อีกหนึ่งสัปดาห์ก็ต้องเดินทางไปงานสัมมนาที่ภูเก็ตพร้อมกับปัญวิชญ์แล้ว สิริญญาต้องเตรียมหาเสื้อผ้าไว้ล่วงหน้า เธอมีแค่ชุดลำลองใส่ที่บ้าน แต่ไม่มีชุดไหนที่เหมาะกับการไปเที่ยวทะเลเลย
หญิงสาวไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อเสื้อผ้า จังหวะที่เธอเดินถือถุงข้าวของผ่านร้านอาหารภายในห้างสรรพสินค้า สายตาก็ปะทะเข้ากับรูปร่างมีเสน่ห์ที่คุ้นเคย
ปัญวิชญ์นั่งรับประทานมื้อกลางวันอยู่กับหญิงสาวคนหนึ่ง ดูจากสีหน้าที่จริงจังและพี่ผึ้งที่นั่งถือเอกสารอยู่ด้วยแล้ว คิดว่าน่าจะเป็นการคุยเรื่องงาน
เธอกำลังจะเดินผ่านไป ปัญวิชญ์ที่มองมาทางเธอเห็นเข้าจึงให้เลขานุการสาวไปเชิญเธอมานั่งร่วมโต๊ะอาหารด้วย สิริญญาจึงจำใจต้องถือถุงเสื้อผ้าที่เธอเพิ่งซื้อมาเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับเขา
“เอื้อง นี่คุณสอางค์น้องสาวของท่านผู้ว่าฯ คุณสอางค์ครับ นี่สิริญญา ภรรยาของผมครับ” เขาแนะนำทั้งสองให้รู้จักกัน แล้วเลื่อนเก้าอี้ข้าง ๆ ให้เธอนั่งลง พี่ผึ้งจึงขยับไปนั่งอีกที่แทน
“สวัสดีค่ะ เอื้องมารบกวนการพูดคุยธุรกิจหรือเปล่าคะ” เธอทักทายด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานและเกรงใจ เพราะตนเองเป็นคนนอก
“สวัสดีค่ะ” หญิงสาววัยประมาณสามสิบต้น ๆ ในชุดสูทสีน้ำตาลอ่อนทั้งชุด รับไหว้ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ บ่งบอกว่าไม่พอใจการมาของเธอ
“ไม่หรอกครับ เราคุยธุระกันเสร็จแล้ว พี่เลยมาเลี้ยงอาหารคุณสอางค์น่ะ” เขาถามเธอเสียงนุ่ม แล้วใช้สายตาสื่อความหมายอะไรบางอย่างเป็นนัยให้เธอเล่นตามน้ำกับเขาไปก่อน
“ตายจริง เอื้องมารบกวนแน่ ๆ เลย”
“ไม่หรอกครับ พี่เพิ่งเริ่มสั่งอาหาร เอื้องจะสั่งอะไรเพิ่มหรือเปล่าครับ” สามีหนุ่มที่ดีจนน่าใจหายถามด้วยความเอาใจ คิดว่าเขากำลังแสดงละครต่อหน้าผู้หญิงคนนี้ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างแน่
“ไม่เป็นไรค่ะ เอื้องไม่ค่อยหิว”
“แล้วนี่ซื้ออะไรครับ เยอะแยะเลย”
“ก็เสื้อผ้าที่จะใส่ไปเที่ยวทะเลกับพี่ปั้นไงคะ เอื้องมาซื้อเสื้อผ้าแล้วก็ชุดว่ายน้ำใหม่ค่ะ” เธอตอบด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
พี่ผึ้งยิ้มมองตามด้วยสายตาที่ชื่นชมในความรักทั้งคู่ ในขณะที่สอางค์นั่งหน้านิ่ง อุตส่าห์ยั่วยวนประธานหนุ่ม แต่กลับพาเลขานุการมาด้วย เท่านั้นไม่พอยังจะเชิญภรรยามานั่งร่วมโต๊ะอีก
“คุณปั้นแต่งงานตั้งแต่เมื่อไหร่ค่ะเนี่ย เห็นว่าเพิ่งกลับมาจากเมืองนอกยังไม่ถึงปีเลย” สอางค์จีบปากจีบคอถาม ในใจเสียดายที่อีกฝ่ายไม่โสดแล้ว
“สองเดือนแล้วครับ กลับมาได้สองเดือนก็แต่งงานเลย พอดีว่าผมรีบ ไม่อยากให้เอื้องรอนาน” เขาตอบแล้วหันไปยิ้มให้ภรรยา วางมือกุมที่มือของเธอ ถึงเป็นการแสดงแต่สิริญญาก็อดหวั่นไหวไม่ได้
เมื่ออาหารทยอยนำมาวางเรียงที่โต๊ะ ทุกคนก็เริ่มลงมือรับประทาน ในขณะที่สิริญญาเองก็ต้องนั่งร่วมโต๊ะด้วย ตามที่ปัญวิชญ์ใช้สายตาบังคับแกขอร้องเธอ สอางค์ตอนแรกค่อนข้างที่จะหงุดหงิดเมื่อเขาเชิญภรรยามาร่วมมื้ออาหารกลางวันด้วย แต่พอดูท่าทีที่เรียบร้อยนั้นแล้ว ไม่มีอะไรที่น่ามัดใจปัญวิชญ์เลยสักนิด ภรรยาของเขาสู้เธอไม่ได้แม้จะอายุน้อยกว่าอยู่หลายปี แต่การแต่งตัวของเธอนั้นดูดีจนสิริญญาเทียบไม่ติด
“นี่ค่ะอาหารร้านนี้อร่อยทุกอย่าง ลองชิมดูสิคะ” เธอตักอาหารให้แก่ประธานหนุ่มอย่างเอาใจ จีบปากจีบคอพูดเสียงอ่อนหวาน โดยไม่สนใจว่าเขาจะมีภรรยาอยู่แล้ว
“ขอบคุณครับ” เขาพูดแล้วกินอาหารที่เธอตักให้ตามมารยาท จากนั้นก็ตักอาหารในจานกับข้าว สอางค์คิดว่าเขาจะตักให้เธอ แต่ปัญวิชญ์กลับให้ภรรยาของตน
“กินเยอะ ๆ นะเอื้อง คุณผอมมากไปแล้ว กินเยอะ ๆ เวลากอดจะได้รู้สึกนุ่มนิ่ม” เขาบอกกับเธอ แสดงอาการคลั่งรักภรรยา จนสอางค์เริ่มรู้สึกว่าเสน่ห์ของตนนั้นไม่เป็นผล เลขานุการสาวก็ได้แต่ยิ้ม เขินแทนสิริญญากับการเอาใจจากท่านประธาน
“จริงสิคะ โครงการต่อไปพี่ว่าจะขอคุยกับคุณปั้นเป็นการส่วนตัว ไม่ทราบว่าคุณปั้นจะสะดวกหรือเปล่าคะ” เมื่อไม่สามารถใช้เสน่ห์ได้ ก็จะใช้เรื่องงานมาอ้าง
“ไม่ทราบว่าเป็นโครงการไหนหรือครับ เท่าที่คุยกับท่านผู้ว่า หมู่บ้านจัดสรรที่ท่านเป็นเจ้าของ โครงการนี้น่าจะเป็นโครงการสุดท้าย หรือว่าเป็นโครงการหมู่บ้านของคุณสอางค์เองครับ” เขารู้ทันเธอว่าแค่หยิบยกงานมาเป็นข้ออ้างชวนคุยก็เท่านั้น
“...” สอางค์ไม่ตอบ เธอได้แต่ยิ้ม จากนั้นก็กินอาหารตรงหน้า จะลุกหนีไปตอนนี้ก็จะเป็นการขายหน้าและเป็นฝ่ายเสียหน้าเปล่า ๆ ในเมื่อเขาจะแสดงจุดยืนชัดเจน เธอก็ต้องข่มใจเอาไว้
สถานการณ์ระหว่างสิริญญาและสอางค์ค่อนข้างน่าอึดอัดใจ อีกฝ่ายพยายามชวนให้ปัญวิชญ์มีส่วนร่วมในการสนทนา แต่เขากลับหลีกเลี่ยงอย่างสุภาพแล้วให้ความสนใจแต่กับเธอแทน จนหญิงสาวได้รับสายตาที่อาฆาตจากสอางค์
หลังจากที่แยกย้ายกัน ปัญวิชญ์เดินถือของมาส่งเธอที่รถ
“ขอบคุณนะคะที่เดินมาส่ง” เธอเป็นฝ่ายขอบคุณเขา จ้องมองว่าอีกฝ่ายที่ทำหน้าดุใส่
“ถ้าไม่ติดว่าฉันต้องแสดงละครหลอกคุณสอางค์ ฉันไม่มีวันถือของให้ แล้วเดินมาส่งเธอแบบนี้หรอก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด ใบหน้านั้นบ่งบอกถึงอารมณ์ที่ขุ่นมัว คำพูดของเขาและน้ำเสียงช่างแตกต่างกับตอนที่อยู่ในร้านอาหารเหลือเกิน
“แล้วใครให้ซื้อชุดว่ายน้ำ” เขาถามเสียงเข้ม
“เอื้องซื้อเองนี่แหละค่ะ ทำไมต้องมีใครบอก” หญิงสาวถามกลับเสียงเรียบ คนอุตส่าห์ช่วย ไม่ขอบคุณแล้วยังจะมาหาเรื่องต่อว่าเธออีก
“เอากลับไปคืนร้านซะ”
“ไม่ค่ะ” เธอยืนยันเสียงแข็ง เขาจะมาลิดรอนสิทธิในการแต่งตัวของเธอไม่ได้
“ถ้าไม่เอาไปคืน ฉันจะเป็นคนฉีกมันด้วยมือของฉันเอง” เขาพูดเสียงแข็งกลับ แววตาที่จ้องมองดูโกรธจริงจังกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแค่นี้
ก่อนที่ทั้งคู่จะมีปากเสียงกันไปมากกว่านี้ พี่ผึ้งก็เดินมาถึงหลังจากที่เธอเดินไปส่งสอางค์แทนเจ้านายของตน ปัญวิชญ์จึงต้องลดอารมณ์โมโหของตนเองลงไป
“เอาชุดว่ายน้ำกลับไปคืนร้าน” เขาพูดย้ำด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเดินจากไป
“คุณปั้นโกรธที่คุณเอื้องซื้อชุดว่ายน้ำเหรอคะ คงจะหวงไม่อยากให้ใครเห็น” พี่ผึ้งพูดเย้าสิริญญา แล้วอมยิ้มแซว
“คงงั้นมั้งคะ” หญิงสาวตอบเพียงเท่านั้น แม้ในใจจะค้านว่าเขาไม่ได้หวงเธอหรอก แค่อยากหาเรื่อง แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป
“พี่ไปแล้วนะคะ” เมื่อเห็นว่าปัญวิชญ์สาวเท้าเร็วไม่รอ เลขานุการสาวจึงต้องรีบตามไป
เมื่อกลับมาถึงบ้านสิริญญาก็นำถุงข้าวของขึ้นไปลองชุดที่ห้องด้านบน เธอหมุนตัวไปมาหน้ากระจกแล้วยิ้มอย่างพอใจ
จากนั้นก็หยิบชุดว่ายน้ำมาลองสวมใส่ ให้เอาไปคืนอย่างนั้นหรือ ไม่มีทางเสียล่ะ ที่ผ่านมาบางเรื่องที่เธอยอมก็เพราะไม่อยากทะเลาะด้วย แต่บางเรื่องเขาก็หาเรื่องเธอจนเกินไปจริง ๆ
หลังจากลองชุดจนเป็นที่น่าพอใจแล้ว เธอก็นำเสื้อผ้าเหล่านี้ลงไปซักเพื่อที่จะให้ทันสวมใส่ไปเที่ยวทะเล
หญิงสาวไม่อยากท้าทายอำนาจของเขา เธอแค่อยากมีอิสระในการทำให้ตัวเองมีความสุขบ้าง เพียงแค่เธอสวมใส่ช่วงที่เขาเข้าสัมมนา แค่นี้เขาก็ไม่รู้แล้ว
************************