“...” มาเรียมเลือกที่จะไม่ตอบโต้เพื่อรักษาความปลอดภัยให้ตัวเอง
“งั้นก็ไม่เก็บไม้ฟืนที่ผ่าไว้แล้วมาไว้ในครัวนะ...งานในฐานนี้มีอีกเยอะที่เธอต้องทำให้เสร็จก่อนตะวันตกดิน เพราะหลังจากฟ้ามืดเรามีอะไรต้องทำกันทั้งคืน”
“ไอ้บ้า ไอ้ตัณหา...”
“หรือยากทำตั้งแต่ตะวันยังไม่ดับ...จนถึงเช้าวันพรุ่งนี้....”
“ฉันจะไปเก็บฟืน!” พูดจบเธอก็จัดการเก็บจานชามที่รับประทานอาหารร่วมกันไปล้าง ก่อนจะรีบเดินดิ่งไปยังกองไม้ที่ถูกผ่าซีกตากแดดเอาไว้ทำเป็นฟืน
ยังดีที่รอบๆ บริเวณเป็นป่าดงดิบ ร่มไม้และอากาศจึงช่วยบรรเทาความร้อนจากแสงแดดได้เป็นอย่างดี
มาเรียมอดทนใช้แรงทำงานงกๆ เงิ่นๆ ทุลักทุเลเป็นที่สุดโดยมีหัวหน้าจอมโจรนั่งอยู่บนแคร่หน้าห้องครัวนั้นมองเธอไม่คลาดสายตา เหมือนจะเยาะเย้ยมากกว่าคอยจับผิด พอเธอล้มลุกคลุกคลานไม้ฟืนกลิ้งระเนระนาดเขาก็หัวเราะชอบใจ
ส่วนเธอนั้นแสนอับอายแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จำต้องลุกขึ้นไปเก็บมาหอบไปไว้ให้ถึงที่จนหมด ซึ่งกว่าจะเสร็จก็ตกเย็น ซึ่งก็ได้เวลาทำมื้อเย็นให้ทั้งเขาและเธอรับประทานอีกครั้ง
วันนั้นมาเรียมเหนื่อยจนฟุบหลับไปตั้งแต่อาบน้ำเพิ่งเสร็จและได้ขึ้นไปพักบนกระท่อม ร่างกายเหมือนจะไม่ไหวเข้าไปทุกที บางครั้งเธอแอบร้องไห้ด้วยความคิดถึงพี่ชายซึ่งในครอบครัวเหลือกันอยู่สองคนพี่น้องเท่านั้น
หากคมพจน์อยู่ข้างๆ เขาคงไม่มีวันปล่อยให้เธอมีรอยแม้แต่เล็บข่วน
เขาเป็นพี่ชายแสนดีที่สุด รักครอบครัว ทำทุกอย่างเพื่อให้เธอมีความสุข '
เสียสละตัวเองทำงานแทนบิดาและมารดาที่เสียไปด้วยโรคร้ายโดยไม่ได้เรียนต่อ แต่กลับส่งเสียเธอซึ่งอยู่เมืองนอกให้เรียนดีไซค์เนอร์จนจบหลักสูตรจากสถาบันติดอันดับโลก ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไม่เคยต้องดิ้นรนหาเงินแม้แต่สตางค์แดงเดียว กระเป๋า
แพงๆ เสื้อผ้าหรูๆ รถราคาเหยียบคันละหลายสิบล้านเธอก็เคยจับมาแล้ว
จนกระทั่งย้ายกลับมาที่เมืองไทยบ้านเกิดของมารดาได้เพียงไม่นาน...
โจรป่าต่ำช้าอย่างแดนสรวงก็พรากเธอจากพี่ชายมาทารุณอย่างเลือดเย็น อดีตที่เคยกินหรูอยู่แพงดั่งเจ้าหญิงในหอคอยงาช้างพลันต้องดับสูญไปอย่างฉับพลัน โดยที่เธอไม่เคยรู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย
หากมีโอกาสได้กลับไปหาคมพจน์ เธออยากจะถามเขานัก ถึงความแค้นแต่หนหลังกับแดนสรวงนั้นมันเป็นจริง มันเกิดขึ้นอย่างที่โจรร้ายกล่าวหาหรือเปล่า