"นึกยังไงคะอยากจะไปเที่ยวชมไร่น่ะฮึ"
"ไม่นึกยังไงค่ะ อยากไปก็คืออยากไปแค่นั้นเอง"
คนเป็นน้องตอบกลับน้ำเสียงเง้างอนเธอแค่ไม่ชอบใจที่อัยศิกาไปยืนคุยกับอีตาผู้จัดการนั่นเป็นนานสองนาน ดูสายตาก็รู้ว่าอีตานั่นหาเรื่องอยากจะสานสัมพันธ์ด้วย พี่เธอก็อะไรตัวเองมีคู่หมั้นอยู่นะถึงจะไม่มีสัญลักษณ์โชว์ให้คนอื่นเห็นก็เถอะ เธอเองก็ไม่ค่อยเข้าใจทั้งอัยศิกาและพี่ชายเท่าไหร่ว่าทำไมทั้งคู่ถึงไม่มีแหวนหมั้น มีเพียงคำพูดที่ผู้ใหญ่บอกกล่าวให้รับรู้เมื่อห้าปีก่อนแค่นั้น
"จะไปเที่ยวก็ทำหน้าตาให้มันสดใสร่าเริงหน่อยสิคะ หน้างอแบบนี้เดี๋ยวใครเห็นก็หาว่าพี่รังแกเด็กหรอก"
"พี่อัย! จิณอายุ27แล้วนะไม่ใช่เด็ก"
คนอายุน้อยส่งเสียงสะบัดใส่คนพี่ที่อมยิ้มขำ
"ก็ดูทำหน้าเข้าสิคะ ไม่ต่างจากเด็กเจ็ดขวบเลยตอนนี้น่ะ เป็นอะไรคะใครทำอะไรเด็กน้อยของพี่ถึงอารมณ์ไม่ดีแบบนี้ หรือโมโหหิวคะ"
มือเรียวยื่นไปลูบเรือนผมนุ่มก่อนจะโยกศรีษะคนหน้างอเบาๆ
"กับตาผู้จัดการนั่นคุยอะไรกันตั้งนานคะ จิณเห็นนะว่าเขายื่นนามบัตรให้พี่น่ะ"
" หือ นี่เป็นเด็กนิสัยไม่ดีแอบฟังผู้ใหญ่คุยกันเหรอคะ"
อัยศิกาแกล้งส่งเสียงดุแต่กลับนึกขำในใจ เมื่อพอจะรู้สาเหตุอาการกระฟัดกระเฟียดของอีกคน
"เปล่าแอบดูซักหน่อยนี่จิณรักษามารยาทแล้วไม่งั้นเดินเข้าไปเรียกตั้งนานแล้วค่ะ"
"พี่ก็แค่สอบถามเขาเรื่องสถานที่แค่นั้นเองแหล่ะค่ะ ส่วนนามบัตรเขาให้พี่ก็รับเป็นมารยาทเดี๋ยวเอาไปให้คนอื่นไม่รับมันก็จะดูน่าเกลียดเกินไป"
"ก็ไม่ได้ว่าอะไรแค่ ไม่ชอบเฉยๆ"
คนอายุน้อยกว่าอ้อมแอ้มตอบเมื่อได้ฟังคำอธิบาย
"ไม่ชอบ ไม่ชอบที่พี่คุยกับเขาหรือไม่ชอบที่เขาให้นามบัตรพี่"
"ก็ ไม่ชอบสายตาผู้จัดการนั่นพี่อัยไม่รู้ตัวหรือไงว่าโดนมองแบบไหนน่ะ"
คนเป็นพี่ยิ้มขำทำไมเธอจะมองไม่ออกว่าใครเป็นยังไงยิ่งเป็นผู้จัดการรีสอร์ทนั่นยิ่งดูง่ายจะตาย
"เขาจะมองยังไงก็ช่างเขาสิคะ พี่มาทำงานที่คุยกับเขาก็เกี่ยวกับงานทั้งนั้นแหล่ะอีกอย่างเขาเป็นผู้จัดการที่นี่มันก็เป็นหน้าที่หลักที่เขาต้องดูแลลูกค้าใช่ไหมล่ะถ้าจิณหวงพี่จิณก็คงต้องตัวติดพี่ตลอดนั่นแหล่ะยิ่งพรุ่งนี้คนเยอะด้วยนะ"
"อะ อะไรจิณไม่ได้หวงซักหน่อย แค่ไม่ชอบให้ใครมายุ่งก็พี่เป็นคู่หมั้นพี่ชายจิณนะ"
คนไม่รู้ตัวใบหน้าแดงเรื่อเมื่อโดนสะกิดด้วยคำพูด เธอหวงที่ไหน เอ๊ะ หรือหวง โอ๊ยแค่ไม่ชอบนี่ว่าที่พี่สะใภ้เธอนะ เธอแค่รักษาสิทธิแทนพี่ชายเท่านั้น อัยศิกาอยากจะหัวเราะขำกับใบหน้าแดงเรื่อยุ่งเหยิงนั่นแต่ก็กลั้นเอาไว้เด็กน้อยเอ๋ยความรู้สึกตัวเองยังแยกแยะไม่ค่อยจะถูกเลย
อัยศิกาขับรถพาคนอยากเที่ยวมายังไร่แห่งหนึ่งซึ่งเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและทำฟาร์มไปในตัว ทั้งคู่พากันเข้าไปเดินดูเดินเที่ยวจนตะวันลับขอบฟ้าไปแล้วคนเป็นพี่จึงได้ชวนไปหาอะไรทานเป็นมื้อเย็น
"อยากกลับไปทานที่รีสอร์ทหรือจะทานที่นี่คะ"
"อืม ทานที่นี่ก็ได้ค่ะกลับไปก็ย่อยพอดี"
จิณตภัทรบอกด้วยรอยยิ้ม นานแค่ไหนแล้วนะที่เธอกับพี่สาวคนนี้ไม่ได้มีเวลากินเที่ยวด้วยกันแบบนี้ มันคงตั้งแต่วันที่อัยศิกาเดินทางกลับมาจากเรียนต่อและเธอได้รับรู้พันธะสัญญาใจของผู้ใหญ่นั่นละมั้งความสนิทที่เคยมีเป็นเธอเองที่ทำให้มันห่างเหิน ทั้งที่ทุกครั้งคนเป็นพี่ก็ยังเหมือนเดิมรอยยิ้มอบอุ่นแววตาห่วงใย ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่เธอก็ยังสัมผัสมันได้เสมอ
"จิณไปอาบน้ำก่อนเลยนะพี่ขอเช็คงานหน่อย"
อัยศิกาบอกเมื่อทั้งคู่กลับเข้ามายังที่พักในเวลาสองทุ่มกว่า ร่างบางของน้องพยักหน้ารับก่อนจะเปิดตู้หยิบเสื้อผ้าเข้าไปจัดการตัวเอง ยี่สิบนาทีถัดมาประตูห้องน้ำถึงได้เปิดออกจิณตภัทรในชุดนอนเสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาวเนื้อนิ่มส่งยิ้มบางให้คนที่หันมามอง ไม่แน่ใจว่าอากาศภายนอกหนาวหรือเปล่าแต่อุณหภูมิในห้องดูจากตัวเลขที่โชว์บนเครื่องปรับอากาศมันต่ำกว่ายี่สิบองศาจะไม่ให้คนขี้หนาวอย่างเธอใส่ชุดนอนแบบนี้ได้ยังไง
"เดือนมีนาคมแล้วอากาศที่นี่ยังเย็นอยู่เลยนะคะ"
ร่างบางเอ่ยออกมาแก้เก้อเมื่อคนเป็นพี่มองเธอยิ้มๆ
"คงจะเป็นเพราะอยู่บนที่สูงด้วยล่ะพี่ว่าอากาศเลยเย็นกว่าพื้นที่ราบน่ะ แอร์เย็นไปหรือเปล่าเดี๋ยวพี่ปรับให้ค่ะ"
"ิไม่ต้องค่ะใส่ชุดนี้จิณก็อุ่นแล้วล่ะ แล้วงานเรียบร้อยดีไหมคะ"
"ค่ะระบบอะไรที่ต้องใช้ในห้องประชุมพรุ่งนี้ไม่น่ามีอะไร ส่วนเวทีงานเลี้ยงที่จะจัดในลานกิจกรรมก็จะเริ่มติดตั้งกันพรุ่งนี้ค่ะ"
"พรุ่งนี้คงจะวุ่นวายน่าดูเลยนะคะ"
"ใช่ งานใหญ่แถมจัดนอกสถานที่แบบนี้พี่ต้องคอยเช็คทีมงานให้รอบคอบ จิณอยากใช้งานอะไรไหมพี่ใช้เสร็จแล้ว"
อัยศิกาชี้ที่โน๊ตบุ๊คของตัวเอง
"เดี๋ยวจิณขอเช็คเมล์หน่อยละกันค่ะเผื่อมีงานอะไรเข้ามา"
อัยศิกาจึงยกโน๊ตบุ๊คให้อีกคนก่อนจะเดินไปเปิดตู้หยิบเอาของจำเป็นเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเองบ้าง
จิณตภัทรเอี้ยวตัวหันไปทางประตูห้องน้ำเมื่อได้ยินเสียงลูกบิดดังขึ้นก่อนจะรีบหันกลับแทบไม่ทันเมื่อคนเป็นพี่โผล่ใบหน้าขาวพราวหยดน้ำกับสภาพล่อแหลมที่มีเพียงผ้าขนหนูผืนไม่ใหญ่ออกมาครึ่งตัว
"จิณช่วยหยิบโฟมล้างหน้าให้หน่อยค่ะในตู้น่ะ"
"อ่อ ค่ะ"
จิณตภัทรวางโน๊ตบุ๊คไว้ก่อนจะก้าวลงจากเตียงเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าด้วยอาการร้อนผ่าวที่ใบหน้า บ้าน่าจิณพี่เขาก็เป็นผู้หญิงเหมือนกันจะมาเขินอะไรกะแค่เห็นผิวขาวๆกับเนินอกอิ่มที่โผล่พ้นผ้าขนหนูนั่นไหนจะเรียวขาขาวใต้ผ้าผืนสั้นอีกโอ้ยยัยจิณหยุดๆความคิดแกเดี๋ยวนี้
"เจอหรือเปล่าจิณพี่น่าจะวางรวมกับพวกครีมทาผิวนั่นแหล่ะ"
"จะ เจอแล้วค่ะ"
จิณตภัทรรีบส่งเสียงบอกแล้วหยิบเอาหลอดโฟมล้างหน้าไปส่งให้คนที่เปิดประตู้แง้มรออยู่
"เดี๋ยว เป็นอะไรคะทำไมหน้าแดงแบบนั้นล่ะหรือไม่สบาย"
ไม่พูดเปล่าแต่มือขาวเย็นยื่นมาแตะหน้าผากคนเป็นน้องทันทีทำเอาคนที่มีอาการใจเต้นผิดปกติสะดุ้งหน้าตาตื่น
"อะเอ่อปะเปล่าคะ จิณไม่เป็นอะไร"
"แน่นะคะ ตัวอุ่นๆนะถ้ารู้สึกไม่ดีหรือปวดหัวต้องบอกพี่นะคะ"
"ขะ ค่ะ"
ร่างบางรีบพยักหน้ารับก่อนจะหันหลังจ้ำอ้าวกลับไปที่เตียง เมื่อเสียงปิดประตูดังขึ้นอีกครั้งจิณตภัทรถึงกับเอามือขึ้นมาทาบอกซ้ายแล้วพ่นลมหายใจออกมาทางปาก แกต้องบ้าไปแล้วแน่ๆยัยจิณที่มีอาการประหลาดใจเต้นแรงกับพี่เขาแบบนี้
อัยศิกาออกมาจากห้องน้ำอีกครั้งร่างสูงเหลือบไปมองคนที่นั่งจ้องอยู่หน้าจอคอมเหมือนในนั้นมีอะไรที่น่าสนใจมากมาย ก่อนจะอมยิ้มเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่จัดการตัวเองต่อไม่นานก็เดินกลับไปนั่งลงบนเตียงใหญ่
กลิ่นหอมอบอวลลอยวนในอากาศเมื่ออีกคนมานั่งลงข้างๆแทบจะเบียดกันจิณตภัทรเผลอสูดหายใจเอากลิ่นหอมอ่อนๆที่ไม่รู้ว่าเป็นกลิ่นของครีมอาบน้ำหรือครีมบำรุงผิว เอิ่ม แล้วพี่เขาไม่หนาวหรือยังไงถึงได้ใส่กางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้ามตัวบางแบบนี้น่ะ
"ดูอะไรคะหน้าเครียดเชียว หรืองานที่บริษัทมีปัญหา"
อัยศิกายื่นหน้าเข้าไปดูหน้าจอก่อนจะเอ่ยถามคนขมวดคิ้วหน้ายุ่ง
"ไม่มีอะไรคะ จิณแค่อ่านรายงานในเมล์แค่นั้น"
ที่จริงเธอไม่ได้สนใจเมล์ที่เปิดทิ้งไว้สักนิดในเมื่อสมองของเธอตีรวนไปหมดกับอาการประหลาดของตัวเองตั้งแต่เห็นพี่เขาในสภาพไม่เรียบร้อยนั่นแล้ว ไม่ได้การแล้วอาการผิดปกติแบบนี้เธอต้องการที่ปรึกษาด่วน
"จิณ จิณคะ!"
"คะ?"
"เป็นอะไรคะอยู่ดีๆถึงได้เหม่อแบบนี้น่ะ นี่ไม่สบายจริงๆหรือเปล่าเนี่ย"
"แหะๆคือจินคิดเรื่องงานอยู่น่ะค่ะ พี่อัยจะเช็คอะไรต่อไหมคะ"
"ไม่ละค่ะ ถ้างั้นก็พักผ่อนดีกว่านะพรุ่งนี้มีอะไรให้ทำวุ่นทั้งวันแน่"
"ค่ะ"
เสียงพลิกตัวกับเสียงถอนหายใจแม้จะไม่ดังแต่ก็พอจะให้คนที่นอนอยู่อีกฝั่งของเตียงได้ยินหลังจากปิดไฟนอนเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครหลับลง
"นอนไม่หลับเหรอคะ"
เสียงเอ่ยถามจากคนที่พลิกตัวตะแคงหน้ามาถามทำให้จิณตภัทรส่งยิ้มแหยไปให้ในความสลัวจากไฟดวงเล็กหน้าห้องน้ำที่เปิดทิ้งไว้
"จิณทำพี่อัยตื่นเหรอคะ"
"เปล่าหรอกพี่ยังไม่หลับ ว่าแต่เราเถอะอากาศมันเย็นเกินไปหรือเปล่าพี่จะได้ปรับแอร์ให้"
คนเป็นพี่เอ่ยบอกเพราะจิณตภัทรเป็นคนขี้หนาวมาตั้งแต่เด็กต่างจากเธอที่ชอบอากาศเย็นและอุณหภูมิในห้องมันคงจะเย็นไปสำหรับอีกคน
"ก็นิดหน่อยค่ะแต่ไม่เป็นไรจิณนอนได้แค่อาจจะแปลกที่เลยหลับยากน่ะ"
"ต้องให้พี่เล่านิทานกล่อมหรือเปล่าคะ"
"หื้อพี่อัยน่ะ จิณโตแล้วนะ"
อัยศิกาหัวเราะขำเมื่อได้แกล้งคนหน้ามุ่ยที่ส่งสายตาค้อนมาให้
จิณตภัทรขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายอย่างสงสัยเมื่อจู่ๆอัยศิกาก็ลุกขึ้นขยับหมอนเข้ามาติดกับหมอนที่เธอหนุนอยู่แล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรแขนเรียวกลับคว้าเข้าที่เอวเธอลากเข้าไปในอ้อมกอดแบบไม่ให้เธอตั้งตัว
"พะ พี่อัย!?"
"นอนแบบนี้แหล่ะอุ่นดีจิณจะได้หลับง่ายๆ"
จิณตภัทรอ้าปากเหวอตามมาด้วยหัวใจที่มันเต้นรัวแรงขึ้นเหมือนจะกระดอนออกมานอกอกก่อนที่มันจะสูบฉีดเอาเลือดในตัวให้กระจายไปทั่วร่างจนรู้สึกร้อนผ่าวโดยเฉพาะใบหน้าที่ตอนนี้แนบชิดอยู่กับความนุ่มนิ่มของเจ้าของอ้อมกอดอุ่น จากที่จะหลับเธอว่าเธอคงจะตาสว่างขึ้นกว่าเดิมมากกว่า
"นอนได้แล้วค่ะพรุ่งนี้ต้องตื่นไปเตรียมงานแต่เช้านะ"
อัยศิกาบอกคนในอ้อมแขนที่ทำตัวยุกยิกมาหลายนาทีแล้วแต่คนในอ้อมกอดไม่มีทางได้เห็นว่ามุมปากสวยนั้นถูกยกขึ้นสูงทั้งที่ตาหลับพริ้ม
ปรางวรัญเดินออกมาจากออฟฟิศชั่วคราวเมื่อมองเห็นเมฆลอยคลึ้มมาแต่ไกล ซึ่งตอนนี้เธออยู่ที่ปรานบุรีจุดที่กำลังขึ้นโครงการรีสอร์ท
"ฝนหลงฤดูอีกแล้วสินะ"
ร่างสูงพึมพำออกมาเมื่อมองไปรอบๆบริเวณที่คนงานกำลังทำงานกันอยู่ ลมเริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับเสียงฟ้าร้องครืนมาเป็นระยะดูแล้วคงจะเทกระหน่ำลงมาอีกไม่นาน
"พากันหยุดพักก่อนดีกว่าค่ะคุณโชค อีกไม่นานฝนคงเทลงมาแน่ๆ"
"ครับคุณปราง"
"นี่พวกเราช่วยเอาไม้กระดานตรงนั้นมากั้นกองทรายไว้หน่อยเร็วเดี๋ยวฝนตกมาทรายจะได้ไม่ไหลไปตามน้ำ"
โชคชัยรีบตะโกนบอกลูกน้องเมื่อตอนนี้ลมเริ่มพัดแรงมากขึ้นจนเศษใบไม้บริเวณนั้นปลิวว่อนไปทั่ว คนงานสิบกว่าคนพากันวิ่งวุ่นเพื่อเก็บอุปกรณ์เข้าที่เพราะตอนนี้ลมพัดแรงมากขึ้นหอบเอากลิ่นไอฝนลอยมาในอากาศ
ปรางวรัญกวาดสายตามองไปโดยรอบบริเวณที่กำลังก่อสร้างก่อนที่สายตาจะไปสะดุดกับภาพคนงานชายคนหนึ่งกำลังอุ้มเด็กหญิงตัวเล็กๆไปวางลงที่เพิงพักชั่วคราวแล้วผู้ชายคนนั้นก็วิ่งกลับไปยังจุดก่อสร้างอีกฝั่ง ปรางวรัญขมวดคิ้วมุ่นพร้อมรีบสาวท้าวเดินไปยังเพิงพักเล็กๆนั่น ทำไมถึงเอาเด็กเล็กเข้ามาในสถานที่ทำงานแบบนี้ด้วยล่ะเนี่ยเกิดอันตรายขึ้นมาจะทำยังไงคนร่างสูงคิดอย่างไม่ชอบใจ
ลมกรรโชกแรงขึ้นจนต้องเอามือป้องใบหน้าเพื่อกันเศษฝุ่นดินที่ถูกลมตีขึ้นจนกระจายฟุ้งไปทั่วทั้งเสียงฟ้าร้องคำรามเปรี้ยงป้างมาเป็นระยะคงจะทำให้เด็กน้อยคนนั้นตกใจกลัวจนต้องลุกเดินออกมาร้องเรียกหาใครสักคน
"พ่อจ๋า พ่อ ฮือ น้ำกลัว พ่อจ๋า"
เสียงเล็กๆตะโกนเรียกหาคนเป็นพ่อด้วยความกลัว
ปรางวรัญรีบเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาร่างเล็กที่ตอนนี้ออกมายืนนอกเพิงพักร้องเรียกหาใครสักคนอยู่ด้วยอาการสะอื้นไห้ แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อมีลมห่าใหญ่พัดมาจนทำให้เพิงพักชั่วคราวที่ใช้เพียงผ้าใบพลาสติกมุงและใช้เศษก้อนอิฐกับท่อนไม้วางทับไว้ง่ายๆเปิดเปิงขึ้นทำให้เศษไม้เศษอิฐบนหลังคากลิ้งหล่นลง
"หนูระวัง!"
ปรางวรัญร้องขึ้นด้วยความตกใจก่อนจะกระโจนเข้าไปคว้าตัวเด็กน้อยออกให้พ้นเศษไม้เศษอิฐที่ร่วงลงมา
โอ๊ยย! ง๊าาา
"ยัยหนู! คุณปราง ?"
เสียงร้องไห้จ้าของเด็กน้อยดังขึ้นพร้อมกับเสียงโวกเวกของคนงานที่เห็นภาพเจ้านายสาวโดนเศษอิฐก้อนใหญ่หล่นใส่
"โอ๋ๆไม่เป็นไรนะคะ"
ปรางวรัญกอดปลอบเด็กน้อยที่ตั่วสั่นร้องไห้
"คุณปราง เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ ขอบคุณที่ช่วยลูกผมนะครับ ยัยหนูมานี่มาลูกโอ๋ไม่เป็นไรนะลูก"
ชาญวิทย์กอดลูกสาวไว้แนบอก หัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อเขาวิ่งกลับมาตอนได้ยินเสียงร้องตะโกนของลูกสาว นี่ถ้าเจ้านายสาวมาช่วยไม่ทันเขาไม่อยากนึกภาพเลยเพราะเศษไม้ท่อนขนาดหนึ่งวากับเศษอิฐที่หล่นกราวลงมาถ้าโดนตัวลูกสาวเข้าจะเจ็บหนักขนาดไหน
"ยัยปราง เกิดอะไรขึ้นลูก"
ปรเมศร์เดินเข้าไปดูลูกสาวที่นั่งเอามือกุมหัวไหล่อยู่ใกล้ๆสองพ่อลูก
"ปรางไม่เป็นไรมากค่ะหลบไม่ทันเลยโดนเศษอิฐหล่นใส่น่ะ"
"คุณปรางครับ ผมว่าเข้าไปให้พยาบาลดูดีกว่าครับอิฐก้อนใหญ่ขนาดนั้นน่ะนี่ถ้าโดนเด็กเข้าล่ะแย่เลยล่ะ"
โชคชัยหัวหน้าคุมงานรีบเอ่ยขึ้นมาเพราะเขาทันได้เห็นเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานพอดี
"นั่นสิลูกพ่อว่าไปให้พยาบาลเขาดูสักหน่อยดีกว่านะ แล้วเราน่ะพาเด็กเข้าไปพักในออฟฟิศก่อนไปฝนเริ่มลงเม็ดแล้ว"
ปรเมศร์บอกกับลูกสาวก่อนหันมาคุยกับคนงานที่กำลังกอดปลอบเด็กหญิงตัวเล็กอยู่
"ขอบคุณครับคุณท่าน ผมขอบคุณคุณปรางมากนะครับที่มาช่วยยัยหนูเอาไว้"
"ไม่เป็นไรๆไม่ต้องไหว้ฉันหรอก แต่เดี๋ยวเราต้องคุยกันหน่อยแล้วล่ะไปรอฉันที่ออฟฟิศด้านในนะ"
"ครับคุณปราง"
ชาญวิทย์รับคำแล้วอุ้มลูกสาวตามนายจ้างไปที่ออฟฟิศชั่วคราว
"โหคุณปรางเจ็บหรือเปล่าคะเนี่ย รอยช้ำแดงเลยนี่โดนอะไรมาคะ"
พยาบาลที่ถูกจ้างมาประจำไซ้ต์งานถามขึ้นด้วยสีหน้าเจ็บแทนเมื่อเห็นรอยช้ำแดงตรงบริเวณหัวไหล่ด้านหลัง
"เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยค่ะ เศษไม้หล่นใส่น่ะ"
เธอเลือกจะบอกไปแบบนั้นแม้ตอนนี้จะเริ่มปวดร้าวไปทั้งบริเวณไหล่ซ้าย
"พี่ว่าแวะไปเอกซเรย์ดูหน่อยก็ดีนะคะ ตอนนี้มันเริ่มเขียวช้ำน่ากลัวมากเลยแรงกระแทกอาจจะทำให้กระดูกร้าวได้นะ เดี๋ยวพี่ทายาแก้ฟกช้ำให้ก่อนแล้วกันค่ะ"
"ขอบคุณค่ะพี่เดือน"
"จ๊ะ นี่ยาแก้อักเสบนะคะ ยังไงพี่ก็แนะนำให้ไปเอกซเรย์ที่โรงพยาบาลอีกทีนะคะ ดูจากรอยช้ำแล้วแถมยังโดนกระดูกช่วงไหล่ด้วยเผื่อกระดูกร้าวจะได้ให้หมอเขารักษาได้ทันนะ"
"ค่ะพี่เดือนเดี๋ยวปรางขอตัวก่อนนะคะ"
ปรางวรัญกลับมาที่ออฟฟิศอีกครั้งเพราะต้องการคุยกับคนงานที่บอกให้รออยู่
"เป็นไงบ้างพยาบาลเขาว่ายังไงลูก"
"เขาแนะนำให้ปรางไปเอกซเรย์เผื่อกระดูกอาจจะร้าวน่ะค่ะตอนนี้ก็ทายาแก้ช้ำกับให้ยาแก้อับเสบมากินก่อน"
"อืม เห็นพ่อหนุ่มคนนี้บอกลูกถูกอิฐก้อนใหญ่หล่นใส่เหรอ ไปหาหมอเช็คอีกทีก็ดีเผื่อเป็นอะไรมากแล้วนี่ปวดแผลหรือเปล่า"
"ตอนนี้ก็เริ่มปวดแล้วค่ะคุณพ่อแต่เดี๋ยวปรางขอคุยอะไรกับคนงานก่อนแล้วจะไปกินยาแก้ปวด"
"ผมขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้คุณปรางต้องมาเจ็บตัวแบบนี้น่ะ"
ชาญวิทย์เอ่ยขึ้นมาด้วยความรู้สึกผิด