อูซาพาเธอกลับบ้าน มีชาวบ้านผู้หญิงวัยกลางคนสองคนนำอาหารมาให้ พวกเขากลัวว่าเธอจะไม่คุ้นเคยกับอาหารชาวป่าจึงมีแค่ไข่ดาวไข่เจียวและข้าวสวยสำหรับมื้อนี้ของเธอ
ทุกคนดูจะสนใจหญิงสาวจากต่างถิ่นเป็นพิเศษ เพราะที่นี่ห่างไกล และแทบจะไม่เคยพบเห็นคนแปลกหน้ากันเลย
ส่วนกับข้าวมื้อต่อๆ ไปนั้นอูซาบอกว่าเธอจะช่วยหาวัตถุดิบมาให้และช่วยกันปรุง รวมถึงต้องหุงข้าวเองด้วยซึ่งมาเรียมไม่ได้หนักใจมากในเรื่องนั้น เธอมีฝีมืออยู่พอตัว ขนาดถูกบังคับกลั่นแกล้งตอนที่อยู่กลางป่าเรื่องหุงหาอาหารก็ยังเอาตัวรอดมาได้
ตั้งแต่แดนสรวงบอกว่าจะไปดูคนเจ็บเขาก็ไม่กลับมาอีกเลยจนถึงช่วงเย็น มาเรียมอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าสลับกับอูซาซึ่งอยู่เป็นเพื่อนด้วยตลอด
ที่นี่ไม่มีไฟฟ้าใช้ จึงต้องทำอะไรให้เสร็จก่อนตะวันตกดินเพราะเมื่อมืดแล้วค่อนข้างดำเนินชีวิตลำบาก อีกทั้งยังมีอันตรายที่แฝงมากับความมืดด้วยเช่นสัตว์ป่ารวมไปถึงความเชื่อในสิ่งลี้ลับที่หาทางพิสูจน์ไม่ได้
กว่าที่หญิงสาวจะอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จก็ตกค่ำพอดี โดยมีอูซาซึ่งอาบก่อนจัดที่นอนรออยู่ในห้อง บ้านทั้งหลังมีเพียงตะเกียงน้ำมันก๊าซดวงเดียวให้แสงสว่าง แต่เธอชินกับการใช้ชีวิตอยู่ในความสลัวแบบนี้เสียแล้ว
“อูซา...หยิบผ้าเช็ดหน้าให้พี่หน่อย” มือเล็กดึงกลอนออกแล้วเรียกหาอูซาเนื่องจากลืมนำผ้าสำหรับเช็ดตัวเข้ามาด้วย เธอมีแต่ผ้าถุงที่กำลังสวมอยู่และเนื้อตัวเปียกปอน
ที่นี่ไม่มีผ้าขนหนู...มีแต่ผ้าถุง กับผ้าผืนสีเหลี่ยมเนื้อผ้าเดียวกันแต่เล็กกว่าให้เธอไว้ใช้ในตอนอาบน้ำ
“ขอบใจจ้ะ” เธอกล่าวแล้วรับเอาผ้าจากมือที่ส่งยื่นผ่านช่องประตูเข้ามาให้ แล้วซับเช็ดใบหน้าก่อนจะไล่ลงมาตามลำคอและเนื้อตัว จากนั้นก็พาดผ้าผืนเล็กไว้บนบ่า เปิดประตูเดินออกมาด้านนอก “ว้าย!”
“...” ร่างใหญ่ที่นอนอยู่บนเตียงโดนเอามือสองข้างสอดไว้ใต้ศีรษะ เขาหันมองเธอแต่ไม่ได้ตอบโต้อะไร
“เข้ามาได้ยังไง...แล้วอูซาล่ะ”
“เดินเข้ามา อูซากลับไปนอนที่บ้าน” ชายหนุ่มตอบ
“ได้ยังไง ไหนบอกจะให้อูซาอยู่เป็นเพื่อนฉัน”
“ใช่...ตอนที่ฉันไม่อยู่” แดนสรวงหันมองหญิงสาวที่ยืนตะปบผ้าถุงกอดอกเอาไว้ด้วยแววตาเฉยชา จนเธอไม่รู้จะทำตัวอย่างไร
แม้จะอยู่ด้วยกันสองต่อสองมาหลายวันแต่ตอนนี้เธอคิดว่าจะได้หลุดพ้นจากเขาแล้ว เพราะคิดว่าชายหนุ่มจะไปทำธุระตามที่เขาได้บอกเอาไว้แล้ว
“แล้วทำไมไม่ไป ไหนบอกมีธุระสำคัญ”
“ยังไม่ไปตอนนี้ ฉันเหนื่อยขออาบน้ำก่อนล่ะกัน” พูดจบเขาก็ลุกพรึ่บจากที่นอนแล้วคว้าผ้าขาวม้าซึ่งนำติดตัวมาด้วยพันรอบเอว ถอดเสื้อ ถอดกางเกงเรียบร้อยก่อนจะเดินตรงไปยังหญิงสาวที่ยืนตัวแข็ง
“ทำบ้าอะไร...อย่าบอกนะว่านายจะนอนที่นี่คืนนี้”
“ก็ใช่ แล้วตอนนี้จะอาบน้ำด้วย หรืออยากทำหน้าที่เมียแสนดี อาบน้ำให้ผัวรัก...” ปลายน้ำเสียงกึ่งเยาะเย้ยนั้นทำให้มาเรียมกัดฟันกรอด
เธอรีบกระโดดออกห่างจากเขา แต่แดนสรวงก็ไม่ได้ตอแยมากนักเขาเปิดประตูเข้าห้องน้ำไปเงียบๆ คงเหนื่อยล้าอย่างที่บอกเอาไว้จริงๆ
มาเรียมไม่รีรอ รีบหาเสื้อผ้าสวมใส่แล้ววิ่งไปเปิดประตูห้อง แต่...มันล็อก พร้อมคล้องโซ่ลั่นกุญแจอย่างแน่นหนา
“ลูกกุญแจอยู่นี่...อยากได้ก็เข้ามาเอาสิ ออ อย่าคิดโดดหน้าต่างลงไปนะเพราะข้างล่างนั้นลูกน้องกลัดมันของฉันรออยู่เพียบ เดี๋ยวจะหาว่าไม่บอกไม่กล่าว หึ” แดนสรวงแย้มประตูห้องน้ำออกมาแล้วยกลูกกุญแจในมือให้เธอดู
หญิงสาวถึงกับต้องหันหลังให้ฉับพลันเพราะร่างใหญ่นั้นเปลือยเปล่า แม้จะมีเพียงแสงสลัวไม่สว่างชัดแต่เธอก็เห็นทุกสัดส่วนที่โผล่พ้นประตูเต็มสองตา
“บ้าจริงเลย” เธอขบถด้วยความเจ็บใจ ได้ยินเสียงชายหนุ่มเข้าไปอาบน้ำต่ออย่างสบายอารมณ์แต่ตัวเองกลับต้องมาหงุดหงิดกับการถูกจำกัดอิสรภาพจากเขา
หญิงสาวไม่ได้เชื่อทุกคำพูดของแดนสรวงเธอก้าวเท้าเบาๆ ไปมองผ่านช่องหน้าต่าง แล้วก็พบว่ามีลูกน้องของเขานั่งดื่มเหล้าอยู่ใกล้ๆ กันนั้นจริงๆ พวกเขาก่อกองไฟลุกโชนและนั่งดื่มสุราอยู่รอบกองเพลิงนั้น แสงจากไฟโชติช่วงทำให้เธอเห็นกับแกล้มสองสามอย่าง
พวกนี้คงเป็นคนเฝ้ายาม...นี่จะไม่มีช่องทางไหนให้เธอได้คิดหลีกหนีไปได้เลยหรืออย่างไรกัน
“ก็บอกหลายหนแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ต้องคิดหนีให้เปลืองสมอง เธอไม่มีวันทำได้หรอก”
หญิงสาวหันขวับไปยังต้นเสียงแล้วยืนตัวตรง เธอกำมือเข้าหากันแน่นด้วยความกลัวโดยอัตโนมัติ
“แกคงอยากให้ฉันเป็นบ้า ฉันได้บ้าสมใจแน่ถ้าต้องมาทนอยู่ในป่าในดงแบบนี้นานๆ” เธอตอบโต้พลางก้าวถอยหลังเมื่ออีกฝ่ายย่างสามขุมเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
“อย่าเพิ่งบ้าสิ...บ้าตอนนี้มันจะไปสนุกอะไร ไม่อยากเอาคนบ้าด้วย ไม่ได้อารมณ์”
“ถ่อย!”
“ฮ่าๆ นี่อยู่กันตั้งหลายวันเพิ่งรู้ความถ่อยของผัวตัวเองหรือไง” แดนสรวงยืนคร่อมร่างเล็กของเธอเอาไว้ โดยใช้สองมือค้ำกับกำแพง กักขังเธอให้อยู่ในอาณาเขตกรงแขน
“แดน...นาย นายจะไม่ทำอะไรฉันใช่ไหม” เมื่อเข้าตาจนมาเรียมก็เริ่มเสียงอ่อนลง แต่เธอก็ยังไม่กล้ามองเขาอย่างเต็มตาอยู่ดี ลมหายใจอุ่นๆ ที่คุ้นเคยและทำให้เธอหวั่นใจ ยิ่งเมื่อคลอเคล้าใกล้เข้ามาตรงแก้มนวล
“รู้ไหมทำไมฉันถึงยังไม่ไป เพราะเธอยังไงล่ะ มาเรียม...” เขากระซิบเบาๆ พร้อมกับแนบริมฝีปากลงบนพวงแก้มอุ่นของเธอ หัวใจดวงน้อยของมาเรียมชาววาบเต้นผิดจังหวะทันที...
“อย่าทำฉันอีกเลยแดน...ฉันขอร้อง ฉันสัญญาจะไม่คิดหนีนายไปไหนอีก” หญิงสาวพยายามซุกใบหน้าหนี พร้อมวิงวอนเสียงสั่น
แต่ชายหนุ่มกลับใช้มือช้อนปลายคางให้เธอเงยขึ้นมาเล็กน้อยแล้วประทับริมฝีปากลงบนกลีบปากบาง
“เป็นเด็กดีสิ...แล้วฉันจะนุ่มนวลกับเธอ”
“อืม!...” ร่างเล็กถูกเบียดให้แนบติดกำแพงทันที สองมือของเธอถูกแดนสรวงรั้งตรึงเอาไว้เหนือศีรษะ
ไม่ว่าแดนสรวงจะสัมผัสเธอมากี่ครั้งกี่หน แต่เธอก็ไม่อาจยอมได้ด้วยความเต็มใจสักที เธอกลัว ระแวงในบทรักอันเร่าร้อนแต่เจือปนเอาไว้ด้วยความเจ็บปวดจนฝังจมในความรู้สึกยากจะลบลืม