ส่วนคนที่โดนขอซีนหวานก็ยิ่งอายเข้าไปอีก ในละครที่เล่นมามันก็เคยมีฉากแบบนี้บ้างนั่นล่ะแต่นั่นมันก็ใช้มุมกล้องทั้งนั้นเธอเลยไม่ได้มีอาการขัดเขินแบบตอนนี้ที่เป็นชีวิตจริง ยิ่งหันไปเจอสายตากับรอยยิ้มล้อเลียนของเพื่อนสนิทและผู้จัดการส่วนตัวใบหน้าหวานยิ่งเห่อร้อนจนอยากจะเอาพัดมาโบกระบายแก้อายกันตอนนี้เลย
"เอาๆอยากจะหอมแก้มน้องก็รีบๆเข้า เดี๋ยวจะเลยเวลาถวายเพลพระท่าน"
ฮ่าๆ คราวนี้เสียงหัวเราะขำกันทั้งห้องรับแขกดังขึ้นเมื่อคนเป็นลุงเริ่มเข้าใจสิ่งที่หลานชายพูดก็เอ่ยแซวย้ำไปอีก
คนหน้ามึนยิ้มชอบอกชอบใจเป็นที่สุดก่อนจะยื่นใบหน้าเข้าไปหาเป้าหมายคือแก้มนุ่มแดงปลั่งของคนตรงหน้าทันที ปลายจมูกโด่งกดเข้ากับความนุ่มหอมค้างไว้จนเมื่อได้ยินเสียงกดชัตเตอร์สามสี่ครั้งถึงได้ผละออกมา
"น้องเจ ถึงคิวเราแล้ว จัดเอาใจแฟนละครหน่อยครับ เดี๋ยวภาพพวกนี้พี่จะเก็บไว้ทำพรีเซ้นต์เสเตชั่นงานแต่งให้ด้วย"
ปรมัตถ์บอกออกไปยิ้มๆ เพิ่งจะเคยเห็นนักแสดงมืออาชีพเขินอายจริงจังก็วันนี้ล่ะ
สุดท้ายนางเอกสาวก็ต้องข่มอายยื่นใบหน้าเข้าไปหอมแก้มของคนที่ยิ้มตาเป็นประกายแพรวพราวนั่น
แชะๆๆ
"โอเคครับเรียบร้อย"
หลังจากพิธีการทั้งหมดเรียบร้อยและญาติผู้ใหญ่บางท่านขอตัวกลับไปแล้วตอนนี้จึงเหลือเพียงสองครอบครัวคู่หมั้นหมาดๆและเพื่อนของนางเอกสาวที่ยังนั่งคุยกันต่อ
เมื่อพิธีหมั้นแบบเรียบง่ายเสร็จสิ้นไปแล้วปรางวรัญและคู่หมั้นหมาดๆก็เปลี่ยนจากชุดไทยมาเป็นไปรเวทแล้วพากันออกมานั่งคุยเล่นกับเพื่อนและผู้จัดการของนางเอกสาวที่ซุ้มในสวนข้างบ้าน ลมเย็นๆของเดือนพฤศจิกายนพัดพาเอากลิ่นหอมของมวลดอกไม้ที่ปลูกและจัดไว้อย่างสวยงามรอบบริเวณบ้านที่กะด้วยสายตาเนื้อที่ก็น่าจะเป็นไร่ เสียงหัวเราะขำเมื่อกิรากรเล่าไปถึงที่มาของฉายาว่าทำไมเจติยาถึงได้ฉายาหน้าหวานขาวีนมานางเอกคนสวยที่โดนเพื่อนสนิทและผู้จัดการแซวอยู่คนเดียวได้แต่เม้มปากส่งค้อนให้แบบเรียงตัว
"ปรางเพิ่งรู้นะนี่ว่าฉายาหน้าหวานขาวีนที่ได้ยินมามีต้นเหตุด้วย"
ปรางวรัญหันไปพูดพลางยิ้มให้คนหน้าหวานที่นั่งข้างกัน
"ผู้ชายแบบนั้นเจไม่ต่อยให้ตาแตกก็บุญแล้วนะ นิสัยไม่ดีสงสัยใช้หน้าตาเข้ามาในวงการเพราะคิดแต่เรื่องต่ำๆละมั้งโดนเล่นงานไปแบบนั้นก็สมควร"
นางเอกสาวตอกย้ำถึงวีรกรรมของตัวเองเมื่อสามปีก่อน มีนักแสดงชายคนหนึ่งที่ได้บทเล่นเป็นพระเอกคู่กับเธอ แต่อีกฝ่ายกลับแสดงนอกบทแรกๆเธอยังไม่คิดอะไร แต่พอมีบทที่ต้องถึงเนื้อถึงตัวทีไรหลายๆครั้งเข้าจึงคิดได้นี่มันเจตนาค้ากำไรลวนลามกันชัดๆ เธอจึงแอบบอกกับผู้จัดละครและผู้กำกับให้รู้และให้คอยสังเกตุว่าอีกคนมีพฤติกรรมแบบนั้นจริงหรือไม่ และสุดท้ายอีตานั่นก็เผยนิสัยออกมาให้เห็นตอนฉากเลิฟซีนที่อีกคนจะหอมเธอ ถ้าปกติแล้วมันก็แค่ใช้มุมกล้องแต่อีตานั่นดันเอียงหน้าเข้าหาเธอจนจมูกเฉียดแก้มเธอจริงแค่นั้นไม่พอถ้าเธอไม่ผงะถอยออกมีหวังปากก็คงจะโดนจูบไปด้วยเธอเลยอาศัยเหตุการณ์นั้นฟาดฝ่ามือเข้าใบหน้าอีกฝ่ายเต็มแรงแน่นอนว่ามันไม่ได้อยู่ในบท ผลคือนายภูริได้แผลมุมปากแตกและยังได้รอยช้ำจากแหวนที่เธอใส่ประกอบในฉากนั้นแถมไปด้วยและเธอก็แสร้งทำทีตกใจขอโทษไปแบบเนียนๆแต่แอบสะใจอยู่ไม่น้อยที่ได้เอาคืนคนพรรณนั้น
"จะว่าไปนายนั่นก็สมควรจะโดนเล่นงานตั้งนานแล้วล่ะ พอเจไปตบนายนั่นเข้านะรู้ไหมนักแสดงที่เคยร่วมงานกับหมอนี่สะใจกันเป็นแถว ขนาดว่าโดนเตือนไปแล้วยังไม่มีจิตสำนึกขึ้นมาเลย ดีนะที่พายไม่ได้ร่วมงานด้วย"
พิชญากรกล่าวสำทับออกมาบ้าง เพราะบทนางร้ายบางทีเปลืองเนื้อเปลืองตัวกว่านางเอกด้วยซ้ำแต่โชคดีที่ทั้งทิวาและพี่ชายเธอคอยสกรีนทั้งบทและนักแสดงที่ร่วมเล่นด้วย เลยกลายเป็นว่าพวกเธอมักจะรับงานละครที่ไม่ออกแนวตบจูบอะไรประมาณนั้นเสียเป็นส่วนใหญ่
"แล้วมีเหตุการณ์ประเภทนี้บ่อยไหมคะพี่ทิวา"
"จริงๆของน้องเจเนี่ย ก็มีครั้งนั้นกับคนนั้นแหล่ะค่ะน้องปราง ซึ่งตอนนั้นจริงๆแล้วคนที่ต้องแสดงกับน้องเจไม่ใช่นายภูริหรอก จะคู่กับนักแสดงรุ่นพี่ในช่องอีกคนแต่ตอนนั้นเกิดอุบัติเหตุไปเล่นฟุตบอลแล้วล้มอีท่าไหนไม่รู้แขนหักเลยต้องเปลี่ยนพระเอกกระทันหัน และก็มีนายนี่คิวว่างช่วงนั้นพอดีค่ะ น้องเจเลยได้สร้างวีรกรรมตบหน้าแหกไป"คิกๆ
"ถ้าเจอแบบนั้นบ่อยๆก็ไม่ไหวเหมือนกันนะคะ ถึงมันจะเป็นงานก็เถอะผู้หญิงยังไงก็มีแต่เสียหายเสียเปรียบอยู่ดี"
ปรางวรัญกล่าวออกมาพร้อมหันมองคนข้างๆที่หันมามองกันพอดี น้ำเสียงและสายตาแสดงออกถึงความห่วงใยที่เจติยาสัมผัสได้ทำให้เธอยิ้มส่งกลับคืนให้แทนคำขอบคุณ
"อันนั้นน้องปรางไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ เพราะทุกวันนี้ไม่ใช่แค่พี่ที่คอยดูทั้งนักแสดงร่วมแต่บทที่น้องเจต้องเล่นคุณแม่จอยท่านตรวจทานด้วยตัวท่านเองนะคะ ถ้าไม่ผ่านความเห็นชอบละก็ไม่ได้เห็นเจติยาในหน้าจอทีวีแน่ค่ะ"
"แหม ยังไม่ทันไรเลยก็มีคนออกอาการหวงซะแล้ว เอ้ออิจฉาคนมีคู่น่ะ"
กิรากรเอ่ยแซวเพื่อนคนสวยด้วยสายตาล้อเลียนให้ที่เหลือมองไปยังนางเอกสาวยิ้มๆ ส่วนคนโดนแซวออกอาการขัดเขินแทบจะวางหน้าไม่ถูกแล้วตอนนี้
"นั่นนะสิ นี่พูดจริงๆนะพี่ปรางกับเจไม่เหมือนคนเพิ่งรู้จักกันเลยยังกับคู่รักที่เป็นแฟนกันตั้งนานแล้วน่ะ"
จิณตภัทรที่นั่งดูนั่งฟังเปรยขึ้นบ้างและตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมาได้เห็นการแสดงออกทั้งการกระทำคำพูดสายตาที่ทั้งสองมองกัน ดูยังไงมันก็ไม่เหมือนคนเพิ่งรู้จักเลยแม้ว่าทั้งสองจะเคยเจอกันมาก่อนแต่นั่นมันก็เด็กแถมแค่วันเดียวที่ได้พูดคุยอีกต่างหาก
"คู่สร้างคู่สมมั้งคะ หรืออะไรดีล่ะหรือจะเป็นคู่กรรมดี"ฮึๆ
เพี๊ยะ พูดจบก็ได้ความแสบๆคันๆที่แขนทันทีด้วยฝ่ามือบางของคนข้างๆนี่ล่ะ
"นั่นไงคู่กรรมจริงๆ ทารุณกรรมกันเห็นๆเลย"
ฮ่าๆ
"เดี๋ยวเถอะปราง อยากเป็นเหมือนโกโบริไหมฮึ"
เจติยาส่งค้อนให้อีกคน ที่ส่ายหน้ากลั้นขำอยู่
หึๆ เสียงเพื่อนหัวเราะขำกับบทพ่อแง่แม่งอนของทั้งสอง
"เขาว่าคู่ไหนง้องแง้งงอนกันบ่อยๆนี่ลูกดกนะเจ"คิกๆ
"น้องกระต๊อบพูดดีเข้าท่า พี่อยากจะมีเจน้อยกับปรางน้อยสักสี่ห้าคนลูกๆพี่จะได้ไม่เหงานะเจ"
คนชอบแกล้งรีบผสมโรงทันทีอย่างชอบใจ ก็ตอนนี้ใบหน้าหวานที่งอเล็กน้อยนั่นกำลังแดงปลั่งขึ้นมาให้เห็นอีกแล้ว
"ถ้าจะมีขนาดนั้นก็ท้องเองเลยนะคะปราง"
นางเอกสาวที่อายจนหน้าร้อนไปหมดย้อนด้วยความหมั่นไส้ แล้วดูเพื่อนแต่ละคนก็ยังกับทัพหน้าทัพหลังเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยรุมแซวเธออยู่ได้อย่าให้ถึงคิวเธอบ้างนะจะเอาคืนให้ม้วนเป็นกิ้งกือเลย
อาคารสูงสามสิบชั้นที่ประกอบด้วยสองบริษัทใหญ่อย่างมิวสิคไทม์ค่ายเพลงของครอบครัววิรุณกิจไพศาลและอ**บริษัทคือบริษัทสื่อโฆษณา ออแกไนซ์มีเดียกรุ๊ป ของครอบครัวนิรัตนโรจน์ซึ่งคนส่วนมากจะรู้ดีว่าสองบริษัทนี้เจ้าของบริษัทรุ่นพ่อนั้นเป็นเพื่อนสนิทกันและยังเป็นเจ้าของตึกร่วมกันอีกด้วย
ลักษณาเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์เมื่อได้ยินเสียงรองเท้าดังกระทบพื้นมาใกล้หน้าโต๊ะทำงานของเธอ ก่อนจะยิ้มทักทายชายหนุ่มที่กำลังยิ้มส่งมาให้ก่อนแล้ว
"นัดท่านประธานไว้เหรอคะคุณวัฒ"
"ครับนัดส่วนตัวน่ะครับพอดีมีธุระคุยกับท่านประธานของคุณลักน่ะ"
จิรวัฒน์ตอบเลขาของคู่หมั้นตัวเองไป
"อ่อถ้างั้นก็เชิญเลยค่ะ จะรับเครื่องดื่มเป็นชาหรือกาแฟดีคะดิฉันจะได้ไปจัดการให้"
"ขอเป็นน้ำเปล่าก็พอครับ กาแฟผมล่อไปสองแก้วแล้ววันนี้คงไม่ไหวขอบคุณครับ"
เมื่อพูดจบร่างสูงก็เดินไปยังห้องทำงานเคาะเบาๆอีกคนก็บอกอนุญาตเขาจึงได้เปิดเข้าไป ไม่บ่อยนักหรอกที่เขาจะเข้ามาในห้องทำงานของอัยศิกายกเว้นว่ามีเรื่องสำคัญจริงๆถึงจะแวะมาหาอีกคนอย่างเช่นวันนี้
"อ้าว มาแล้วเหรอ นายนั่งรอก่อนนะขอฉันเซ็นต์เอกสารนี่แป๊ปนึง"
อัยศิกาเงยหน้าขึ้นมาจากแฟ้มเมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงเอ่ยบอกไปแล้วก้มหน้าอ่านเอกสารต่อ ปล่อยให้แขกที่มาเยือนเดินไปนั่งรอที่โซฟาริมหน้าต่างกระจก ไม่นานลักษณาก็ถือถาดน้ำเปล่าและน้ำผลไม้พร้อมคุกกี้เนยเข้ามาเสิร์ฟ
"คุณลักเดี๋ยวเอาแฟ้มนี่ไปส่งแผนกจัดซื้อได้เลยค่ะอัยเซ็นต์เรียบร้อยแล้ว แล้วเอกสารด่วนของวันนี้มีอีกหรือเปล่าคะ?"
"ไม่มีแล้วค่ะท่านประธาน เหลือแต่เอกสารพิจารณาทั่วไปค่ะ"
อัยศิกาพยักหน้ารับรู้ เมื่อเลขาออกไปแล้วเธอจึงลุกเดินไปหาคนที่นั่งอ่านนิตยสารรออยู่ จิรวัฒน์เงยหน้ามามองนิดนึงก่อนวางหนังสือลง
"เป็นไง เรียบร้อยแล้วใช่ไหม"
"อืม เพิ่งว่างไปเซ็นต์กันเมื่อวันก่อนนี่ล่ะรู้ไหมฉันต้องแอบไปในเวลางานน่ะ"
จิรวัฒน์บอกออกไปคล้ายบ่นให้อีกคน
"อะไรแค่นี้ทำบ่น มันเรื่องสำคัญในชีวิตนายแท้ๆนายควรขอบคุณฉันด้วยซ้ำนะที่หาทางออกให้นายสมหวังได้น่ะ"
อัยศิกาบอกออกไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
"เออขอบใจ แต่ฉันจะโดนพ่อเธอยิงกะบาลเอาหรือเปล่านี่สิ เธอแน่ใจนะอัยว่าแผนนี้มันจะจบด้วยดีน่ะ"
จิรวัฒน์ถามคู่หมั้นมาราธอนที่ไม่ได้มีจิตพิศวาสต่อกันแม้แต่น้อย เขาหวั่นใจพอสมควรกับสิ่งที่อัยศิกาแนะนำให้ทำ
"เอาน่า นายก็แค่แสดงละครปนเรื่องจริงแค่นั้นเองในเมื่อนายมีคนรักอยู่แล้ว และฉันก็ไม่ได้รักนายมันก็ควรจะจบลงแบบนี้แหล่ะ"
"เรื่องฉันจบ แต่เรื่องที่เธอจะเปลี่ยนคู่หมั้นจากฉันเป็นยัยจิณนี่แหล่ะคุณลุงเขาจะว่ายังไง อีกอย่างฉันเชื่อใจเธอได้ไหมเนี่ยถามจริงอัย เธอชอบน้องสาวฉันจริงหรือเปล่าไม่ใช่แค่เอาน้องฉันมาร่วมเพื่อเอาคืนคุณลุงหรอกนะ"
"แล้วนายคิดว่าฉันจะหลอกน้องมาร่วมหัวจมท้ายด้วยทำไม ในเมื่อแค่นายบอกทุกคนให้รู้ว่านายมีเมียและจดทะเบียนกันแล้วพ่อฉันคงไม่หน้าด้านให้ฉันมาเป็นน้อยหรือฉันว่าเขาคงไม่ใจร้ายขนาดที่จะพรากผัวเมียใครให้ไปหย่ากันหรอกมั้ง ส่วนเรื่องเปลี่ยนคู่หมั้นนั่นมันเป็นผลพลอยได้ของฉันและครอบครัวนายด้วย ที่ไม่ต้องสูญเสียหุ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่เป็นสินหมั้นเพราะผิดสัญญานั่นต่างหาก นายก็แค่เล่นไปตามแผนที่เราคุยกันไว้สารภาพผิดว่าตัวเองน่ะเลวมากๆให้พ่อฉันเกลียดนายจนไม่อยากเอามาเป็นลูกเขยแล้วแค่นั้นล่ะ จะว่าไปถ้าน้องป่านท้องคงดีกว่านี้ แต่มันคงจะดูไม่งามเท่าไหร่เพราะพวกนายยังไม่ได้จัดงานแต่งเดี๋ยวน้องเขาจะเสียหายไปมากกว่านี้ที่เหลือเดี๋ยวฉันจัดการต่อเอง"
"อัย ฉันรู้สึกว่าฉันโชคดีที่ไม่ต้องแต่งงานกับเธอจริงๆ แค่ที่ฟังเธอช่างน่ากลัว น้องสาวฉันจะตามความเจ้าเล่ห์เธอทันไหมเนี่ยชักจะห่วงยัยจิณแล้วสิ"
"นายวัฒ! ชมหรือจะหลอกด่าฉันกันแน่"
สายตาเขียวและน้ำเสียงเข้มที่ส่งมาให้ทำเอาจิรวัฒน์หัวเราะขำ
ฮ่าๆ
"เออชม เธอเจ้าเล่ห์จนน่ากลัวไงอัย ซื่ออย่างยัยจิณคงคิดไม่ทันเธอแน่ๆ"
ฮึ ใช่สิ ซื่อเกินจนเธอต้องหาเรื่องมัดมือชกทางอ้อมอยู่นี่ไงอัยศิกาคิดในใจเมื่อคิดไปถึงคนที่เปลี่ยนไปเมื่อรู้ว่าเธอกับจิรวัฒน์ถูกหมั้นหมายกันไว้ตั้งแต่เด็ก เด็กน้อยขี้อ้อนที่คอยตามเธอแจตลอดเวลาแทบจะเป็นเงาตั้งแต่เล็กจนโต มาตอนนี้หลบได้เป็นหลบหนีได้เป็นหนี ทั้งที่ทำงานอยู่ตึกเดียวกันแท้ๆแต่แทบจะไม่เจอกันเลยหากว่าเธอไม่หาเรื่องเจาะจงไปหาแบบไม่ให้อีกคนรู้ตัว
"แล้วนี่จะให้เราบอกผู้ใหญ่เมื่อไหร่เรื่องที่เราไปจดทะเบียนกับป่านน่ะ"
"ยังบอกเร็วๆนี้ไม่ได้หรอก มันจะดูเจาะจงเกินไป รอให้ผ่านไปสักพักใหญ่ก่อนอย่างน้อยช่วงนี้ฉันพอถ่วงเวลาได้ถ้าคุณพ่อถามถึงเรื่องแต่งงานขึ้นมา ยังไงก็ให้ผ่านช่วงงานเยอะๆนี่ไปก่อนแล้วกัน นายจะได้ดูเลวสมจริงไงที่แอบนอกใจฉันนานเป็นแรมปีน่ะ"
"โหย กระผมกลายเป็นคนเลวมากเลยนะคุณอัยศิกา ที่จริงฉันก็อยากไปไหนมาไหนกับแฟนฉันอย่างเปิดเผยเหมือนกันนะอัย เฮ้อ ทุกวันนี้มีแต่ฝั่งพ่อแม่ป่านที่รับรู้ นี่โชคดีแค่ไหนที่ท่านเข้าใจยอมให้พาลูกสาวไปจดทะเบียนก่อนแต่งน่ะเงินเก็บส่วนตัวฉันก็เลยยกเป็นค่าสินสอดให้ท่านไปก่อนเลยวันแต่งค่อยว่ากันอีกที"
"เอาน่ะ เพื่อครอบครัวและความรักของนายนะทนอีกหน่อยช่วงนี้งานฉันเยอะด้วยใกล้สิ้นปี นายก็หลบๆซ่อนๆไปก่อนแล้วกัน"
หลังจากออกจากห้องทำงานของอัยศิกาซึ่งบริษัทและส่วนชั้นการทำงานจะถูกแบ่งออกตั้งแต่ชั้นสิบห้าลงไปถึงชั้นสอง และส่วนของบริษัทมิวสิคไทม์ก็จะเป็นชั้นสิบหกถึงสามสิบ จิรวัฒณ์กลับขึ้นมายังชั้นยี่สิบเก้าที่ทำงานของตัวเองแต่ยังไม่เข้าห้อง เขาเดินตรงไปยังอีกมุมของชั้นที่มีห้องทำงานของใครอีกคนนอกจากบิดาซึ่งตอนนี้ท่านวางมือจากงานบริหารจะแวะเข้ามาบ้างเวลามีประชุมสำคัญเท่านั้น
"จิณอยู่ไหมครับพี่พัด"
สุพัตราเป็นเลขาของบิดาเขามาก่อน สาวใหญ่วัยสี่สิบเงยหน้ามามอง
"อยู่ค่ะคุณวัฒเพิ่งกลับขึ้นมาจากห้องอัดสักพักนี่เอง"
จิรวัฒน์พยักหน้ายิ้มขอบคุณแล้วตรงไปเคาะประตูห้องทำงานน้องสาวแต่ไม่ได้รอเสียงตอบกลับก็หมุนลูกบิดเข้าไปทันที
จิณตภัทรเงยหน้าจากโน้ตบุ๊คเครื่องบางมองคนที่มายืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานก่อนจะถอดหูฟังออก เธอกำลังเปิดฟังไฟล์บันทึกเสียงนักร้องในค่ายที่กำลังจะออกอัลบั้มพิเศษต้อนรับเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงอีกไม่นาน
"มีอะไรหรือเปล่าคะพี่วัฒ"
คนเป็นพี่ไม่ตอบยิ้มมีเลศนัยส่งให้ก่อนจะทำสิ่งที่นานๆครั้งเขาถึงจะทำกับน้องสาว จิณตภัทรให้นึกงงสงสัยเมื่ออยู่ๆคนเป็นพี่ก็โน้มหน้ามาหอมแก้มเธอซะอย่างนั้น
"มีคนฝากมา"
จิรวัฒน์บอกออกไปอย่างนึกขำ เดี๋ยวจะได้เห็นอะไรแปลกๆแน่หลังจากนี้
"ห๊ะ! บ้าแล้วพี่วัฒใครเล่นพิเรนทร์ฝากมาหอมแก้มกันแบบนี้เหอะ"
หึๆ
"พี่ก็ว่าคนฝากที่อยู่ชั้นเก้าอาจจะพิเรนทร์จริงๆนั่นล่ะ หรือไม่ก็อาจจะทำงานเยอะเกินไปจนใกล้บ้าอะไรประมาณนั้น"
จิณตภัทรฟังแล้วสมองก็คิดตามคนพี่เพียงแค่ได้ยินว่าชั้นเก้าหัวใจคนฟังก็เต้นระรัวขึ้นมาอย่างกับกลองเพล ก่อนที่มันจะปั้มเอาเลือดให้สูบฉีดกระจายไปทั่วร่างจนรู้สึกถึงความร้อนบนใบหน้าตัวเอง
จิรวัฒน์อมยิ้ม นี่สินะผลของการทดสอบขั้นปฏิบัติการของคนเจ้าเล่ห์ชั้นเก้า อัยศิกามีอิทธิพลกับน้องสาวของเขาจริงๆแต่คนเป็นน้องนี่สิรู้ตัวเองหรือเปล่าว่ารู้สึกยังไงกับคนเป็นพี่ หรือจิณตภัทรรู้ใจตัวเองถึงได้พยายามกันตัวเองออกจากความใกล้ชิดที่เคยมีกับอัยศิกา จะยังไงก็ชั่งเถอะขอแค่สุดท้ายแล้วน้องเขามีความสุขก็พอมันคงอีกไม่นานที่พันธะสัญญาใจของสองครอบครัวจะเปลี่ยนไป