เกือบได้เป็นคนนอกสายตา
“อยู่ไหนตากร?” โทนเสียงที่ส่งออกมาจากต้นสาย คนฟังเดาก็รู้ว่าอยู่ในอารมณ์ไหน
“ที่ทำงานครับ” เขาไม่ใคร่ใสใจนัก หากแต่ต้นสายยิ้มกริ่มกึ่งโล่งใจ น้ำเสียงนั่น ไม่แสดงว่าหงุดหงิดจากสิ่งที่นางกำลังทำอยู่ หากแต่ก็ยังขุ่นเคืองที่วันนี้... เช่นเคย ลูกชายไม่ยอมกลับมานอนบ้าน
“ตอนเย็นกลับมาบ้านนะ หนูสรมาถึงแล้ว...” คำบอกกล่าวของนาง ทำให้คนปลายสายเงียบไป นางจึงเอ่ยต่อ “ตอนนี้แม่ปล่อยให้พักผ่อนอยู่บนห้อง”
พอนางเอ่ยจบ เสียงถอนหายใจก็ดังเล็ดลอดมาจากปลายสาย …โล่งอกหรืออึดอัดอย่างไร นางก็ไม่อาจรู้ได้ ก็ในเมื่อน้ำเสียงที่คุยมาก่อนหน้านั้น ไม่ได้บ่งบอกอาการ
“พี่ชายเธอคงแวะไปละ” อีกอึดใจเขาตอบกลับมา นางเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจและถามกลับ
“ก็พี่ชายนิ แล้วลูกล่ะ? ว่าที่เจ้าบ่าว ไม่กลับมาต้อนรับว่าที่เจ้าสาวหน่อยหรือ” นางถามไปนั้น ไม่หวังให้อีกฝ่ายตกปากรับคำ
“เจอกันวันงานเลยดีกว่าครับ” น้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อนเช่นเคย ทำให้นางได้แต่ถอดถอนหายใจ แค่ลูกชายไม่ดื้อรั้นหัวชนฝา ไม่หนีการแต่งงานครั้งนี้ นางก็พอใจแหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ภัศสรก็ยืนเหม่อมองไปนอกหน้าต่างชั้นสองของคฤหาสน์ ที่ได้รับคำบอกกล่าวจากว่าที่แม่สามี ‘นี้แค่ห้องนอนชั่วคราว’ ด้วยอารมณ์หลากหลายและดูเหมือนร่างกายไม่แสดงถึงความอ่อนเพลียจากการเดินทางแม้แต่น้อย เธอจึงมีสมาธิและเก็บรายละเอียดทุกอย่างที่เริ่มผ่านสายตาอยู่ในขณะนี้
ห้องนอนอย่างหรู ตกแต่งด้วยผ้าม่านเนื้อดีสีทอง เตียงขนาดห้าฟุต วางอยู่กลางห้องโดยออกแบบและจัดแต่งไว้อย่างห้องเจ้าหญิงในนิทานที่เธอชอบอ่านตอนเด็กๆ ในโทนสีเดียวกันกับผ้าม่าน โดยไม่คิดว่าชีวิตนี้เธอจะมีโอกาสได้เจอ
...นี่ขนาดแค่ห้องชั่วคราว หากห้องจริง จะเลิศเลอแค่ไหนหนอม…? คิดแล้วต้องกลืนน้ำลายลงคอ
...คนมีเงิน เสกสรรปันแต่งอย่างไรก็ได้ เธอคิดไป และเปรียบเทียบกับครอบครัวของเธอ แม้พ่อของเธอมีเงินให้เธอใช้จ่ายอย่างเหลือเฟือ หากแต่สิ่งไหนที่คิดว่าไม่จำเป็นพ่อของเธอก็ไม่อยากเสียเงิน จนดูกลายเป็นความตระหนี่ในบ้างครั้ง โดยบางทีเธอแอบคิดน้อยใจอยู่บ้างในสิ่งที่เธอเรียกร้องอยากได้ แต่ถูกห้ามไว้ด้วยเหตุผลร้อยแปดจากผู้เป็นพ่อ แต่หากเป็นเรื่องเสี่ยงโชคที่ท่านชอบ แค่เพื่อนเอ่ยปากชวน เท่าไหร่เท่ากัน แม้จะได้ไม่คุ้มเสีย!
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูห้อง ทำให้ภัศสรที่กำลังอยู่ในโลกแห่งความคิดของตัวเองสะดุ้งน้อยๆ แล้วเดินตรงไปยังประตูและเปิดออก
“อ้าว เภา เข้ามาก่อนสิ” แปลกใจไม่น้อยที่คนใช้ส่วนตัวของเธอไม่ได้พักผ่อนเช่นกัน
“คุณ ภาวินมาค่ะ” หล่อนไม่ได้เข้าไปในห้องตามคำเชิญชวน หากแต่ยืนรายงาน อยู่หน้าประตูห้อง ตามที่ได้รับคำสั่งมาอีกต่อ
หัวใจที่เหี่ยวเฉาอย่างต้นไม้ขาดน้ำ สดชื่นขึ้นทันที เมื่อได้ยินชื่อของพี่ชายตนเอง ก่อนจะถามขึ้นด้วยสีหน้าใคร่รู้เต็มที่ “จริงเหรอ แล้วตอนนี้อยู่ไหนล่ะ?”
“นั่งคุยอยู่กับคุณปานวาดที่ห้องรับแขกค่ะ”
ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเตรียมตัวก้าวออกไป หากแต่ถูกเภาดักขึ้นเสียก่อนว่า “แต่เภาไม่เห็นคุณณภกรณ์เลยนะคะ”
เท้าเรียวหยุดชะงักและตรึงอยู่กับที่ ก็เขาไม่สนใจเธอนิ! “ช่างเขาประไร แค่พี่ภาวินคนเดียว สรก็ดีใจที่สุดแล้ว” เธอตอบเสียงเรียบนิ่ง หากแต่รู้สึกหัวใจปวดแปลบพิกล ก่อนจะสลัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป
เภายิ้มบางๆเสมือนเข้าใจความรู้สึกอีกฝ่าย ก่อนจะถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพื่อให้คนด้านในเดินสวนออกไปอย่างสะดวกขึ้น
เท้าเรียวก้าวไปยังจุดหมายโดยไม่มีใครนำทาง ก็ครั้งที่เดินเข้ามา หากเดาไม่ผิด คงจะเป็นห้องรับแขก ซึ่งเธอเคยเดินผ่านมาแล้ว
“พี่ภาวิน...” และเป็นจริงอย่างที่เธอคิด เมื่อพี่ชายนั่งอยู่ในห้องรับแขกนั่น โดยอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเทาแขนยาว หากถลกขึ้นมาอยู่ถึงข้อศอก โดยแนคไทถูกรูดไว้หลวมๆ แสดงให้เห็นว่าชุดที่พี่ชายเธอสวมใส่ เป็นชุดทำงาน แต่เวลานี้ ไม่ใช่เวลาเลิกงาน!
“คิดถึงพี่ชายจัง” เธอกล่าวพร้อมกับเดินเข้าไปสวมกอดเอวหนา และกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงอ่อยลง “จีบสาว จนลืมน้องนุ่งไปหรือเปล่าเนี่ย” แกล้งว่าไป ตอนนี้เธอรู้สึกปลอดภัย ยามอยู่ใกล้พี่ชาย ก่อนจะซบใบหน้าลงบนไหล่กว้าง ที่เจ้าตัวลุกขึ้นยืน รอรับอยู่
ริมฝีปากหนาคลี่ยิ้มพร้อมกับยกมือขึ้นลูบไปบนศีรษะที่มีผมนุ่มสลวยปกคลุมอยู่ แม้จะโตเต็มสาวใกล้มีครอบครัว หากแต่น้องสาว ก็ยังไม่โตไปจากความรู้สึกพี่ชายอย่างเขา
...อาการหล่อนเหมือนเด็กน้อยต้องการความอบอุ่นและปกป้องอย่างไรอย่างนั้น
“มีที่ไหน” เขาถามกลับและเปลี่ยนเรื่อง “คิดถึงพี่ชาย เพราะไม่มีใครให้คิดถึงหรือเปล่าเนี่ย?”
“หือ ใครว่า ก็มีกันอยู่แค่นี้ จะให้คิดถึงใครได้” เธอว่าเสียงเง้างอด ส่งค้อนให้ตาคว่ำ และซักถามกันไปมาเหมือนคนไม่ได้เจอกันนาน
อาการของสองพี่น้องตกอยู่ในสายตาของเจ้าของบ้าน คนสูงวัยยิ้มกับอาการของสองพี่น้องที่แสดงถึงความรักที่มีต่อกันอย่างไม่มีความตะขิดตะขวงใจต่อสายตาคนนอก โดยเภายืนอยู่ในท่าทางสงบเสงี่ยมอยู่อีกมุมไม่ไกล