หลังจากเลิกงาน ปัญวิชญ์ก็กลับขึ้นห้องแทบจะทันที วันนี้สิริญญาไม่ได้ออกมารอต้อนรับเขา ปกติตอนเช้าเธอเดินออกมาส่ง ตอนเย็นบางวันเธอก็เดินออกมาช่วยเขาถือกระเป๋าเอกสารและเสื้อสูทไปเก็บให้
แต่วันนี้เขาเลิกงานเร็วกว่าปกติ อาหารเย็นก็ยังทำไม่เสร็จ เธอไม่ได้อยู่ในครัว สายพิณที่เดินออกมาช่วยถือกระเป๋าบอกว่าหญิงสาวอยู่บนห้อง เขาจึงถือกระเป๋าขึ้นมาเก็บด้วยตนเอง
ปัญวิชญ์เข้าไปในห้องโดยไม่ได้เคาะประตู เขากวาดตามองหาภรรยาแต่ก็ไม่พบ พอนำเสื้อสูทไปแขวนจึงได้ยินเสียงเธอคุยโทรศัพท์ในห้องน้ำ
“ค่ะ พี่ดล... ใช่ค่ะ เดินทางไปสัปดาห์หน้า... เขาต้องเป็นวิทยากรบรรยายในงานค่ะ ช่วงนั้นเอื้องพอจะว่าง... ค่ะ แล้วเจอกันค่ะ” เธอพูดเท่านั้นเขาก็พอเดาออกได้ว่าคุยอะไรกับใคร
ความโกรธวิ่งพล่านไปทั่วร่าง มือทั้งสองกำหมัดแน่น กล้าดีอย่างไรใช้โอกาสที่เขาจะพาไปภูเก็ตในการนัดเจอคนอื่น โดยเฉพาะคนที่ว่านั้นเป็นผู้ชาย
เมื่อประตูห้องน้ำถูกเปิดออก สิริญญาที่ก้าวออกมาเจอใบหน้าถมึงทึงของสามีก็สะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจ
“ถึงกับสะดุ้งเลยเหรอ”
“แล้วพี่ปั้นมายืนทำอะไรหน้าห้องน้ำล่ะคะ เป็นใครก็ต้องตกใจทั้งนั้นแหละ” เธอพูดเสียงเรียบ วันนี้เขาหาเรื่องเธอมากเกินไปแล้ว
“ไม่ใช่ว่าคุยโทรศัพท์กับชู้แล้วกลัวฉันจับได้เหรอ” เขาแค่นเสียงถาม พร้อมกับมุมปากที่เหยียดยิ้ม ทั้ง ๆ ที่ในใจร้อนรุ่ม แววตามองใบหน้าที่แสร้งทำไม่รู้อะไรด้วยสายตาที่แข็งกร้าว
“จะกล่าวหากันมากเกินไปแล้วนะคะ” สิริญญากำหมัดแน่น ปลายเล็บจิกเข้ากลางฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ
“นัดเจอกับผู้ชายคนอื่นตอนผัวจะพาไปเที่ยว ใช้โอกาสตอนผัวไปเป็นวิทยากรในงานสัมมนานัดเจอกัน ไม่เรียกชู้แล้วจะให้เรียกว่าอะไร รุ่นพี่เหรอ” เขาประชดเธอเสียงสั่นด้วยความโกรธ
“ใช่ค่ะ พี่ดลเป็นแค่รุ่นพี่ เรานัดเจอกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ” เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง อยากยืนยันว่าเธอไม่ได้คิดอะไร
“เชื่อตายล่ะ ผู้หญิงแพศยา” ปัญวิชญ์ตะคอกใส่หน้าและมองด้วยสายตาที่วาวโรจน์ด้วยความโกรธ ใช้คำพูดรุนแรงจนหญิงสาวหน้าชา
“ทีเอื้องนัดเจอกับรุ่นพี่ พี่ปั้นกลับบอกว่าคบชู้ แล้วทีพี่ปั้นล่ะคะ อย่าคิดว่าเอื้องไม่รู้นะว่านัดเจอกับผู้หญิงที่ชื่อเคท เอื้องได้ยินพี่คุยโทรศัพท์เมื่อวันก่อน คอนเฟิร์มว่าจะไปหาแน่นอน”
“แต่เคทเป็นเพื่อนฉัน” เขาพูดเสียงเข้ม
“เหรอคะ เชื่อตายล่ะ” เธอใช้คำพูดเขามายอกย้อน
“สิริญญา” เขาเรียกชื่อเธอเสียงดัง สายพิณที่กำลังจะเคาะห้องเพื่อจะเชิญลงไปรับประทานอาหารเย็นก็ต้องหดมือกลับ แล้วรีบล่าถอยไปเมื่อสถานการณ์เข้าขั้นวิกฤติ
“พี่ปั้นเริ่มก่อนนะคะ ที่ผ่านมาที่เอื้องไม่มีปากมีเสียงเพราะเอื้องเห็นแก่คุณปู่ พยายามจะไม่ทะเลาะกับพี่ปั้น แต่ครั้งนี้มันเกินไปจริง ๆ ค่ะ”
“เกินไปเหรอ การที่ฉันได้ยินเธอคุยโทรศัพท์นัดแนะผู้ชาย มันเกินไปเหรอ”
“วันนี้พี่ปั้นหาเรื่องเอื้องตั้งแต่เรื่องชุดว่ายน้ำแล้ว ทั้ง ๆ ที่เอื้องไม่ได้ทำอะไรผิด แล้วก็ยังมากล่าวหาเอื้องเรื่องนี้อีก”
“ไม่มีผู้หญิงดี ๆ ที่ไหน นัดแนะผู้ชายทั้ง ๆ ที่แต่งงานแล้วหรอกนะ รู้จักไหมคำว่าให้เกียรติสามี รู้จักคำว่าวางตัว และรักษาระยะห่างไหม” เธอจ้องหน้าเขา ยอมรับว่าที่เขาพูดมามันก็ถูก แต่เข่าจะเก็บไว้สอนตัวเองบ้าง เพราะเขาเองก็ไม่ต่างกัน
สิริญญาไม่อยากต่อล้อต่อเถียง เพราะเรื่องนี้ไม่มีที่สิ้นสุดแน่ จึงเลือกที่จะเงียบและเดินหนีไป แต่ก็ไม่เร็วพอที่เขาจะคว้าแขนเธอเอาไว้
“โอ๊ย เอื้องเจ็บนะคะ” เธอร้องเสียงหลง
ปัญวิชญ์จับเธอเหวี่ยงลงไปที่เตียง ไม่พูดพร่ำทำเพลง คร่อมเหนือร่างที่ดิ้นรนขัดขืนแล้วระดมจูบอย่างบ้าคลั่ง
เธอไม่ได้ร้องโวยวายเสียงดัง เกรงว่าจะมีคนผ่านมาได้ยิน จึงได้แต่ปัดป้องและไม่ยอมให้เขาได้หักหาญน้ำใจ
ปัญวิชญ์รวบข้อมือทั้งสองของเธอด้วยมือเดียว แล้วกดเอาไว้เหนือศีรษะ อีกมือปลดเข็มขัดออกไปอย่างชำนาญ สบสายตากับเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ
“เอาเลยสิคะ ถ้าคิดว่าทุกอย่างที่ทำมันถูกต้อง ก็ทำเลย” สิริญญาพูดเสียงสั่น ในเมื่อเธอไม่ได้ทำผิดอะไร เขาก็ไม่ควรจะมาหาเรื่องรังแกเธอแบบนี้
“ความถูกต้องเหรอ” เขาถามเสียงพร่า
มือยังคงสาละวนกับการถอดกางเกงและปลดกระดุมเสื้อ แววตาที่ดูโกรธเริ่มอ่อนลง เปลี่ยนเป็นแววตาที่ปรารถนาเข้ามาแทนที่
“เอื้องไม่ได้มีใคร นอกจากพี่ปั้น แต่ถ้าพี่ปั้นไม่เชื่อก็แล้วแต่เถอะค่ะ” เธอพูดเสียงเบา เหนื่อยที่จะอธิบายอะไรอีกต่อไปแล้ว
ปัญวิชญ์ไม่อยากรับรู้อะไร พอได้ยินว่าเธอซื้อชุดว่ายน้ำเขาก็รู้สึกหวงแหนไม่อยากให้ใครมามองเรือนร่างเธอ พอได้ยินเธอคุยโทรศัพท์กับคนอื่นก็ยิ่งโกรธ ไม่อยากให้เธอเจอใคร ไม่อยากให้มีผู้ชายหน้าไหนมาเกี่ยวข้องกับเธอ
ใบหน้าเขาโน้มลงไปใกล้ ลมหายใจรดรินใบหน้าของเธอ มือที่รวบแขนเอาไว้ก็ปล่อยให้เป็นอิสระ ทว่าเลื่อนมาลูบไล้สะโพกเธอแทน ในขณะที่ประทับริมฝีปากลงไปอย่างเร่าร้อน
สิริญญาหลับตาลง เธอหมดแรงที่จะขัดขืน เพราะรู้ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถขัดเขาได้ จึงได้แต่โอนอ่อนตามสัมผัสที่ปรารถนานั้น เผื่อว่าเขาได้ระบายกับเรือนร่างเธอแล้วจะหายโมโหได้บ้าง
ปลายลิ้นหนาแทรกเข้าไปในโพรงปาก ต้อนจูบจนเธอเกี่ยวลิ้นเขาตอบ สองมือโอบกอดคอในขณะที่ถูกเขาถอดชุดของเธอออกไปทีละชิ้นสลับกับเสื้อผ้าของเขา
ริมฝีปากร้อนผ่าวเลื่อนลงไปจูบที่ปลายคาง ฝ่ามือหนากอบกุมที่หน้าอกแล้วบีบเคล้นเต็มสองมือ
ปัญวิชญ์เลื่อนปลายจมูกไปสูดดมกลิ่นหอมจากซอกคอของเธอ กลิ่นที่คุ้นเคยทำให้ใจเย็นลงมากและยอมรับตามตรงว่าเขารู้สึกหวงแหนเธอ และลุ่มหลงจนไม่อยากให้ใครเฉียดใกล้
“พี่ปั้น...” เธอเรียกชื่อเขาเสียงเบา รู้สึกถึงความปรารถนาที่แรงกล้า และการกระทำที่ค่อย ๆ อ่อนโยนขึ้นเรื่อย ๆ
มือเรียวลูบไล้แผ่นหลังที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่ง แอ่นหน้าอกรับปลายลิ้นที่กำลังลากไล้ลงมาแล้วสะดุ้งตัวเบา ๆ เมื่อความชื้นจากปลายลิ้นปะทะที่ยอดอกสีหวาน
“เธอเป็นของฉัน จำเอาไว้” เขากระซิบพูดเสียงพร่าสั่น จากนั้นก็ถอดชั้นในที่เป็นปราการด่านสุดท้ายออกไป สะโพกแกร่งบดเบียดแนบลงมาอย่างเร่าร้อน โยกตัวเคลื่อนเข้าหาภรรยาสาวแล้วคำรามในลำคอด้วยความสุขสม
สิริญญาวางมือที่หัวไหล่ ปลายเล็บจิกลงไปเพื่อระบายความสยิวซ่าน ริมฝีปากอวบอิ่มครางกระเส่าเสียงหวาน เมื่อถูกปรนเปรอสวาทจากผู้ที่ช่ำชอง
ตอนนี้เธอจะเป็นของใครได้เล่า นอกจากเขาคนเดียว และหากมีการหย่าร้างกันเกิดขึ้น ก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด และไม่อยากจะมีใครเข้ามาในชีวิตอีกแล้ว
ไม่นานร่างทั้งสองก็เกร็งกระตุก ความสุขหลั่งไหลชโลมจนเปียกชุ่ม ตามด้วยเสียงลมหายใจที่หอบถี่
สิริญญาจะดันตัวเขาออกไป แล้วคว้าเสื้อผ้าของตนเองเข้าไปทำความสะอาดร่างกายในห้องน้ำด้วยความรู้สึกที่น้อยเนื้อต่ำใจ ที่เขาเข้าใจเธอผิดในวันนี้
************************