ตอนที่7

3057 คำ
     นั่งคุยไปไม่เท่าไหร่สาวใหญ่อดีตนางเอกละครที่ผันตัวเองมาอยู่เบื้องหลังกำลังเดินยิ้มเข้ามาในเต้นท์ทำให้นางร้ายคนสวยรีบลุกขึ้นยิ้มพร้อมยกมือไหว้อีกคน "สวัสดีค่ะพี่ทิพย์" "สวัสดีจ๊ะพาย งานกองโน้นเสร็จแล้วเหรอคะถึงมาได้เนี่ย" ทิพย์อาภาผู้จัดละครประจำกองเอ่ยทักทายนักแสดงสาวที่เคยร่วมงานกันมาจนคุ้นเคยพอสมควร "ถ้าเป็นฉากถ่ายทำที่โน่นของพายเรียบร้อยแล้วค่ะ เหลือส่วนที่จะต้องกลับมาถ่ายที่อยุธยาสัปดาห์หน้าอีกสี่ห้าซีนค่ะ" "แสดงว่าใกล้ปิดกล้องแล้วสิคะ พี่เจนทุ่มสุดตัวเลยสิงานนี้" ผู้จัดอารมณ์ดีแถมยังใจดีอีกด้วยเอ่ยเย้าออกไป เจนสุดาเป็นผู้จัดละครรุ่นพี่หรือจะเรียกรุ่นอาวุโสก็คงได้เพราะสมัยที่ทิพย์อาภายังทำงานเบื้องหน้าก็ได้ผู้จัดท่านนี้ป้อนงานละครให้เธอหลายต่อหลายเรื่องจนเป็นที่รู้จักของประชาชน เธอจึงนับถืออีกคนเป็นแบบอย่างในงานทำงานทั้งยังให้ความเคารพเหมือนญาติผู้ใหญ่อีกด้วย "แพคเกจทัวร์พร้อมที่พักสามวันสองคืนที่โรงแรมห้าดาวในภูเก็ตแถมงบสังสรรค์อีกทั้งทีมงานเลย  แบบนี้พี่ทิพย์คิดว่าทุ่มเทหรือเปล่าละคะ บางคืนถ่ายยันตีสามทีมงานยังไม่พากันบ่นสักแอ๊ะเลยค่ะ" พิชญากรเล่าไปขำไปเมื่อนึกถึงกองละครพีเรียดอิงประวัติศาสตร์ที่เธอร่วมแสดงด้วย การได้ร่วมงานกับทีมงานที่คุ้นเคยกันทำให้การทำงานทุกอย่างไม่ค่อยมีปัญหา แม้ว่าละครเรื่องนี้ถือว่าเป็นละครฟอร์มยักษ์เรื่องหนึ่งของช่องที่ใช้นักแสดงมากฝีมือทั้งรุ่นใหม่รุ่นเก่าหลายท่านไหนจะนักแสดงสมทบอีกมากมาย แต่ป้าเจนที่พวกเธอเรียกขานก็พาทีมงานนักแสดงผ่านมาได้จนเหลืออีกไม่กี่ฉากก็จะถึงตอนจบอย่างสมบูรณ์แล้วนับว่าเป็นละครที่เธอทำงานด้วยนานร่วมปีเลยทีเดียว "พี่ว่าแล้วเชียว เพราะแบบนี้ไงพี่เจนถึงได้ใจนักแสดงไปเต็มๆไม่ว่าจะเปิดละครเรื่องไหนก็มีแต่คนอยากจะไปร่วมงานด้วย นี่ถ้าน้องเจไม่ติดคิวถ่ายของพี่ก่อนคงจะไม่รอดมือคุณป้าแกเหมือนกัน ว่าแต่น้องแพรวเราเป็นไงบ้างได้ร่วมแสดงกับบรรดาพี่ๆมืออาชีพคงจะได้พัฒนาฝีมือขึ้นได้เยอะนะพี่ว่า" เมื่อนึกขึ้นได้ทิพย์อาภาก็ไถ่ถามถึงดาราดาวรุ่งอีกคนที่เธอก็มีส่วนช่วยดันน้องใหม่คนนี้อยู่ไม่น้อยเพราะละครที่ทำให้คนดูได้รู้จักนักแสดงสาวอย่างแพรวริสาที่เพิ่งได้เล่นละครเป็นเรื่องที่สองและรับบทนางเอกเรื่องแรกของทิพย์อาภาคู่กับนักแสดงชายดาวรุ่งอีกคนที่เข้าวงการมาไล่เลี่ยกัน ถือว่าเธอมองคู่ขวัญน้องใหม่ไม่ผิดเมื่อละครของเธอได้รับการตอบรับค่อนข้างดีมากทีเดียว "น้องแพรวถือว่าฝีมือพัฒนาค่อนข้างเร็วเลยละคะพี่ทิพย์ ใหม่ๆน้องก็มีเกร็งๆบ้างเพราะเรื่องนี้ภาษาที่ใช้ในละครมันเป็นรุ่นสมัยก่อน แต่พอน้องเริ่มชินก็แทบจะไม่มีปัญหาให้ต้องห่วงเลยค่ะ" พิชญากรกล่าวถึงรุ่นน้องที่ได้รับบทเด่นในเรื่องนี้จะเรียกว่าเป็นนางรองของเรื่องก็คงได้ เพราะบทที่แพรวริสาได้รับนั้นต้องคอยเคียงข้างกับนางเอกรุ่นพี่อย่างนริศนันท์นักแสดงมากฝีมืออีกคน "ถ้าอยากเห็นน้องแพรวพัฒนาฝีมือมากขึ้นไปกว่านี้ทิวาก็คงจะต้องขอความเมตตาจากคุณพี่ทิพย์ช่วยป้อนงานให้น้องของทิวาเรื่อยๆหน่อยนะคะ" "แหมคุณทิวา ดาราในสังกัดทุกวันนี้คิวว่างแทบจะไม่มีเลยนะคะเอาเงินไปเก็บไว้ไหนกันคะ" ทิพย์อาภาเอ่ยแซวผู้จัดการมากความสามารถอย่างทิวาที่ไม่ว่าจะปั้นคนไหนขึ้นมาก็เหมือนจะดังไปตามๆกัน "ต๊าย! ดูพูดเข้า ทิวาก็กินใช้เลี้ยงดูปูเสื่อครอบครัวทำบุญทำทานสิคะคุณพี่" "เลี้ยงดูครอบครัวหรือเลี้ยงดูหนุ่มน้อยกันคะพี่ทิวา" พิชญากรเอ่ยแซวอีกคนไปด้วย "น้องพายขา ไม่ต้องมาแซวพี่ในทางเสื่อมเสียเลยนะคะคุณน้อง ไม่มีหรอกค่ะหนุ่มน้อยน่ะอย่างพี่เน้นต่างชาติเงินถุงเงินถังค่ะ ถ้ามีแต่กาละมังซักผ้าพี่ไม่เอาค่ะ"ฮิฮิ หึๆ ฮ่าๆ เสียงหัวเราะขำขันของแต่ละคนที่ได้ฟังกระเทยร่างใหญ่ใจสาวกล่าวออกมา "พาย! มายังไงเนี่ย? เจว่าจะโทรหาอยู่เลยคืนนี้น่ะ" เจติยาที่ได้เวลาพักกองเมื่อถ่ายทำคิวของตนผ่านไปเรียบร้อยเดินเข้าไปในเต้นท์ก็ร้องทักขึ้นด้วยความดีใจเมื่อเห็นเพื่อนสนิทนั่งเม้าอยู่กับพวกพี่ทีมงาน ก็พวกเธอไม่เจอหน้ากันมาเกือบเดือนเพราะต่างคนต่างทำงานมีแต่คอยไถ่ถามกันผ่านข้อความแชทเท่านั้น พิชญากรลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเมื่อเพื่อนสาวเดินเร็วเข้ามาสวมกอดอย่างเคยทำเมื่อนานๆพวกเธอจะได้เจอกัน "หือ นี่ผอมลงหรือเปล่าพาย" เจติยาผละออกมามองสำรวจเพื่อนรัก แม้หน้าตายังดูสดใสแต่ดูหุ่นเพื่อนจะบางลงไปด้วยหรือเปล่า "อือนิดนึงน่ะ ก็ชุดที่ต้องใส่ถ่ายละคร ดันมีแต่ชุดโชว์พุงทั้งนั้นเลยพายเลยไม่กล้ากินเยอะ" ฮ่าๆ เสียงหัวเราะขำทั้งคนฟังคนเล่า "แล้วกลับมาคนเดียวเหรองานเสร็จยัง" "ที่กองยังเหลือถ่ายอีกวันหนึ่ง พายกลับมาก่อนน่ะพรุ่งนี้มีถ่ายโฆษณาตอนสิบโมง ถ้ามาตอนเช้าเลยก็ขี้เกียจเลยขอป้ากลับมาพักเอาแรงก่อน" "เหรอดีๆงั้นคืนนี้ไปค้างกับเจหรือเปล่า หรือกลับไปนอนบ้าน" "ตั้งใจจะค้างกับเจนั่นล่ะถึงได้แวะมาหานี่ไง พรุ่งนี้จะได้ตื่นสายได้พายบอกที่บ้านแล้วล่ะ" "โอเคเพื่อนรัก มีอะไรจะคุยด้วยเยอะแยะเลยล่ะ" อะแฮ่ม เสียงกระแอมเบาๆและสายตายิ้มได้ของผู้จัดการส่งมาล้อเลียนอีกแล้ว "มีอะไรหรือเปล่าคะเนี่ยพี่ทิวา" "พี่น่ะไม่มีหรอกค่ะ แต่เพื่อนรักของเราน่ะคงมี หึๆ" คำตอบพาให้ชวนสงสัยใคร่รู้ทำให้นางร้ายคนสวยหันมองเพื่อนรักก็เห็นอีกคนอมยิ้มก่อนที่เจติยาจะยื่นหน้ามากระซิบข้างหู "ไว้เล่าให้ฟังคืนนี้" พิชญากรนั่งรอเพื่อนรักอยู่อีกชั่วโมงกว่าเจติยาถึงได้หมดคิวถ่ายของวันนี้ "เฮ้อ ตาบวมอีกแล้ววันนี้กลั่นน้ำตาทั้งวันเลยน่ะ" "กลับไปคืนนี้ต้องบำรุงหนักเลยนะ เดี๋ยวพายขับให้เจจะได้พักง่วงก็หลับไปเลยนะ ว่าแต่จะแวะที่ไหนหรือเปล่าเจ" "อืม แล้วพายจะไปทำอะไรกินที่ห้องหรือแวะทานข้างนอกก่อนล่ะ" "ที่ห้องเจมีของพอที่จะทำอะไรกินไหมล่ะ พายก็ขี้เกียจไปร้านเหมือนกัน" "มีๆจ๊ะเพิ่งซื้อเข้าไปเมื่อวันก่อนนี่เองยังเหลือเต็มตู้" "โอเคงั้นกลับไปทำอะไรกินกันที่ห้องละกัน" ทั้งสองสาวกลับมาถึงคอนโดก็เกือบห้าโมงเย็น พิชญากรอาสาเป็นคนทำอาหารเองเพราะเห็นเพื่อนรักท่าทางเหนื่อยๆ อาหารเย็นง่ายๆสี่อย่างเสร็จเรียบร้อยภายในครึ่งชั่วโมง "เจได้เจอจิณบ้างหรือเปล่าช่วงนี้น่ะ" "ไม่ได้เจอกันตั้งแต่ต้นเดือนที่พวกเรานัดทานข้าวกันนั่นแหล่ะ เห็นบอกตอนนี้ยุ่งกับการดูแลนักร้องใหม่ที่กำลังจะมีคอนเสิร์ตครั้งแรกน่ะ" "คงจะยุ่งพอๆกับเราทักแชทไปทีข้ามวันถึงตอบหึๆ" สองสาวพูดไปถึงเพื่อนสนิทอีกคนอย่างจิณตภัทรที่ครอบครัวเป็นเจ้าของค่ายเพลงและเพลงประกอบละครหลายๆเรื่องของช่องก็มาจากนักร้องในสังกัดค่ายนี้เหมือนกัน      พิชญากรนั่งกอดหมอนพิงหัวเตียงมองเพื่อนรักที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จและเจ้าของห้องกำลังนั่งละเลียดทาครีมบำรุงผิวอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง  ริมฝีปากบางยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยเธอมีความรู้สึกว่าเพื่อนสาวน่าจะมีอะไรดีๆเพราะแววตาของเพื่อนรักมันดูเป็นประกายวิบวับแปลกๆ รอไม่นานอีกคนก็คลานขึ้นมายังเตียงอีกด้าน ที่จริงห้องชุดของเจติยามีห้องนอนสองห้องซึ่งบางครั้งเวลาเธอหรือจิณตภัทรมาค้างด้วยก็จะไปนอนห้องนั้น แต่ส่วนมากก็มักจะมานอนกองกันในห้องนี้ซะมากกว่าเพราะนานๆต่างคนจะได้มีเวลาเจอกันพอได้เจอกันทีเลยต้องใช้เวลาเม้าท์กันไปค่อนคืน "ว่าไง พร้อมหรือยัง รู้สึกว่าคุณเพื่อนจะดูมีอะไรดีๆใช่ไหมแววตานี่เปล่งประกายวิบวับเชียวนะ" "ขนาดนั้นเลยเหรอพาย เจไม่เห็นว่าตัวเองจะแปลกไปเลยนะ" "หน้าไม่แปลกหรอก แต่แววตานี่วิ้งๆเชียว มีอะไรปิดเพื่อนเล่ามาซะดีๆเลยคุณนางเอก" หึๆ "ปิดที่ไหนล่ะ ก็ตั้งใจจะบอกอยู่แล้วบังเอิญพายมาหาพอดีนี่แหล่ะ เรื่องก็คือว่า...อาทิตย์หน้าเจจะหมั้นน่ะ" "ห๊ะ! มะ หมั้น หมั้นกับใคร นี่ไม่ได้ล้อพายเล่นใช่ไหม?" เจติยาหัวเราะออกมาเบาๆพลางส่ายหน้าให้คนที่ตาโตตกใจเมื่อเธอจงใจบอกแบบไม่เกริ่นอะไรเลย "หมั้นจริงๆจ๊ะ พายจำเรื่องที่เราขับรถไปเฉี่ยวชนชาวบ้านเมื่อต้นเดือนได้ไหม เราจะหมั้นกับคนนั้นแหล่ะ" "เจ พูดยังกับละครทำไมมันเกิดอะไรขึ้นแล้วจู่ๆถึงได้ไปหมั้นกับคนที่เจอกันตอนรถชนน่ะฮึ ช่วยขยายความหน่อยพายชักงงแล้วนะเนี่ย" พิชญากรถามออกไปด้วยความมึนงงกับเพื่อนจริงๆ ที่เพื่อนขับรถไปชนรถชาวบ้านน่ะเธอรู้จำได้ แต่ที่งงและไม่เข้าใจคือเกิดอะไรขึ้นเพื่อนเธอถึงจะไปหมั้นกับเจ้าของรถได้ เจติยายิ้มขำให้เพื่อนก่อนจะเล่ารายละเอียดทุกอย่างเท้าความไปถึงอดีตวัยเด็กและย้อนกลับมาที่ปัจจุบัน พิชญากรที่ตอนแรกก็นั่งฟังพลางพยักหน้ารับรู้จนเมื่อช๊อตเด็ดของเรื่องนั่นล่ะ อีกฝ่ายถึงกับขำพรืดออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว ฮ่าๆ "โทษทีๆ พายขอขำก่อน โอย พี่เขาคิดได้ยังไงว่าอยากทำเหมือนพระเอกในละครน่ะ" "เมาไงคนบ้าอะไรไม่รู้เมาแล้วเปลื้องผ้าตัวเองยังไม่พอ ยังมโนความฝันเอามาเป็นเรื่องเป็นราวอีก" นางเอกสาวบ่นไปใบหน้าสวยก็เห่อร้อนไปด้วย ฮ่าๆ "เจ แต่ถ้าคิดในอีกแง่หนึ่งพี่ปรางของเจเขาอาจจะชื่นชอบเจมากก็ได้นะ ถึงขนาดจำบทละครแล้วเอามาเพ้อเป็นฝันแบบนั้นน่ะ" พิชญากรกล่าวออกไปทั้งขำ เรื่องความทรงจำวัยเด็กของเจติยาอีกคนเคยเล่าให้เธอฟังเหมือนกันตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมนั่นแหล่ะ และหลายครั้งเธอก็ยังแอบแซวเพื่อนว่าที่ไม่ยอมมีใครเพราะรอคอยคนๆนั้นอยู่หรือเปล่า แต่สุดท้ายโชคชะตาก็ชักนำทั้งคู่กลับมาเจอกันจนได้มิหนำซ้ำยังทำให้เกิดเหตุการณ์มัดทั้งสองให้มาเกี่ยวข้องกันอย่างไม่น่าเชื่อ "และที่มันไม่น่าเชื่ออีกอย่างคือ คุณแม่ของเจกับปรางท่านเคยเป็นเพื่อนกันตอนเรียนมัธยมด้วยนะพาย พวกเราเพิ่งจะรู้ก็วันที่คุณพ่อคุณแม่เขาไปคุยกันนี่แหล่ะ" "โห ยิ่งกว่าละครอีกนะเจ แบบนี้ต้องเรียกว่าพรหมลิขิตจริงๆแล้วล่ะอะไรจะบังเอิญขนาดนั้นน่ะ แต่พี่ปรางของเจนี่แมนเน๊อะกล้าแสดงความรับผิดชอบทั้งที่ยังไม่รู้ว่าเจคือเด็กคนนั้นด้วยซ้ำ" "อือ ทีแรกเจก็ทำใจไว้แล้วนะถ้าเขาไม่รับผิดชอบก็ไม่เป็นไรเพราะมันก็ยังไม่ถึงขั้นเสียหายอะไรขนาดนั้นไง ตกใจเหมือนกันที่เขายอมเออออไปกับคุณแม่ง่ายๆน่ะ" "ตกใจแต่ลึกๆแล้วดีใจใช่ไหมล่ะ หึๆ" ยิ้มหน้าแดงไม่ปฏิเสธสักคำเลยนะเพื่อนฉันหึๆ "แล้วนี่บอกจิณมันหรือยัง เดี๋ยวก็เคลียร์เวลามาร่วมงานหมั้นไม่ได้หรอก"  "ยังเลยตอนนี้มีพี่ทิวาคนเดียวที่เจบอกไป ทีแรกกะว่าสุดสัปดาห์นี้จะนัดเจอกันซักหน่อยเพราะพายกับกระต๊อบก็กลับจากต่างจังหวัดกันแล้วน่าจะพอรวมตัวกันได้" "อือ ถ้างั้นส่งข้อความบอกในกลุ่มเลย เอาเป็นเย็นวันเสาร์ละกันช่วงเย็นไม่มีงาน" "จัดไปค่ะเพื่อนรัก" เสียงข้อความแอปดังขึ้นให้นางเอกสาวได้เปิดเข้าไปดูก่อนจะทั้งขำทั้งเขิน นี่พิชญากรเล่นส่งไปบอกแบบนี้สงสัยเจอกันยัยกระต๊อบคงได้ซักฟอกเธอจนขาวแน่ๆ (เสาร์นี้รวมตัวกันด่วนร้านเดิม มารับการ์ดแต่งงานของนางสาวเจติยากันด้วยนะคะเพื่อนๆ ย้ำด่วน ! จริงจังนะคะถ้าหาเวลาไปตัดชุดกันไม่ทันอย่ามาบ่นกันทีหลังนะจ๊ะ) ******     วันหมั้นของสองสาวถูกจัดขึ้นเป็นการภายในหลังวันเจรจาสู่ขอเพียงแค่สองสัปดาห์เมื่อมารดาของเจติยาได้ฤกษ์ดีมา และวันนี้ทางผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าจะนิมนต์พระมาฉันเพลที่บ้านเพื่อเป็นสิริมงคลกับลูกๆไปด้วย และเหตุผลแฝงอีกอย่างก็คือให้คนละแวกบ้านใกล้เคียงกันคิดว่าที่บ้านของอัศวะโภคินนั้นไม่ได้จัดงานสำคัญอะไรเพียงแค่นิมนต์พระมาฉันเพลที่บ้าน พิธีการเรียบง่ายที่มีเพียงญาติทั้งสองครอบครัวและเพื่อนสนิทกับผู้จัดการของนางเอกสาวมาร่วมเป็นสักขีพยานเท่านั้น "แหม ลุงละปลื้มจังจะได้หลานสะใภ้เป็นถึงนางเอกดังแบบนี้น่ะ" ปภณภพพี่ชายคนโตของปรเมศร์เอ่ยแซวสองสาวที่นั่งพับเพียบอยู่ที่พื้นพรมหน้าโซฟาตัวใหญ่เพื่อทำพิธีสวมแหวนหมั้น ปรางวรัญยิ้มพร้อมหันมองคนที่นั่งอยู่ข้างกันที่กำลังยิ้มขัดเขินใบหน้าสวยที่แต่งแต้มเพียงบางๆก็ยังดูสวยในสายตาเธอ  "เอาล่ะได้เวลาแล้ว ปรางสวมแหวนหมั้นให้หนูเจก่อนลูก" ปภณภพที่วันนี้รับหน้าที่เป็นผู้ใหญ่ทางฝ่ายของพิพัฒน์บดินทร์บอกหลานสาวพร้อมยื่นกล่องแหวนให้ ปรางวรัญหยิบมาเปิดออกในนั้นมีแหวนวงกำลังสวยและเธอก็ไปสั่งทำมาเป็นพิเศษด้วยการสลักชื่อย่อของตัวเองและเจติยาเข้าไป เพชรน้ำงามขนาดสามกะรัตดูพอเหมาะพอดีสำหรับที่จะใส่ติดตัวได้ตลอดเวลา "วงนี้ปรางตั้งใจทำเพื่อต่อไปเจจะได้ใส่ติดตัวได้ตลอดนะคะ แต่ถ้าชอบใหญ่กว่านี้เจก็เลือกเอาในชุดนั้นก็แล้วกัน" ปรางวรัญกล่าวยิ้มๆพลางพยักเพยิดให้อีกคนมองไปที่กล่องสีน้ำเงินที่วางอยู่บนพาน มือเรียวยื่นไปจับเอามือบางมาวางไว้ที่ตักก่อนจะบรรจงสวมแหวนเข้าที่นิ้วนางซ้ายของนางเอกสาว ไม่ว่าต้นเหตุที่ทำให้มีวันนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร แต่นับจากนี้ไปคนหน้าหวานได้ถือว่าเป็นคู่หมั้นของเธอแล้ว เจติยาพนมมือไหว้อีกคนด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกมันทั้งสุขอบอุ่นอ่อนหวานปะปนกันจนแยกไม่ออก "อ่ะนี่แหวนของลูกสวมให้พี่เขาซะ" เจษฏายื่นกล่องแหวนให้ลูกสาว ร่างบางหยิบกล่องแหวนมาเปิด อะไรมันก็เหมือนเป็นเรื่องบังเอิญใจตรงกันอยู่ร่ำไปเพราะขนาดเพชรที่ใช้เธอก็เลือกน้ำหนักแค่สามกะรัตเหมือนอีกคนจะต่างกันที่ตัวแหวนซึ่งเจติยาเลือกเป็นทองคำขาวแบบไร้ลวดลายแต่สลักอักษรชื่อย่อของเธอแทนตั้งใจว่าให้เป็นทั้งแหวนหมั้นและใส่แทนแหวนแต่งงานในอนาคตไปด้วยเธอเลยเลือกแบบเรียบๆให้เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยใส่อะไรหรูหรา คนร่างสูงอมยิ้มเมื่อเห็นอาการหน้าแดงขัดเขินของอีกคนเมื่อมือบางยื่นมาดึงมือเธอไปก่อนค่อยๆสวมแหวนเข้าที่นิ้วนาง แปลกที่เจติยาเลือกแหวนได้ถูกใจเธอเพราะปกติเธอเป็นคนไม่ค่อยชอบใส่เครื่องประดับอยู่แล้วและถ้าหากจะมีก็คงเลือกแบบเรียบง่ายแบบนี้แหล่ะ  "ขอบคุณค่ะ" ร่างสูงเอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้มหวานที่ทำเอาคนที่เงยหน้ามาสบตาเข้าอดที่จะยิ้มเขินๆกลับมาให้ไม่ได้ "เอาล่ะพิธีหมั้นก็ถือว่าเรียบร้อยนะ ส่วนงานแต่งจะจัดยังไงแบบไหนก็ค่อยว่ากันอีกที" "เดี๋ยวสิคุณลุง ปรางยังไม่ได้รูปเป็นที่ระลึกเลยค่ะ" "อ้าว ก็พี่ชายเราเขายืนถ่ายอยู่นั่นไงล่ะ หรือแกจะให้ถ่ายเพิ่มอีกก็บอกพี่เขาสิ" "ก็ปรางยังไม่ได้ภาพหวานๆเลยนี่" ฮ่าๆ "อ่อ เข้าใจแล้วครับคุณลุงว่าน้องอยากได้อะไร น้องเจครับ ขอซีนหวานๆเหมือนในละครหน่อยนะครับ" ปรมัตถ์เอ่ยแซวว่าที่น้องสะใภ้ทั้งขำเจ้าตัวแสบน้องสาวตัวเอง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม