ มุมปากกระตุกแย้มน้อยๆ และเป็นช่วงจังหวะเดียวกันที่ณภกรณ์เหลือบสายตามาเห็นพอดี
“หัวเราะเยาะผมหรอ?” เขาเข้าใจเป็นอย่างนั้น ใบหน้าหวานที่แต่งแต้มไว้บางๆหากแต่สวยน่ามองหม่นลง
“สรไม่ได้หัวเราะเยาะคุณ… เออพี่กรนะคะ” เสียงหวานสะดุดตอบออกไปเบาๆ เพราะเธอไม่ได้มีเจตนาหัวเราะเยาะอย่างที่เขาเข้าใจ
“แล้วยิ้มทำไม” สายตาขุ่นข้นต้องการคำตอบ ภัศสรถอนหายใจกับความเจ้าแง่ของเขา ก่อนจะตัดใจตอบไป
“สร ยิ้มเพราะเห็นความน่ารักของคุณ...ว้าย!” ภัศสรไม่คิดว่าคำตอบนั้น จะทำให้ตนเองเจ็บตัว เพราะหลังจากนั้น เธอก็กระเด็นไปชนกับคอนโซลหน้ารถอย่างจัง กับแค่คำประชด!
ณภกรณ์แตะเบรกอย่างลืมตัว ถึงกับหน้าถอดสีก่อนจะค่อยๆ ชะลอรถเบนเข้าข้างทางและจอดสนิทนิ่ง
“เป็นไงบ้างเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” น้ำเสียงร้อนรนเอ่ยถาม พร้อมกับเอี้ยวตัว ยื่นสองมือหนากุมหัวไหล่มนไว้ ซึ่งนั้นเขาเองก็ไม่รู้ตัว ว่าได้แสดงความห่วงใยออกไป
เขาห่วงเธอด้วยเหรอ? อาการของชายข้างกายทำให้เธออดคิดไม่ได้
“มะ ไม่เป็นไร” แล้วเธอก็พยายามปรับน้ำเสียงที่ยังตกใจ ให้กลับมาเป็นปกติ พร้อมกันนั้นมือเรียวลูบไปบนต้นแขนปอยๆ เมื่อขยับนั่งเข้าทีเรียบร้อย โดยคนที่รู้ตัวว่าผิด ใช้สายตาสำรวจร่างบางข้างกาย เพื่อให้แน่ใจแก่สายตาอีกครั้ง
“แน่ใจนะ...เจ็บตรงไหนบอกผม ผมจะได้พาไปหาหมอก่อน” คนรู้สึกผิดหาทางไถ่โทษ หากแต่ใบหน้าหวานส่ายหน้ายืนยัน แค่เขาทำทีห่วงใยความปวดแปลบที่เพิ่งเกิดขึ้นก็อันตรธานหายไปสิ้น
เมื่อได้คำยืนยัน ว่าหล่อนไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ เขาจึงตัดใจไม่เซ้าซี้และเคลื่อนรถออกไป ในความเงียบยังมีเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะรัวให้วาบหวิวตลอดเส้นทาง
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถคันหรูก็จอดในบริเวณพื้นที่ สำหรับจอดรถลูกค้าในที่ ที่ทางร้านเสื้อจัดเตรียมไว้ ครั้นหันไปมองคนนั่งใกล้ ใบหน้านั้นไร้รอยยิ้มใดๆ แต่กลับทำสีหน้าบิดเบี้ยวคล้ายคนเจ็บปวดแต่พยายามเก็บอาการไว้
“เริ่มปวดแล้วใช่มั้ย” น้ำเสียงฟังดูอาทรกล่าวขึ้น ตากลมโตหันมอง ก่อนจะยิ้มบางๆ แล้วตอบขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายหายข้องใจ
“ค่ะ... ทีแรกไม่รู้สึกเจ็บเท่าไหร่ แต่ตอนนี้สรรู้สึกปวดที่ต้นแขน” ว่าแล้วเธอก็ยกมือทาบลงไป ตรงจุดที่รู้สึกปวด
ใบหน้าคมเข้มขมวดขึ้น ก่อนจะปล่อยเข็มขัดนิรภัยของตนเองแล้วเอี้ยวตัวมาหาหญิงสาวสุดตัว “ไหน ให้ผมดูหน่อย” เขากล่าว พร้อมกับจับต้นแขนข้างที่หล่อนจับอยู่ แล้วเลิกแขนเสื้อผ้าชีฟองขึ้น โดยไม่รอฟังคำอนุญาตจากเจ้าของ และด้วยสัญชาติญาณ ร่างบาง เกร็งตัวเอนหลบ ครั้นมองดูอีกที อีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาลวนลาม เธอจึงผ่อนคลายความรู้สึกกังวล จนเขาดูรอยช้ำจนพอใจ
“แย่ฉิบ!” เขาสบถเสียงเค้นจากลำคอ หัวเสีย พลอยให้ภัศสรหน้าเสียตาม เมื่อเห็นรอยคล้ำม่วง อมเลือดเท่าฝามือเด่นชัด เนื่องจากเธอเป็นคนผิดขาวอยู่แล้ว จึงดูชัดเจนจนน่ากลัว
“สรไม่เป็นไร” เธอตอบเมื่อเห็นรอยกังวลอยู่ในมีหน้าเขา มือหนาปล่อยแขนทันที และเปลี่ยนมาจ้องใบหน้าหญิงสาวที่ทำให้เขาเผลอแสดงความกังวลออกมา
“แน่ละสิคุณไม่เป็นไร แต่ผมนี่ล่ะจะโดนแม่ดุ” เขาว่าเสียงเครียด คนรู้ตัวเองหลบสายตาดุ
เถอะ! ที่แท้ก็กลัวแม่ดุ “คุณแม่ปานวาดจะไม่รู้ หากคุณไม่บอก”
ณภกรณ์หน้าตึง เขาไม่ได้ติดใจหากหล่อนจะว่าเขาปากโป้งหรือไม่ แต่คำเรียกขานมารดาที่หลุดมาจากปากว่าที่ลูกสะใภ้สุดรักของนางนั้นต่างหาก
“คุณเรียก แม่ผมว่าไงนะ?” แม้ว่าชัดเจนในคำเรียกขานแต่เขาอยากได้ยินจากปากเธออีกครั้ง
ใบหน้าหวานจืดเจื่อน “คุ คุณ มะ...”
“คุณแม่ คงดีใจทั้งน้ำตา...” น้ำเสียงขาดๆ หายๆ ทำให้รู้สึกขัดใจพิลึก จนเขาอดแทรกขึ้นไม่ได้ อีกฝ่ายกลืนคำที่จะตามมาลงคอ คิ้วขมวด มุมปากหนาจึงยกขึ้นก่อนจะหายไป “หากรู้ว่า ว่าที่ลูกสะใภ้ สุดที่รัก เรียกท่าน ว่าคุณแม่ ‘ปานวาด’ ช่างดูห่างเหินกับการกระทำสิ้นดี” น้ำเสียงนั้นฟังดูว่าประชดเต็มที่
“เอ่อ...คือ สรไม่ได้ตั้งใจเรียกท่านแบบนั้น แต่เพราะสรยังไม่สนิทใจเท่านั้น” เธอกล่าวเสียงอ่อน หากคนที่มองทุกอย่างเป็นเธอ ก็อคติอยู่แล้ว เปะปากหยัน
“มีหรือ คนอย่างเธอจะไม่สนิทใจ”
สายตาคมเข้มมองอย่างหยามเกียรติ ภัศสรรู้สึกหน้าร้อนผ่าว กรุ่นโกรธ หากแต่เก็บความรู้สึกนั้นไว้ให้ลึกที่สุด เพื่อหน้าที่ ที่สำคัญ เธอไม่ตั้งใจให้คำเรียกขานนั้นให้ดูหยาบคายหรือห่างเหินอย่างที่อีกฝ่ายคิด แต่เพราะเธอไม่อาจเอื้อมต่างหาก!
“ลงไปจากรถได้แล้ว” เขาสั่งพร้อมเปิดประตูรถแล้วปิดดังปัง!
ภัศสรสะดุ้งก่อนจะเปิดประตูรถคันหรูลงตามคนเจ้าคิดเจ้าแง่ลงไปในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยเธอเองก็ลืมอาการปวดแขนก่อนหน้านั้นไปสิ้น...