ตีสี่...อีกไม่กี่ชั่วโมงตะวันก็จะวนเวียนโผล่ขึ้นมาตรงขอบฟ้าอีกครั้งแล้ว ชายหนุ่มโยนก้นบุหรี่ในมือทิ้งเมื่อเห็นร่างคุ้นตาเดินออกจากกระท่อมหลังใหญ่สุด ซึ่งหลายๆ คนในกลุ่มจะรวมตัวอาศัยกันอยู่ที่นั่น มีแค่เขากับลุงแสงที่แยกออกมามีที่พำนักเป็นของตัวเอง เพื่อจะได้ประหยัดวัสดุธรรมชาติในการนำมาใช้ก่อสร้าง
เมื่อยู่ในป่าก็ต้องรู้จักบุญคุณป่า ปกป้องป่า...
เขาเรียนรู้เรื่องเหล่านี้มาจากลุงแสงมาตลอดหลายปี และมันก็เป็นจริงอย่างที่ลุงแกบอกทุกอย่าง
ลุงแสงเคยเป็นพรานมือฉมังมาก่อน ผืนดงพงไพรเปรียบเสมือนเลือดเนื้อในกายของแก อาจเป็นเพราะความรักและศรัทธาในธรรมชาตินี่แหละเขาและลุงแสงจึงสามารถรอดชีวิตมาได้และมีลมหายใจมาจนถึงทุกวันนี้
“คุณแดนนอนไม่หลับเหรอครับ อืม...หนาวชะมัดเลย” เพิกเดินใกล้เข้ามาปิดปากหาววอดๆ แล้วกอดกายพ่นลมหายใจอุ่นๆ บรรเทาความเย็นยะเยือกในช่วงฟ้าใกล้สาง
“จะเช้าอยู่แล้วเลยตื่นมานั่งคุยกับลุงแสง แล้วก็รอนายอยู่นี่แหละ”
“ครับ...งั้นผมขอตัวไปทำงานก่อนนะ อยู่เฉยๆ มันหนาวจนอยากกลับไปมุดผ้าห่มอีกรอบแล้วเนี่ย”
“ตามสบาย” แดนสรวงยิ้มให้กับลูกน้อง ต่างคนต่างแยกย้ายกันตัวเขาก็หยิบซองยาที่ลุงแสงทิ้งไว้ให้แล้วลุกเดินกลับขึ้นไปบนกระท่อม
ด้านในมีแสงสลัวจากคบไฟที่ส่องเล็ดลอดเข้ามาเล็กน้อยทำให้เขาเห็นร่างเล็กที่นอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มยังคงหลับสนิท
เธอไม่ได้มีไข้อย่างที่ลุงแสงกังวล แต่ก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลยตั้งแต่เขาพากลับมา แต่ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรนัก
เขารอได้...รอให้เธอตื่นขึ้นมาเพื่อรับรู้ความเจ็บปวดสาหัสในหัวใจเขาไม่ต่างกัน
“กรี๊ด!” เสียงแหลมกรีดร้องด้วยความตกใจเมื่อจู่ๆ ก็เกิดอาการจุกเจ็บกะทันหัน เธอตื่นจากนิทรากลางคัน ลืมตามองไปรอบๆ อย่างหวาดผวา
ร่างของเธอลงมานอนกองอยู่บนพื้นในสภาพมีผ้าห่มห่อพันรอบกาย สายตาสาดมองไปรอบๆ ก็เห็นร่างใหญ่ในฝันร้ายยืนเท้าสะเอวอยู่บนกระท่อมไม้ไผ่ เหนือศีรษะของเธอ
“ตื่นได้แล้ว อย่ามาทำตัวขี้เกียจสันหลังยาวที่นี่ เธอมีงานต้องทำ”
“...” มาเรียมเริ่มคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา ดวงตาแดงก่ำกลอกกลิ้งคลอหน่วยสติเต็มไปด้วยความสับสน เธอไม่ได้ฝันไป...ความเลวร้ายที่เกิดขึ้น ก่อนทุกอย่างจะดับวูบมันคือความจริง
เธอได้ถูกพรากเอาความสาวที่ควรหวงแหนไปเสียแล้วด้วยความโหดร้ายทารุณ...
“ไปอาบน้ำ...นี่เสื้อผ้าของเธอ!”
“โอ๊ย!” ยังไม่ทันขาดคำ เสื้อผ้าสีมอซอก็ถูกปาใส่หน้าจนหญิงสาวต้องหันหน้าหลบอัตโนมัติ แต่มันก็ยังโดนอยู่ดี เธอไม่มีเวลาในการตั้งสตินานนัก ร่างเล็กสั่นเทาค่อยๆ คลายผ้าห่มออกแล้วรวบเก็บเสื้อผ้าที่เขาโยนให้มากอดเอาไว้ เหลือบมองผู้ชายที่ทำร้ายเธอซึ่งกำลังก้าวเท้าเหยียบบันไดลงมา
เขาเดินผ่านตัวเธอไปแล้วส่งสัญญาณมือให้เดินตาม มาเรียมรู้ดีว่าไม่มีทางเลือกอื่นให้เธอเลย รอบๆ นี้คงมีคนอื่นๆ ที่เธอพบเจอก่อนหน้าคอยควบคุม
ไม่มีทางที่เธอจะหาทางหนีได้ง่ายๆ เลย หญิงสาวสำรวจพบว่าเธอไม่ได้สวมเสื้อผ้าของตัวเองแล้ว และความรู้สึกก็บอกให้รู้ว่าภายในร่มผ้านั้นไม่มีชุดชั้นในสวมทับแม้แต่ชิ้นเดียว พอจะนึกออกว่ามันถูกเขาทำลายไม่เหลือชิ้นดีตั้งแต่ตอนนั้น ยับเยิน...ไปพร้อมๆ กับชีวิตทั้งชีวิตของเธอ
“เร็วสิ...” ชายหนุ่มหันมาตะคอกเสียงเข้ม ใบหน้ารกครึ้มเต็มไปด้วยหนวดเคราของเขาหันมองด้วยสายตาดุดัน
มาเรียมรีบก้าวเท้าตามทันที ความรู้สึกร้าวระบมไปทั้งสรรพางค์กาย ทำให้เธอไม่อาจเร่งฝีเท้าได้เร็วนัก
แดนสรวงพาเธอลัดเลาะห่างจากที่ตั้งฐานมาพอสมควร หญิงสาวพอจะจำได้ว่ากระท่อมตรงนั้นไม่ใช่ที่ที่เธอถูกนำมาขังเอาไว้ในตอนแรก ตรงนี้มีเนื้อที่กว้างกว่าและมีกระท่อมอยู่มากกว่า เหมือนจะเป็นที่อยู่อาศัยถาวร ส่วนกระท่อมแรกนั้นเหมือนจะเป็นที่พักชั่วคราวความเย็นยะเยือกทำให้เธอกอดตัวแน่น
แม้ตะวันจะแผดแสงจ้าทำให้รู้ว่าเวลานี้คงสายมากแล้ว แต่ในป่าในดงกลับยังคงสภาพอากาศชื้นเอาไว้ได้อย่างดี ยิ่งเสียงน้ำดังใกล้เข้ามา อุณหภูมิก็เหมือนจะยิ่งต่ำลงทุกทีๆ