โลกคนละใบ ตอนที่ 6

1457 คำ
“นายแดน! พี่เรียมสวยไหม แดนสรวงซึ่งนั่งอยู่ตรงขั้นบันไดขั้นที่สองจากพื้นเงยมองขึ้นไปตามเสียงเรียกคุ้นหู หญิงสาวในชุดชาวเขาสีขาวผ้าฝ้ายทอมือสลับสีสันอื่นๆ ทอตามความยาวเดินออกมายืนตรงชานบ้าน เธอมองเขาแว็บหนึ่งเหมือนไม่ตั้งใจแล้วเสลบสายตาไปทางอื่น รูปร่างบอบบางของมาเรียมรับกับชุดที่สวมใส่เป็นอย่างยิ่ง ผมเผ้าที่เกล้าขึ้นอย่างง่ายๆ เหน็บดอกกล้วยไม้สีม่วงอมขาว ใบหน้าของเธอผุดผ่องเมื่อผมถูกรวบไม่รุ่มร่าม...ปราศจากเครื่องสำอางใดๆ เติมแต่ง งามอย่างธรรมชาติ และด้วยความเป็นลูกครึ่งที่มีเชื่อสายต่างชาติอยู่ในตัว มันทำให้มาเรียมดูโดดเด่นอย่างช่วยไม่ได้                                                                                         เขารู้อยู่แล้วถึงความสวยในรูปร่างหน้าตาของเธอ แต่นั่นมันในแง่มาเรียมที่เคยเป็นลูกคุณหนู ไม่ใช่เด็กสาววัยกำดัดคนหนึ่งในชุดพื้นบ้านเช่นนี้                                                                                   “ตะลึงไปเลยสิคะ พี่แดนมีเมียสวยขนาดนี้แต่ไม่ยอมซื้อผ้าสวยๆ ให้ใส่เลย คนอะไรใจร้ายที่สุด” อูซาต่อขานไม่จริงจังนัก ทำให้แดนสรวงกะพริบตาถี่แล้วยกบุหรี่ในมือขึ้นสูบ “ผู้หญิงจะสวยที่สุดตอนไม่ใส่อะไรเลยรู้ไหมอูซา” “ทุเรศ! คุณพูดแบบนี้กับเด็กได้ยังไง” มาเรียมขึ้นเสียงแล้วมองไปยังอูซาที่ก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย “ฉันจะไปเยี่ยมคนเจ็บ...อูซาพาพี่เรียมของเธอไปหาอะไรกินซะ” “ค่ะนาย” อูซาตอบ แล้วร่างใหญ่ก็ลุกเดินไปตามทางเท้าที่เชื่อมต่อทั่วถึงกันทั้งหมู่บ้าน เด็กสาวชาวเขาที่ค่อนข้างพูดภาษาไทยได้ชัดเจนเอ่ยถามมาเรียมอีกครั้งว่าเธอหิวหรือยังแต่ก็ได้คำตอบเหมือนเดิม หญิงสาวต้องการให้อูซาพาเดินชมรอบๆ หมู่บ้านมากกว่า โดยให้เหตุผลว่าในเมื่อต้องมาอยู่ที่นี่แล้วก็อยากสำรวจให้ทั่ว มาเรียมไม่พูดคุยอะไรมากนักเพราะในตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าอูซาและคนในหมู่บ้านจะรู้เห็นเป็นใจกับที่เธอถูกลักพาตัวมาที่นี่หรือไม่ ในเมื่อทุกคนเป็นคนของเขาเธอก็ควรสงบปากสงบคำไว้ให้มาก อูซาช่างเจรจานัก...ตลอดเส้นทางที่พาหญิงสาวเดินชม ไม่ว่าจะเป็นฟาร์มดอกไม้ โรงปลูกผัก หรือทุ่งเลี้ยงสัตว์ซึ่งแต่ละสถานที่อยู่ติดๆ กัน เธอชวนพูดชวนคุยไม่ได้หยุดปาก แต่มาเรียมก็สังเกตได้ว่า รอบๆ หมู่บ้านยังมีชายแต่งกายคล้ายๆ คนในกองโจรของแดนสรวงคอยเฝ้าอยู่ทุกจุด นั่นทำให้เธอรู้ว่าหากจะหาทางหนีไปจากที่นี่คงไม่ใช่เรื่องง่าย พอๆ กับฐานในป่าลึกนั่นแหละ  หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่บนดอยสูง รอบๆ ยังเป็นป่าสมบูรณ์ อูซาบอกเธอว่าที่นี่ติดเขตชายแดนรัฐฉานของพม่า ก็เท่ากับว่าเธออยู่ในอำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่นั่นเอง และอยู่ตรงจุดหนึ่งที่เกือบสุดเขตแดนประเทศไทยแล้ว นอกจากนี้อูซายังเล่าประวัติของชนเผ่าลาหู่ของตนเองให้ฟังอีกด้วยว่าแท้จริงแล้วไม่ใช่คนไทย แต่ดั้งเดิมนั้นอพยพมาจากตอนใต้ของประเทศจีนเพราะถูกรุกราน และได้มาตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทยดังเช่นปัจจุบัน และเสื้อผ้าก็เช่นกัน ได้นำชุดจากเผ่าอื่นๆ มาประยุกต์สวมใส่เพื่อความสวยงามและหลากหลายมากขึ้น ซึ่งมาเรียมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้นัก เธอนึกไปว่าชาวเขาก็คือกลุ่มชาวบ้านป่าที่อาศัยอยู่ในพื้นที่มาช้านานเสียอีก “แต่อูซาพูดไทยได้ชัดจัง”                                              “นายแดนสอนให้พูด หนูเลยพูดได้ เด็กคนอื่นๆ ก็พูดได้เหมือนกัน ส่วนคนเฒ่าก็พูดไม่ชัดเหมือนที่พี่เรียมได้ยินนั่แนหละ” มาเรียมพยักหน้าพอจะนึกออกเพราะระหว่างทางที่เดินมีชาวบ้านเข้ามาพูดคุยทักทายอยู่เป็นระยะ คนเหล่านั้นพยายามพูดให้เธอเข้าใจโดยใช้ภาษาไทย ซึ่งฟังเพี้ยนแตกต่างจากเด็กสาวอูซา “นายแดนของอูซาเป็นครูเหรอ” “หืม...ไม่ใช่มั้งคะ แต่นายแดนสอนหนังสือด้วย แล้วก็เป็นหมอ แล้วก็สอนให้คนในหมู่บ้านปลูกผักหมุนเวียน เลี้ยงสัตว์ไว้กินจะได้ไม่ต้องเข้าไปยิงสัตว์หายากในป่า แล้วก็...หลายอย่างเลยค่ะ” “นายโจรนั่นน่ะเหรอ...สอนให้ทุกคนทำแบบนั้น” มาเรียมแทบจะไม่เชื่อหูตัวเองว่ากำลังได้ยินอะไรอยู่ “ค่ะ...ยังช่วยปกป้องพวกเราจะกลุ่มว้าแดงด้วยนะคะ” “ว้าแดง...” “ค่ะ...พวกกองกำลังที่ขายยาเสพติดแล้วก็ปล้นสะดมชาวบ้าน” แววตาของอูซาแฝงความหวาดกลัวเอาไว้เมื่อกล่าวถึงชนกลุ่มหนึ่งซึ่งเลื่องชื่อในการปล้นฆ่าและผลิตยาเสพติดส่งขายข้ามชาติ “หมายความว่ายังไง อูซาเล่ารายละเอียดให้พี่ฟังหน่อยได้ไหม” มาเรียมจูงมือเด็กสาวให้นั่งลงใต้โคนต้นไม้ใหญ่ เบื้องหน้าเป็นแปลงผักสดหลากหลายชนิด มีชาวบ้านทั้งหญิงชายและเด็กกำลังแบ่งหน้าที่กันทำงานท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ และอากาศที่ไม่ร้อนมากนักแต่ก็ไม่ได้เย็นจัดอย่างในตอนเช้ามืด “คือ...หมู่บ้านของเราอยู่ติดกับชายแดนใช่ไหมคะ แล้วพวกว้าก็หาทางขนยาเสพติดเข้ามาในประเทศไทยอยู่ตลอด มีหลายเส้นทาง พอถูกกวาดล้างก็จะเสาะหาเส้นทางใหม่ หมู่บ้านของเราก็เป็นทำเลหนึ่งที่พวกเขาต้องการ และถ้าเป็นแบบนั้นก็หมายความว่าพวกเราจะถูกกำจัดเพื่อยึดพื้นที่”                                    “โหดเหี้ยมกันขนาดนั้นเลยเหรอ...” หญิงสาวอุทาน อดที่จะใจหายไม่ได้กับเรื่องเล่าบนดอนแห่งนี้ที่เหมือนจะสุขสงบ ในทางกลับกันก็แฝงความป่าเถื่อนเลือดเย็นไม่ได้ต่างจากในเมืองเลย “ค่ะ...พ่อกับแม่หนูก็ถูกฆ่าตอนนั้น แต่นายแดนกับลุงแสงก็รวบรวมคนต่อสู้กับพวกมันจนรักษาหมู่บ้านกับคนที่เหลือเอาไว้ได้ พวกนั้นซุ่มโจมตีไม่ได้ หากทำการเอิกเกริกก็กลัวทหารไทยจะได้กลิ่น พอมีคนต่อต้านหนักๆ เข้าก็เลยล่าถอยกลับไป พวกเราที่เหลือก็เลยปลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้”  “โถ...” “นายแดนคงดุกับพี่เรียมมากสินะคะ พี่เรียมถึงทำหน้าโกรธนายอยู่ตลอดเลย แต่จริงๆ นายแดนเป็นคนใจดีค่ะ” อูซายิ้ม นอกจากจะช่างฉอเลาะแล้วเธอยังช่างสังเกตอีกด้วย มาเรียมยิ้มให้กับความฉลาดของเด็กสาว “เขาคงใจดีกับทุกคนยกเว้นพี่ แล้ว...ที่นี่มีโรงเรียนไหมอูซา โรงพยาบาล สถานีอนามัย หรือสถานีตำรวจ...” เธอถามสีหน้าจริงจัง แต่อูซาส่ายหน้าอย่างคนสิ้นหวังซึ่งเป็นคำตอบได้เป็นอย่างดี “ไม่มีใครสนใจพวกเราหรอกค่ะ เราเป็นแค่ต่างด้าว เจ็บไข้ได้ป่วยก็มีสมุนไพร เมื่อก่อนไม่มีใครได้เรียนหนังสือ แต่รู้ภาษาไทยบ้างจากการฟังและพูด พอมีนายแดนกับพี่หมอเข้ามาก็เริ่มพูดได้กันมากขึ้น” “พี่หมอ...” มาเรียมรู้สึกแปลกใจ ในเมื่อไม่มีสถานีอนามัย ไม่มีโรงพยาบาลแล้วจะมีหมอได้อย่างไรกัน “พี่หมอเป็นลูกสาวของลุงหมอค่ะ” คำตอบของเด็กชาวเขาไม่ได้ช่วยให้เธอเข้าใจอะไรมากขึ้น  “แล้วตอนนี้พี่หมออยู่ไหนจ๊ะ” “รักษาคนเจ็บอยู่ค่ะ คนที่นายแดนไปดูนั่นแหละ” “อ๋อ...” “เรากลับกันเถอะค่ะพี่เรียม...มาตั้งนานแล้วเดี๋ยวนายแดนรู้เข้าจะดุเอา” อูซาหันซ้ายหันขวาแล้วสะกิดแขนพี่สาวคนใหม่เป็นการกระตุ้นเตือน “ทำไมล่ะ เขาห้ามไม่ให้อูซาพาพี่เที่ยวเหรอ” “เปล่าค่ะ แต่หนูคิดว่านายแดนน่าจะหวงพี่เรียม ก็สวยแบบนี้คงไม่อยากให้ใครมองนานๆ” เด็กสาวสรุปเองเออเองเสร็จสรรพพร้อมยิ้มแกมเย้า “คนแบบนั้นน่ะเหรอ...” มาเรียมพึมพำแล้วถอนหายใจ สองร่างเดินจูงมือกันกลับเข้าไปในหมู่บ้าน มิวายมาเรียมยังคงพยายามมองไปรอบๆ เพื่อหาช่องทางให้กับตัวเอง เธอจะไม่มีวันติดอยู่ในป่าเขาลำเนาไพรแห่งนี้จนถึงวันที่แดนสรวงได้สมความตั้งใจหรอก  
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม