ตอนที่6

3167 คำ
      ปรางวรัญนั่งดูอะไรไปเรื่อยเปื่อยในช่วงที่รอนางเอกสาวโทรกลับมา จะว่าดูเรื่อยเปื่อยซะทีเดียวคงไม่ถูกเพราะหนึ่งในนั้นเธอเข้าไปหาดูข้อมูลส่วนตัวของนางเอกสาวไปด้วย มีแฟนเป็นคนดังข้อดีมันก็ตรงที่หาข้อมูลส่วนตัวง่ายนี่ล่ะ จะไม่ดีก็คงขาดความเป็นส่วนตัวนั่นเอง สายตาคมไล่ดูประวัติส่วนตัวของว่าที่คู่หมั้นและพยายามที่จะจดจำข้อมูลที่สำคัญเอาไว้ ชื่อจริง. เจติยา  อัศวะโภคิน ชื่อเล่น. เจ วันเดือนปีเกิด 21 กุมภาพันธ์ 2534 ส่วนสูง 167 ซม. น้ำหนัก 53 กก. สีที่ชอบ ฟ้า,ขาว อาหารที่ชอบ อาหารประเภทเส้น ก๋วยเตี๋ยวผัดไท และอาหารเพื่อสุขภาพ งานอดิเรก ดูหนัง ฟังเพลง ออกกำลังกาย สัตว์ที่ชอบ แมว,สุนัข สิ่งที่เกลียด คนเจ้าชู้ หืม ปรางวรัญอ่านถึงตรงนี้ถึงกับครางในคอและอดที่จะยิ้มขำออกมาไม่ได้เมื่อเจอข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้รวมเป็นประวัติย่อของอีกคน จากนั้นก็มีประวัติครอบครัวและการศึกษา และประวัติผลงานทั้งหนังละครพรีเซ็นเตอร์ต่างๆมากมาย เพิ่งรู้ว่าเจติยาอ่อนกว่าเธอหนึ่งปีแถมอีกคนยังเกิดเดือนต่อจากเธออีกต่างหากและมันก็ช่างบังเอิญที่วันเกิดเธอคือวันที่21มกราคม แหมคนจะเป็นเนื้อคู่กันมันต้องมีอะไรตรงกันแบบนี้ด้วยหรืออย่างไรปรางวรัญคิดในใจขำๆ จนเมื่อเสียงเรียกเข้าของมือถือดังขึ้นจึงได้ละสายตาออกจากจอไอแพด "ง่วงหรือยังคะ?" ประโยคแรกของคนที่โทรกลับเข้ามาเรียกรอยยิ้มของคนที่นอนดึกบ่อยๆออกมาเมื่อกดรับสาย "เพิ่งสามทุ่มกว่าเองนะคุณจะให้รีบนอนไปไหนคะ" "แล้วปรางทำอะไรอยู่คะ" "นั่งดูคุณอยู่น่ะ" คนแสนกวนก็ตอบกลับไปขำๆ "หือ ดูละครเหรอคะ วันนี้ไม่มีละครที่เจเล่นออนแอร์นี่คะหรือว่าดูจากยูทูบเหรอคะ" "เปล่าไม่ได้ดูละคร นั่งดูรูปคุณนี่แหล่ะ เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าคุณอ่อนกว่าฉันตั้งปีเชียว" คำตอบและคำบอกเล่าของอีกฝ่ายทำให้เจติยาหัวเราะเบาๆเธอน่ะพอจะรู้ข้อมูลส่วนตัวของปรางวรัญมาบ้างแล้วตั้งแต่ที่ได้รู้ว่าเจ้าของรถที่ตนขับไปชนคือคนในความทรงจำวัยเด็ก "พูดแบบนี้อยากให้เจเรียกพี่หรือไงคะ" น้ำเสียงหวานเหมือนจะกวนกลับมาบ้าง "ไม่อ่ะ ไม่อยากมีน้องเพิ่มค่ะ เออเจ ปรางเรียนคุณพ่อคุณแม่เรื่องของเราแล้วนะคะ ท่านสะดวกจะเข้าไปเจอพ่อแม่คุณวันอาทิตย์หน้านี้น่ะ" "เหรอคะ อืมพอดีล่ะพรุ่งนี้เจเข้าไปนอนที่บ้านจะได้บอกคุณพ่อคุณแม่เลย แล้วคุณพ่อคุณแม่ปรางท่านไม่ตกใจเหรอคะที่รู้เรื่องน่ะ" หึๆ "ก็ตกใจแหล่ะ ยิ่งคุณแม่น่ะห่วงว่าที่สะใภ้ออกนอกหน้าเลย นี่แขนปรางยังมีรอยฝ่ามือคุณแม่อยู่เลยนะเนี่ย คนอุตส่าห์หาลูกสะใภ้ถูกใจให้แล้วยังจะมาทุบตีกันอีก" เสียงบ่นถึงบุพการีทำให้คนฟังทั้งขำทั้งเขินไปด้วย  "ไปทำยังไงให้คุณป้าท่านตีได้ล่ะ แต่ก็สมน้ำหน้าแล้วล่ะ อยากเมาแล้วมาลวนลามกันแบบนั้นน่ะ" แม้จะขัดเขินเมื่อเอ่ยถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมาแต่นางเอกสาวก็อดที่จะแขวะอีกคนกลับไม่ได้ "ก็เพราะสารภาพผิดไปนี่ไงถึงได้โดนฝ่ามือพิฆาตเข้าน่ะ เออแต่ปรางยังไม่ได้เล่าให้ท่านฟังหรอกนะ ว่าคุณคือยัยเปี๊ยกที่ท่านเคยทำแผลให้ตอนเด็กน่ะ เผื่อคุณอยากจะเซอร์ไพรส์ท่านเอง" เจติยาอมยิ้มออกมากับความคิดของอีกคน "ขอบคุณนะคะ เจก็อยากเป็นคนบอกกับท่านเองเหมือนกัน" "อือ ถ้างั้นก็เอาเป็นว่าถ้าทางพ่อแม่คุณไม่ติดปัญหาเรื่องเวลา ปรางจะให้คุณพ่อคุณแม่เข้าไปวันอาทิตย์นะ จะสี่ทุ่มแล้วคุณก็พักผ่อนเถอะ" "ค่ะเดี๋ยวถ้าติดอะไรเจจะโทรบอกแล้วกัน ฝันดีค่ะ" "เดี๋ยว เจ" "คะ?" "เอาใหม่ บอกฝันดีใหม่ค่ะ ทำไมไม่เห็นหวานเหมือนวันนั้นเลย" คำทักท้วงที่มากับน้ำเสียงเง้างอนทำให้เจติยาอดที่จะขำออกมาไม่ได้ สมองคิดย้อนไปถึงวันที่เธอคุยกับอีกคนเมื่อหลายวันก่อน "ฝันดีนะคะ ปราง" น้ำเสียงหวานยอมเอ่ยออกไปทั้งที่ตอนนี้ใบหน้าชักจะเห่อร้อนขึ้นมาด้วยเขินอายกับสิ่งที่ทำอยู่ไม่น้อย "ฝันดีค่ะ น้องเจของพี่ปราง" แต่ทว่าน้ำเสียงอบอุ่นนุ่มนวลที่ตอบกลับมากลับพาใจคนฟังสั่นไหวยิ่งกว่า แม้ว่าสายจะถูกตัดไปแล้วแต่รอยยิ้มที่แต้มอยู่บนใบหน้าสวยและริมฝีปากบางยังไม่มีแววว่าจะหุบลงง่ายๆ ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตั้งใจเอ่ยคำแสนหวานอบอุ่นให้อีกฝ่ายได้ยินก่อนนอนเช่นกัน      เมื่อวันนัดหมายมาถึงครอบครัวของปรางวรัญที่วันนี้มีพี่ชายมาด้วยจะขาดอีกคนคือปุณณกันต์น้องชายที่เรียนปริญญาโทอยู่ต่างประเทศและกำลังอยู่ในช่วงสอบเทอมสุดท้ายพอดี คิดแล้วก็นึกขำกับความตื่นเต้นของน้องชายเหมือนกันหลังจากที่เธอเล่าให้ฟังและบอกกับคนน้องไปว่าที่จริงเจติยาคือเด็กผู้หญิงที่พวกเขาเคยช่วยพาไปทำแผลที่บ้านตอนเด็ก ทั้งหมดมาถึงบ้านของนางเอกสาวในตอนสิบโมงเช้าบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ที่เจติยาเล่าให้ฟังว่าหลังนี้เพิ่งย้ายมาอยู่เมื่อห้าปีที่แล้วนี่เอง ปรางวรัญลงจากรถเป็นคนแรกก็เจอกับผู้ชายที่เคยขับรถของเจติยาไปส่งเธอที่บ้านยืนยิ้มอยู่กับผู้หญิงสูงวัยอีกคน "สวัสดีครับคุณปรางวรัญ" ปองพลเอ่ยทักสาวสวยที่จากนี้ไปจะมีความเกี่ยวข้องกับเจ้านายสาวของพวกเขา  "ไม่ต้องเรียกเต็มยศขนาดนั้นแล้วพี่ปอง ต่อไปเรียกปรางก็พอค่ะ" ปรางวรัญเอ่ยทักด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรหลังจากที่ได้คุยอะไรกับเจติยาหลายวันที่ผ่านมาทำให้พอจะได้รู้เรื่องของคนในบ้านนี้ไปด้วย "ครับคุณปราง นี่คุณแม่ผมครับ" ปองพลยิ้มขอบคุณก่อนจะแนะนำมารดาตัวเองให้อีกฝ่ายรู้และก็ห้ามไม่ทันเมื่อปรางวรัญยกมือไหว้มารดาเขาอย่างไม่ถือตัว "สวัสดีค่ะคุณยายปิ่น เอ หรือจะให้เรียกนมปิ่นดีคะ" ปรางวรัญกล่าวยิ้มๆกับท่าทางสองคนแม่ลูกที่ทำหน้าตกใจรับไหว้เธอแทบไม่ทัน "โอย ไม่ต้องไหว้นมก็ได้ค่ะแม่คุณ" นมปิ่นบอกหญิงสาวหน้าตาดีอย่างนึกเกรงใจและเอ็นดูในกิริยามารยาทของอีกคนไม่น้อย ไม่นานเจติยากับมารดาบิดาก็เดินออกมาต้อนรับผู้มาเยือนถึงหน้าบ้าน นางเอกสาวส่งยิ้มให้อีกคนก่อนจะยกมือขึ้นไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองและชายหนุ่มอีกคนที่น่าจะเป็นพี่ชายของปรางวรัญ "สวัสดีค่ะคุณลุงคุณป้า พี่ปอ ใช่ไหมคะ" "สวัสดีหนูเจ นี่ตาปอพี่ชายยัยปรางเขาน่ะแหล่ะ" เปรมสินียิ้มรับไหว้ว่าที่สะใภ้ของตนอย่างชอบใจก่อนที่สายตาจะเบนไปที่ผู้หญิงวัยเดียวกันที่กำลังยืนจ้องเธออยู่ ทำไมถึงคุ้นๆหน้าแบบนี้ "เปรม ใช่เปรมหรือเปล่าเนี่ย" จรินทร์พรเอ่ยทักออกไปน้ำเสียงไม่มั่นใจเท่าไหร่ ให้อีกฝ่ายที่กำลังนึกสงสัยถึงบางอ้อขึ้นมาทันที "จอย นี่จอยเองเหรอ โอยตายแล้ว ทำไมโลกกลมแบบนี้ นี่เธอหายไปอยู่ไหนมาแล้วไปเปลี่ยนชื่อมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?" สองหญิงวัยห้าสิบกว่าที่แต่ละคนนั้นยังดูดีกันทั้งคู่ทักทายกันด้วยความตื่นเต้นให้คนที่เหลือได้แต่มองด้วยความงงงวยไปด้วย "เรื่องมันยาวน่ะเธอ ป่ะๆเข้าไปคุยกันในบ้านก่อนเถอะทุกคนเชิญๆค่ะ" "พี่ว่าโลกมันคงจะกลมจริงๆละมั้ง สงสัยคุณแม่พวกเราจะรู้จักกันมาก่อน" ปรมัตถ์กล่าวออกมาขำๆกับน้องสาวและเจติยาที่พากันเดินตามหลังผู้ใหญ่เข้าไปยังห้องรับแขก "นั่นนะสิ ชักจะเหมือนละครที่คุณเล่นเข้าไปทุกทีแล้วนะเจ" "เหมือนก็ดีสิคะ เจจะได้ไม่เหนื่อยเจอดราม่าในชีวิตจริงน่ะ" เจติยาตอบพลางอมยิ้มในหน้า ใครจะไม่ดีใจหากแม่สามีปลื้มว่าที่ลูกสะใภ้อย่างเธอล่ะ และถ้าคุณแม่ทั้งสองเคยรู้จักกันมาก่อนอันนั้นมันยิ่งดีสำหรับพวกเธอไม่น้อย "คุณลุงคุณป้าสวัสดีครับ สวัสดีคุณปรมัตถ์" เจตรินลุกขึ้นไหว้ผู้มาเยือนทันทีเมื่อทุกคนเข้ามายังห้องรับแขกที่เขานั่งรออยู่ "สวัสดีโจ ไปๆมาๆก็เหมือนจะพอรู้จักคุ้นหน้ากันอยู่นะ" ปรเมศร์กล่าวทักหนุ่มรุ่นลูกที่พอจะเคยเห็นหน้าตามงานสังคมบ้าง "นั่นสิครับ ผมไม่อยากเชื่อเลยวันนี้จะได้มาเกี่ยวดองกันฮ่าๆ" เจตรินกล่าวออกมาให้ที่เหลือพากันหัวเราะตาม และบรรยากาศยิ่งเป็นกันเองมากขึ้นเมื่อสองคุณแม่เคยเป็นเพื่อนสนิทกันตอนเรียนมัธยม "โลกมันช่างกลมจริงๆเลยนะจอย นี่ถ้าไม่ได้มาเจอตัวจริงก็คงไม่รู้ว่าหนูเจน่ะเป็นลูกสาวเธอ ฉันก็ยังว่าอยู่ทำไมเวลาเห็นหน้าหนูเจทีไรฉันก็นึกแต่ว่าเหมือนใครสักคนอยู่นั่นแหล่ะ" "อ๋อเพราะแบบนี้เหรอคะคุณแม่เลยปลื้มเจเขามากกว่าปกติน่ะ" ปรางวรัญเอ่ยเย้ามารดาออกมา "นั่นมันแค่ส่วนนึงย่ะ ที่ปลื้มน่ะฝีมือของหนูเจต่างหาก" เปรมสินีตอบลูกสาวก่อนจะยิ้มอบอุ่นให้ว่าที่สะใภ้ที่ยิ้มเขินอยู่อีกข้างของผู้เป็นแม่ "ขอบคุณนะคะคุณป้าที่ชอบฝีมือการแสดงของเจ และก็ขอบคุณที่ช่วยทำแผลให้เจเมื่อสิบปีก่อนนั่นด้วยค่ะ" "หือ อะไรนะลูก ทำแผล เดี๋ยวนะ นี่อย่าบอกนะว่าเด็กคนนั้นคือหนูเจน่ะ" เปรมสินีย้อนถามด้วยความแปลกใจทั้งไม่อยากจะเชื่อว่าอะไรทำไมถึงช่างบังเอิญขนาดนี้ "เจเองค่ะคุณป้า" เจติยาตอบออกไปด้วยรอยยิ้ม "อ้าว เป็นเธอเองเหรอที่จัดการล้างแผลทำแผลให้ยัยเจน่ะ นี่ถ้าเราได้เจอกันตั้งแต่วันนั้นคงจะจำกันได้ตั้งนานแล้วนะเปรม ไม่น่าเชื่อเลยอะไรจะบังเอิญขนาดนี้" "นั่นนะสิ สงสัยลูกเราจะเป็นเนื้อคู่กันจริงๆนะเธอ หึๆ" นั่นไงอาการปลื้มลูกสะใภ้ออกนอกหน้าของคุณแม่เธอ ปรางวรัญยิ้มขำก่อนจะส่งสายตาไปยังเนื้อคู่ของตนที่นั่งใบหน้าออกสีระเรื่อให้เห็นอยู่ตอนนี้  เมื่อทางผู้ใหญ่ได้ทบทวนความทรงจำกันเป็นที่พอใจแล้ว จึงได้เข้าสู่เรื่องสำคัญของการนัดหมายวันนี้เสียที "เอาล่ะครับผมจะได้เจรจาสู่ขอหนูเจอย่างเป็นทางการเลยก็แล้วกัน สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นอาจจะดูเหมือนยัยปรางไม่ให้เกียรติหนูเจ อันนี้ทางผมก็ขอโทษแทนลูกด้วย ส่วนเรื่องสินสอดทองหมั้นก็ให้ทางคุณเจษคุณจอยว่ามาเลยครับจะเอายังไงกัน" ปรเมศร์กล่าวออกมาให้อีกฝ่ายที่จะได้มาเกี่ยวดองกันยิ้มบางก่อนเจษฏาจะเอ่ยออกมา "นี่ถ้าหนูปรางไม่เสนอตัวรับผิดชอบการกระทำของตัวเองนะ ผมก็ว่าจะบุกไปหาพวกคุณถึงบ้านเหมือนกันนะคุณเมศคุณเปรม แต่ดีที่เจ้าตัวเขากล้าทำกล้ารับแบบนี้น่ะ ส่วนเรื่องสินสอดทองหมั้นอะไรนั่นน่ะพวกเราไม่เคยคิดกันไว้หรอกครับ ก็เอาตามที่ฝ่ายคุณจะเห็นสมควรก็แล้วกัน ขอแค่เด็กๆเขารักดูแลกันได้ผมก็ดีใจแล้วล่ะ" "เอาแบบนั้นเหรอครับ อืมถ้าอย่างนั้นทางผมก็จะให้คุณเปรมเขาจัดการแล้วกัน รู้สึกว่าเขาจะปลื้มว่าที่สะใภ้คนนี้มากๆคงทุ่มไม่อั้นล่ะผมว่า" ฮ่าๆ เสียงหัวเราะพออกพอใจของผู้ใหญ่และพี่ชาย แต่คนที่อายนั่งเขินหน้าขึ้นสีก็คือนางเอกสาวนั่นล่ะ "แล้วงานหมั้นจะให้จัดยังไงล่ะ หนูเจจะมีปัญหากับอาชีพหรือเปล่าลูก" เปรมสินีเอ่ยถามกึ่งปรึกษาคนของประชาชน "เจคุยกับคุณพ่อคุณแม่ไว้ว่าขอจัดแบบเงียบๆภายในครอบครัวก่อนค่ะ แค่ผู้ใหญ่รับรู้ก็พอ" "อืม ได้ลูก แล้วถ้าเกิดอนาคตมีคนนอกรู้ขึ้นมาล่ะหนูไม่มีปัญหานะ" "เรื่องนั้นเจก็คิดเตรียมรับมือกับพี่ทิวาไว้แล้วละคะ ถ้าวันหนึ่งเกิดมีใครเอาเรื่องนี้ไปเปิดเผยเจก็จะบอกไปตามจริง ส่วนจะมีผลอะไรตามมาเจก็คิดว่ารับได้ค่ะ จะห่วงก็ทางครอบครัวคุณลุงคุณป้านี่ล่ะที่อาจจะโดนสื่อมวลชนติดตามทำข่าวไปด้วยน่ะ" "เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกหนูเจ เรื่องจริงเป็นยังไงเราก็แค่ตอบเขาไปตามนั้นล่ะ" ปรเมศร์เอ่ยบอก ถึงพวกเขาจะไม่ค่อยชอบความวุ่นวายแต่ถ้าเป็นเรื่องของคนในครอบครัวแน่นอนจะเรื่องอะไรก็จะต้องปกป้องดูแลกันนั่นแหล่ะ "ขอบคุณค่ะคุณลุงคุณป้าที่เข้าใจ" เจติยายกมือไหว้ทั้งสองคน เธอโชคดีใช่ไหมที่จะมีคนรักทั้งทีก็ได้รับความเอ็นดูจากผู้ใหญ่ของอีกฝ่ายแบบนี้ "เอาล่ะในเมื่อตกลงกันได้แล้วคราวนี้ก็เหลือวันหมั้น เรื่องนี้คุณจอยเขารับอาสาจะเป็นคนจัดการเอง" เจษฏาบอกออกมาเมื่อใจความสำคัญตกลงกันได้แล้ว "ค่ะ พอดีฉันรู้จักหลวงพ่อที่พอจะเป็นที่นับถือศรัทธากันอยู่ เดี๋ยวจะไปให้ท่านช่วยดูวันดีให้ ถ้าได้วันแล้วจะแจ้งไปนะคะ" "ครับถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนั้นครับ ได้กำหนดวันเมื่อไหร่ทางเราจะได้เตรียมอะไรมาจัดการให้เรียบร้อย" "เออคุณ แล้วนี่คุณจะสวมแหวนหมั้นได้ยังไงล่ะถ้านักข่าวหรือคนอื่นเห็นเขาก็ต้องถามอยู่แล้ว" ปรางวรัญเอ่ยกับอีกคนเมื่อนึกขึ้นได้ ตอนนี้พวกเธอออกมานั่งเล่นที่สวนสวยข้างบ้านรอเวลาอาหารเที่ยง "เจก็ว่าจะคุยกับปรางอยู่เหมือนกัน ว่าคงต้องเอาแหวนใส่สร้อยห้อยคอแทนสวมที่นิ้วน่ะ คุณไม่ว่านะ" "อ๋อ ไม่ว่าหรอก งั้นปรางก็ไม่สวมโอเคไหมเราเสมอภาคกัน" ปรางวรัญกล่าวพร้อมหันมายิ้มกวนให้อีกฝ่าย แต่ทำให้อีกคนหน้างอลงทันทีจนนึกขำ  "มันเหมือนกันที่ไหนล่ะ เจไม่โชว์เพราะว่าห่วงคุณนะหรือปรางยอมเป็นข่าวตั้งแต่วันแรกที่หมั้นเจจะได้สวมที่นิ้วเลยฮึ" หึๆ "อยากแสดงความเป็นเจ้าของก็บอกตรงๆสิคะ" คำเอ่ยล้อเหมือนรู้ทันความคิดกันทำให้นางเอกสาวใบหน้าขึ้นสีจนต้องเสมองไปทางอื่นไม่กล้าสบตาคนที่ยิ้มล้อเลียนมาให้ "แล้วมันเป็นสิ่งที่ปรางควรทำไหมล่ะ หรือยังอยากจะโสดให้ใครต่อใครเข้าหาอีกฮึ" "แหน่ะ หึงอีกแร่ะ" คนชอบแกล้งก็ยังเอ่ยเย้าแหย่อีกฝ่ายขำๆ ก็เธอชอบเห็นเจติยาแสดงอาการหึงหวงนี่นะมันดีต่อใจใช่เล่นหึๆ ส่วนนางเอกคนสวยที่ได้แต่ฮึดฮัดขัดเขินก็ได้แต่ส่งสายตาค้อนอีกคนนั่นแหล่ะ จะปฏิเสธออกไปว่าไม่หวงก็ไม่ได้ก็เธอหวงอีกคนจริงๆนี่ "ปรางล้อเล่นหรอกน่า เดี๋ยวจะใส่ติดนิ้วไว้ตลอดไม่ถอดแน่นอนค่ะ พอใจหรือยังฮึคนขี้หวง" คำบอกเล่ากึ่งเอาใจและมืออุ่นที่ยื่นมาบีบแก้มนุ่มเบาๆอย่างมันเขี้ยว เรียกรอยยิ้มพอใจที่ปิดไม่มิดของคนแอบหวงออกมาได้ ปรางวรัญยิ้มออกมาบางๆไม่ต้องตอบก็พอจะรู้หรอกว่าอีกคนพอใจในสิ่งที่เธอตั้งใจจะทำให้น่ะ ก็บอกแล้วว่าถ้าเธอคิดจะมีใครขึ้นมาก็ไม่คิดจะนอกใจนอกกายอีกฝ่ายแน่นอน      ร่างสูงเพรียวของหญิงสาวที่แม้จะมีแว่นกันแดดสีชาอยู่บนใบหน้ากำลังเดินเข้าไปในกองถ่ายละครที่เพื่อนสาวกำลังทำงานอยู่เรียกสายตาของทีมคอสตูมที่นั่งคุยกันอยู่ในเต้นท์ส่งยิ้มให้และกำลังจะส่งเสียงทักทายนางร้ายหน้าหวานแต่ก็ต้องรีบหุบปากฉับลงทันควัน เมื่ออีกคนยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากตัวเองส่งสัญญาณบอกทีมงานที่พอจะคุ้นหน้าตากันอยู่แล้ว พิชญากรเดินย่องเข้าไปด้านหลังผู้จัดการร่างใหญ่ที่กำลังนั่งพิมพ์อะไรยิกๆในมือถือก่อนจะใช้มือทั้งสองจี้เข้าที่เอวหนาของอีกฝ่าย "ว๊าย! แม่ ตกแตกแหกกระเด็น!" ฮ่าๆคิกๆ เสียงหัวเราะขำขันของทีมงานที่เห็นพฤติกรรมของนางร้ายคนสวยที่ตัวจริงแสนจะน่ารักน่าเอ็นดู "น้องพาย! โอยเล่นอะไรคะเนี่ย เดี๋ยวพี่ก็หัวใจวายกันพอดีคุณน้องแล้วนี่มายังไงคะหรือว่านัดกับน้องเจไว้" ทิวาส่งค้อนให้นักแสดงในความดูแลของตนอีกคน "ไม่ได้นัดหรอกค่ะพอดีพายนั่งเครื่องกลับมาก่อนทีมงาน พรุ่งนี้มีถ่ายโฆษณาไงคะพายขี้เกียจรอเลยขอป้าเจนกลับมาก่อน" "พี่ก็ว่าจะโทรถามอยู่พอดี แล้วกลับมาคนเดียวเหรอคะกระต๊อบล่ะ" "กระต๊อบยังอยู่ดูแลน้องแพรวที่โน่นค่ะ น้องยังมีถ่ายอีกสองซีนพรุ่งนี้พายกลับมาคนเดียวค่ะ" พิชญากรรายงานอีกฝ่ายกระต๊อบหรือกิรากรเป็นหลานชายของทิวาและเป็นเพื่อนสนิทในกลุ่มพวกเธอที่ชักชวนเจติยากับเธอเข้าสู่วงการนั่นเอง  พอเรียนจบกิรากรก็หันมาเป็นผู้ช่วยอาของตัวเองเต็มตัวโดยช่วยกันดูแลและสรรหานักแสดงที่ตอนนี้มีถึงแปดคนที่สองอาหลานช่วยกันดูแลอยู่
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม