“คุณแดนแน่ใจนะครับว่าจะบุกกันไปเล่นงานพวกมันเลย”
“แน่เสียยิ่งกว่าแน่อีกลุงแสง” ชายหนุ่มยกบุหรี่ขึ้นดูดแล้วพ่นควันขาวฟุ้ง เขานั่งหารืออยู่กับลุงแสงเพียงสองคน ส่วนที่เหลือก็พักผ่อนเอาแรง วันสองวันมานี้พวกเขาต้องเหน็ดเหนื่อยกันพอสมควรกับภารกิจสำคัญ
“แต่เราจะแน่ใจได้ยังไวว่าพวกมันใช้เส้นทางนั้นจริงๆ วันก่อนพวกมันบุกมาถึงรังเราก็ถูกเก็บเสียหลายคน เมื่อวานก็มีพวกว้าปะทะกับคนของเราอีก มันไม่รู้ตัวกันแล้วเหรอครับ”
“มันไม่รู้หรอกว่าพวกไหนเป็นพวกไหน...ก็ไม่มีใครกลับไปส่งข่าวให้มันนี่จริงไหมลุง ถ้าเราไม่รีบฉวยโอกาสที่มันก็ระแวงไม่แน่ใจว่าเราจะเอายังไงกันแน่ แล้วปล่อยเวลาชักช้ากว่านี้พวกแกนนำคงหาทางอื่นลำเลียงของเข้าไทย ทางที่สายบอกกับเรากว่าจะสืบรู้ก็กินเวลาตั้งหลายเดือนแล้วจะรออะไรอยู่”
“ผมเป็นห่วงครับ...พวกมันคงเตรียมการป้องกันไว้อย่างดี” ลุงแสงก้มหน้าแต่ไม่อาจซ่อนกิริยากังวลเอาไว้ได้
“ป่าทั้งภูมิภาคนี้ยังจะมีใครรู้ละเอียดเท่าลุง แม้แต่พวกมันเองก็มีจุดอ่อนตรงไม่จำนานป่านี่แหละที่เราจะเล่นงานได้”
“แล้วคุณผู้หญิงคนนั้นล่ะครับ...จะทำยังไง ขังไว้ในกระท่อมแบบนี้เหรอ”
“ผมจะพาไปฝากไว้กับอูซากับหมอพอวาที่หมู่บ้าน เผื่อว่าเรา...อาจต้องไปหลายวัน” หรืออาจจะไม่ได้กลับมา...ประโยคหลังเขาเลือกที่จะเก็บงำเอาไว้ไม่ปริปาก แต่ทุกคนก็รู้ดีอยู่แล้วว่ายามใดที่ต้องแบกปืนเข้าป่า
นั่นหมายถึงได้ยกชีวิตให้ป่าไปแล้วทั้งหมด หากได้กลับมาก็ถือว่าเป็นชะตาที่ลิขิตให้อยู่ต่อก็แค่นั้น
ไม่มีอะไรแน่นอนสำหรับทุจริตชน...
“จะไว้ใจได้เหรอครับ”
“ไม่เห็นต้องกลัวอะไร คนในหมู่บ้านก็คนของเราทั้งนั้น ลุงแสงอย่าห่วงเรื่องนั้นเลยผมจัดการเอง ว่าแต่คนของเราที่บาดเจ็บเป็นยังไงบ้าง พอจะไปด้วยกันไหวไหม” ชายหนุ่มชวนเปลี่ยนเรื่องยังคงดูดบุหรี่ไปเรื่อยๆ พอได้คลายความหนาวส่วนลุงแสงก็มีขวดสุราเป็นคู่ใจเหมือนดั่งเคย
“ค่อยยังชั่วแล้วครับ...ได้คนในหมู่บ้านดูแล แต่คิดว่าไม่น่าจะไหว”
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้พักเถอะ เสร็จงานครั้งนี้ผมเองก็อยากจะหยุดแล้วเหมือนกัน” ใบหน้ารกครึ้มเต็มไปด้วยหนวดเคราเงยขึ้นมองดวงดาวบนท้องฟ้าที่มองเห็นวูบไวเพราะมีใบไม้กิ่งไม้ปกคลุมอยู่
“ว่ายังไงนะครับ นี่ผมหูฝาดไปหรือเปล่า”
“ผมเหนื่อย...อยากไปใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านให้เต็มตัวสักที”
“ผมอยากให้คุณแดนกลับไปอยู่บ้านคุณพ่อที่ต่างประเทศมากกว่านะครับ บ้านที่กรุงเทพฯ ก็มี อยู่ที่นี่ยังไงก็อันตราย ไหนจะพวกเจ้าหน้าที่ ไหนจะพวกศัตรูอีก” ผู้อาวุโสกว่าออกความเห็น ซึ่งมักจะพูดเปรยเช่นนี้บ่อยครั้งอยู่แล้ว
หากดูเหมือนแดนสรวงจะมีความตั้งใจที่ตรงกันข้ามเสมอ...
แต่ก็ใช่ว่าจะไร้ผลเสียทีเดียว อย่างน้อยๆ ตอนนี้ชายหนุ่มก็เริ่มเอนเอียงการตัดสินใจมาในทางที่ดีขึ้นแล้ว
“ไม่มีอะไรทำให้ผมอยากจะกลับไปอีกแล้ว...แม้แต่บ้านที่กรุงเทพฯ ก็ยังไม่กล้าไปเลย” เขาพูดพลางก้มต่ำลงแล้วอัดบุหรี่เข้าปอดเป็นครั้งสุดท้าย
“ค่อยๆ คิดนะครับ ถึงยังไงผมก็อยู่กับคุณแดนเสมอ” ลุงแสงตบบ่าแข็งแรงของบุรุษผู้เยาว์วัยกว่า
เขาหันมายิ้มเบาๆ แล้วพยักหน้ารับรู้ พลางถอนหายใจทิ้งก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ซึ่งทำจากกระบอกไม้ไผ่
“ผมไปนอนก่อนนะครับ คืนนี้อากาศหนาวน่าดูเลย” ชายวัยกลางคนพูดพลางห่อไหล่กระชับเสื้อแขนยาวแน่นพร้อมกับยกขวดเหล้าขาวขึ้นกระดกจิบเบาๆ
“ครับ...ผมก็จะนอนเหมือนกันวันนี้เหนื่อยเอาการ
“แต่ก็ดีนี่ครับเดี๋ยวนี้มีคนทำกับข้าวซักผ้าทำงานบ้านให้ สะอาดเชียว”
“เหยียบขี้ไก่ยังไม่ฝ่อหรอกลุง แม่คนนี้ยังต้องเจออีกเยอะ”
“เพลาๆ มือบ้างก็ดีนะครับ ผู้หญิงยังไงก็คือผู้หญิง เธออ่อนแอกว่าเราวันยังค่ำ ผมไปล่ะ” ลุงแสงยกมือโบกไหวๆ แล้วลุกขึ้นเดินกลับกระท่อมตัวเองไปท่ามกลางแสงสลัวของคบไฟ
“ผู้หญิงงั้นเหรอ...มาลัยก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน”