"ช่างมันเถอะอุบัติเหตุไม่มีใครอยากให้เกิดหรอก แต่ฉันอยากรู้ว่าทำไมคุณถึงได้เอาลูกเข้ามาอยู่ในสถานที่ทำงานจุดก่อสร้างมันอันตรายคุณก็รู้ไม่ใช่เหรอ"
"คือผมรู้ครับแต่มันจำเป็นเพราะวันนี้คนที่ผมฝากเลี้ยงยัยหนูเขาไปเที่ยวต่างจังหวัดกันไม่มีใครดูผมเลยต้องหอบลูกมาทำงานด้วยขอโทษที่ทำให้คุณปรางต้องเดือดร้อนเจ็บตัวไปด้วย"
"แล้วแม่เด็กล่ะ หรือทำงานเหมือนกัน"
ปรางวรัญขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย แต่พอได้ฟังคำตอบก็ต้องอึ้งหันไปสบตาบิดาที่นั่งฟังอยู่ด้วย
"ภรรยาผมเสียได้สองปีกว่าแล้วครับ ตั้งแต่ยัยหนูคลอดได้แปดเดือนเธอโดนรถชน"
ชาญวิทย์ตอบเสียงเศร้าพร้อมกอดลูกสาวแนบอก
"ฉันเสียใจด้วยนะไม่รู้ว่าคุณต้องเลี้ยงลูกเพียงลำพังน่ะ แล้วปกติมีคนเลี้ยงประจำหรือเปล่า"
"ไม่ครับ ผมอาศัยฝากป้าข้างบ้านช่วยดูให้ตอนหลังเลิกเรียนกับวันหยุดที่ผมต้องทำงาน"
ปรางวรัญนิ่งคิดผู้ชายที่เลี้ยงลูกลำพังมันคงลำบากน่าดู เธอยิ้มอ่อนให้เด็กน้อยที่มองมาตาแป๋วแต่แขนเล็กๆเกาะกอดคอคนเป็นพ่อเอาไว้
"น้ำไปไหว้ขอบคุณคุณปรางป่ะลูก ถ้าไม่ได้คุณเขาช่วยหนูต้องเจ็บหนักแน่ๆ"
ชาญวิทย์บอกกับลูกสาววัยสามขวบกว่าให้เด็กน้อยเคลื่อนลงจากตักแล้วเดินเข้าไปพนมมือไหว้ผู้หญิงที่พ่อพูดถึง
"ขอบคุณที่ช่วยหนูค่ะ"
ปรางวรัญอมยิ้มเอ็นดูเด็กหญิงตัวเล็กหน้าตาน่ารักก่อนยื่นมือไปลูบศรีษะเล็กๆ
"ไม่เป็นไรจ๊ะ หนูชื่ออะไรคะเรียนอยู่ชั้นไหนแล้วเอ่ย"
"หนูชื่อเด็กหญิงหทัยภัทรค่ะ เรียนชั้นอนุบาลหนึ่ง"
"ชื่อเพราะจัง เป็นเด็กดีนะคะอย่าดื้อกับคุณพ่อล่ะ"
"ค่ะหนูน้ำรักคุณพ่อและจะไม่ดื้อด้วยค่ะ"
เด็กน้อยบอกออกมาให้ผู้ใหญ่ทั้งสามยิ้มเอ็นดู
"เอาแบบนี้ก็แล้วกันเดี๋ยวฉันจะช่วยหาคนดูแลหนูน้ำให้ เพราะฉันพอจะมีคนรู้จักอยู่ที่นี่ คุณจะได้ทำงานแบบไม่ต้องกังวลหรือวันไหนหากจำเป็นต้องเอาแกมาที่นี่ด้วยก็ให้มาฝากไว้ที่ออฟฟิศเพราะที่นี่มีทั้งแม่บ้านกับผู้ช่วยพยาบาลอยู่เขาจะได้ช่วยดูแลได้นะ"
ปรเมศร์บอก
"ผมขอบคุณคุณท่านกับคุณปรางมากๆเลยนะครับ ผมกับลูกเป็นหนี้บุญคุณหากมีอะไรที่ผมสามารถช่วยได้ขอให้บอกนะครับผมยินดีที่จะทำด้วยความเต็มใจ"
"อย่าคิดว่าเป็นบุญคุณอะไรเลยนะ มีอะไรที่พอจะช่วยได้ก็ช่วยๆกันไปนี่แหล่ะอย่าคิดมาก คุณเลี้ยงลูกคนเดียวมันก็ลำบากพอแรงแล้ว"
ปรเมศร์กล่าวออกมาอย่างพอจะเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อหม้ายแถมยังมาเสียภรรยาไปอีกดูแล้วอายุหนุ่มคนนี้ก็น่าจะพอๆกับลูกชายคนโตของเขา
ทิวามองนางเอกสาวที่นั่งดูโทรศัพท์ในมือแล้วถอนหายใจ
"เป็นอะไรคะคุณน้องพี่เห็นจ้องโทรศัพท์แล้วถอนหายใจหลายเฮือกตั้งแต่ออกจากคอนโดแล้วนะมีอะไรหรือเปล่า"
เจติยาหันมองผู้จัดการที่ไปรับเธอออกมากองถ่ายตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า
"เจไม่สบายใจนิดหน่อยคะพี่ทิวา เมื่อคืนปรางบอกไม่ค่อยสบายกินยานอนตั้งแต่หัววันจนตอนนี้เจยังติดต่อไม่ได้เลยไม่รู้เป็นอะไรมากหรือเปล่า"
"อ้าว แล้วตอนนี้น้องปรางยังอยู่ที่ปราณหรือกลับมาแล้ว"
"อยู่ที่ปราณค่ะ ปกติเขาตื่นแต่เช้าต้องส่งคำทักทายอะไรมาแล้วแต่นี่แปดโมงกว่าแล้วยังเงียบอยู่เลย"
"อาจจะไม่สบายเลยยังไม่ตื่น แล้วไม่โทรถามคุณพ่อเขาดูละคะท่านก็อยู่นี่นั่นด้วยนี่"
"เจไม่มีเบอร์คุณลุงนะสิ เดี๋ยวโทรหาคุณป้าดูก็ได้ค่ะเผื่อคุณลุงจะส่งข่าวทางนั้นบ้าง"
ว่าแล้วเจติยารีบกดเบอร์หามารดาของอีกคนทันทีรอสายไม่นานอีกฝั่งก็รับ
"ว่าไงจ๊ะหนูเจ"
"คุณป้าคะคือปรางโทรมาหาหรือติดต่ออะไรมาหรือยังคะวันนี้พอดีเจติดต่อปรางไม่ได้ค่ะเมื่อคืนบอกไม่สบายด้วย"
"อ๋อ ยัยปรางไข้ขึ้นสูงเมื่อคืนพ่อเขาเลยพาไปส่งที่โรงพยาบาลน่ะนี่ก็โทรมาบอกป้าเมื่อเช้า ป้ากำลังเตรียมของจะไปปราณนี่แหล่ะ"
"ถึงกับต้องส่งโรงพยาบาลเลยเหรอคะปรางเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะคุณป้า"
น้ำเสียงร้อนรนของว่าที่สะใภ้ทำให้คนฟังยิ้มอ่อน นี่แสดงว่าแม่ลูกสาวตัวดีของเธอคงไม่ได้บอกคู่หมั้นว่าได้รับอุบัติเหตุแน่ๆ
"ไม่เป็นอะไรมากหรอกจ๊ะ เมื่อวานเกิดพายุฝนที่โน่นแล้วคงโดนฝนน่ะเลยเป็นไข้หนูเจไม่ต้องห่วงนะเดี๋ยวป้าไปถึงจะบอกให้ยัยปรางโทรกลับ หนูทำงานไปเถอะจ๊ะ"
"ค่ะคุณป้าถ้ายังไงช่วงพักกองเดี๋ยวเจโทรหาดีกว่านะคะเดินทางดีๆนะคะคุณป้าสวัสดีค่ะ"
"จ๊ะๆ"
เจติยาวางสายพร้อมถอนหายใจอีกรอบ
"สรุปน้องปรางเป็นอะไรคะ"
"โดนฝนเมื่อวานก็เลยไข้ขึ้นสูงค่ะคุณลุงพาไปโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อคืน"
"อย่ากังวลนักเลยค่ะน้องเจ น้องปรางอยู่กับหมอแล้วคงไม่เป็นอะไรหรอก"
ทิวาเอ่ยปลอบคนที่ยังทำหน้ายุ่งคิ้วขมวดไม่เลิก
"ปรางเขาแข็งแรงไม่ค่อยป่วยง่ายๆนะพี่ทิวาครั้งนี้ถึงกับต้องส่งโรงพยาบาลแสดงว่าต้องเป็นหนัก"
"อืม เดี๋ยวนะวันนี้คิวเรามีถ่ายอยู่สี่ซีนพรุ่งนี้มีสองซีนช่วงบ่าย เอาอย่างนี้เดี๋ยวเราไปคุยกับผู้จัดก่อนถ้าสามารถถ่ายคิวน้องเจได้หมดวันนี้พรุ่งนี้เราก็ว่าง คุณน้องจะได้ไปดูหวานใจดีไหมคะ"
คำพูดของผู้จัดการพอจะทำให้คนกังวลยิ้มได้บ้าง
"ขอบคุณนะพี่ทิวา เจแค่รู้สึกไม่สบายใจน่ะ"
"แหมพี่เข้าใจคนมีแฟนก็แบบนี้แหล่ะนิดๆหน่อยๆก็ห่วงเป็นธรรมดาแหล่ะค่ะนี่ไม่เจอหน้ากันกี่วันแล้วล่ะ"
"ก็ อาทิตย์หนึ่งเต็มๆ"
เจติยาตอบออกไปไม่เต็มเสียงนักพร้อมกับเม้มปากแกมขัดเขินเมื่อเจอสายตาล้อเลียนของผู้จัดการเข้า ก็นะคนเคยอยู่ด้วยกันทุกวันร่วมเดือนมันก็ชินไหมล่ะ พออีกคนต้องไปดูงานหลายวันเข้าเธอก็เลยรู้สึกเหมือนที่ห้องมันว่างเปล่าแปลกๆ
เสียงสั่นเตือนของมือถือดังขึ้นหลังปรางวรัญทานอาหารกลางวันไปได้ไม่นาน เปรมสินีปลายตามองมือถือของลูกสาวก่อนจะหยิบส่งให้
"คงจะเป็นหนูเจน่ะ ระวังเถอะไม่ยอมบอกเขาว่าได้รับบาดเจ็บรู้เรื่องทีหลังโดนงอนจะหาว่าแม่ไม่เตือนนะฟังเสียงเมื่อเช้าดูท่าจะห่วงเรามากด้วย"
"คุณแม่อย่าพูดแบบนั้นสิคะ ปรางแค่ไม่อยากให้เขาเป็นกังวลแค่นั้นเอง"
"ฮัลโหลค่ะเจ"
"ปรางเป็นยังไงบ้าง ตอนนี้ยังอยู่โรงพยาบาลหรือเปล่า"
"ค่ะ ก็ดีขึ้นแล้วล่ะหมอให้นอนพักดูอาการอีกวันสองวันค่ะ แล้วนี่ทานอะไรหรือยังคะ"
"ยังค่ะ เจเพิ่งพักกองเลยโทรมาหาก่อนน่ะ ปรางเดี๋ยวพรุ่งนี้เจกับพี่ทิวาจะไปหานะคะ"
"หืม งานเสร็จแล้วเหรอคะปรางไม่เป็นอะไรมากหรอกเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว"
"คิวว่างสองวันน่ะเดี๋ยวพาพี่ทิวาไปเที่ยวพักผ่อนด้วย ถ้างั้นแค่นี้ก่อนนะคะเจไปทานข้าวก่อนไว้พรุ่งนี้เจอกันค่ะ"
"เอ่อ ค่ะๆ"
คนป่วยทำหน้าปูเลี่ยนหันไปมองมารดาที่อมยิ้มขำเมื่ออีกฝ่ายกดวางสายไปแล้ว ถ้าเจติยามารู้ความจริงเธอก็งานเข้านะสิ
ฮึๆ
"เป็นไงล่ะพูดยังไม่ทันขาดคำจะโผล่มาถึงนี่เลย ได้ใจแม่ย่าจริงๆเลยว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้"
"ไม่ขำเลยค่ะคุณแม่"
"เอาน่าน้องก็แค่เป็นห่วง ง้อหน่อยก็ใจอ่อนแล้วไม่ดีใจหรือไงเขาจะมาดูแลน่ะ"
"มันก็ดีอยู่หรอกค่ะถ้าปรางจะไม่มีความผิดแบบนี้น่ะ"
ปรางวรัญทอดถอนใจ เธอรู้ว่าอีกคนเป็นห่วงนั่นแหล่ะถึงไม่ได้บอกความจริงไปแต่สงสัยจะโดนแน่ๆล่ะพรุ่งนี้
เปรมสินียิ้มขำท่าทางหนักใจของลูกสาว แววกลัวภรรยาส่อเค้ามาให้เห็นแล้วสินะ
ประตูห้องพักไข้ถูกเคาะในช่วงเย็นให้บุคคลในห้องหันไปมองก็เห็นแม่บ้านถือเถาปิ่นโตและถุงกระดาษอีกสองใบเดินเข้ามา แต่คนที่ตามหลังมาพร้อมเด็กหญิงตัวเล็กในชุดนักเรียนอนุบาลพาให้คนที่นอนอยู่บนเตียงส่งยิ้มบางให้
"สวัสดีครับคุณผู้หญิง เป็นยังไงบ้างครับคุณปราง ผมกับยัยหนูซื้อผลไม้มาเยี่ยมครับ"
"ไม่เห็นต้องลำบากเลยนายชาญฉันไม่ได้เจ็บหนักอะไรเท่าไหร่หรอกพาลูกมาลำบากแทนที่จะพักผ่อน"
"ไม่ได้ลำบากอะไรเลยครับพอดีเห็นป้านวลแกจะเอาอาหารมาส่งผมเลยอาสาขับรถมาให้ถือโอกาสมาเยี่ยมด้วยที่คุณปรางบาดเจ็บก็เพราะช่วยยัยหนูให้ผมได้ตอบแทนอะไรบ้างเถอะครับ"
"เฮ้อ นายนี่เป็นคนคิดมากจริงๆ มันไม่ใช่บุญคุณอะไรเลย ถ้าใครเป็นฉันเจอเหตุการณ์แบบนั้นอยู่ตรงหน้าก็ต้องช่วยเหมือนกันนั่นแหล่ะอย่าคิดว่าเป็นเรื่องที่ต้องมาตอบแทนกันเลย"
"ถึงยังไงผมก็อยากขอบคุณครับ ไหนจะเรื่องให้ผมเอายัยหนูมาฝากเลี้ยงที่ทำงานอีก"
"เออๆเอาเหอะเอาที่นายสบายใจก็แล้วกัน"
ชาญวิทย์ยิ้มออกมาเมื่อนายจ้างสาวโบกไม้โบกมือตัดรำคาญเขา
"แล้วลูกสาวกินข้าวหรือยังล่ะพ่อหนุ่ม ถ้ายังก็มาทานด้วยกันนี่เลยมากับข้าวเยอะแยะกินกันไม่หมดหรอก"
เปรมสินีเอ่ยชวนอย่างไม่รังเกียจ
"ไม่เป็นไรครับคุณผู้หญิงก่อนออกมายัยหนูแกกินทั้งข้าวทั้งขนมมาอิ่มแปร้เลยครับ"
"อืม ไหนมาหายายหน่อยลูก หน้าตาน่ารักน่าชังจริงเชียว"
"ไปกราบคุณท่านนะลูก"
เด็กหญิงหทัยภัทรเดินเข้าไปหาผู้หญิงสูงวัยก่อนที่จะยกมือพนมแนบอกแล้วกราบลงที่ตักอย่างรู้ความให้คนที่เห็นต่างก็ยิ้มเอ็นดูในสิ่งที่เด็กคนนี้ทำ
เปรมสินีรวบกอดร่างเล็กขึ้นมานั่งบนตักอย่างนึกเอ็นดูและให้เวทนาไปพร้อมกันอายุเท่านี้ก็ต้องมาเป็นกำพร้าซะแล้วแม่คุณเอ้ย
ปรางวรัญมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้ม เธอก็ไม่รู้เหมือนกันทำไมถึงรู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้เหลือเกินคิดย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อวานก็นึกใจหายหากว่าเธอไปดึงออกมาไม่ทันเด็กคนนี้จะเจ็บหนักขนาดไหนกันขนาดว่าเธอเป็นผู้ใหญ่โดนเข้ายังต้องมานอนระบมกับแผลอยู่แบบนี้
"คุณน้าไม่สบายเหรอคะ"
เสียงเล็กๆถามขึ้นเมื่อเดินไปเกาะขอบเตียงคนไข้
"ใช่แล้วจ๊ะน้าไม่สบาย"
"ไม่สบายก็ต้องกินยา เหมือนเวลาหนูน้ำไม่สบายพ่อจ๋าก็จะเอายาให้กินตื่นมาหนูน้ำก็ไม่ปวดหัวค่ะ"
ปรางวรัญอมยิ้มกับคำพูดไร้เดียงสาก่อนเอื้อมมือไปลูบศรีษะเล็กๆนั่นอยากจะรู้จริงในสมองเล็กๆนี่มีกลไกความคิดอะไรบ้างนะ
"แล้วถ้ากินยาแล้วยังไม่หายป่วยละคะ จะทำไงดี"
ชาญวิทย์ยิ้มให้ลูกสาวที่หันมามองพร้อมทำหน้าครุ่นคิด
"กินยาแล้วก็ต้องหายสิคะ หนูน้ำยังหายป่วยเลย"
ฮึๆเด็กหนอเด็กผู้ใหญ่ในห้องพากันหัวเราะขำไปด้วย
"โอเคค่ะหายก็หาย ว่าแต่ซื้ออะไรมาฝากน้าคะ"
"ส้มเขียวหวานค่ะ อร่อยมากๆเลยหนูน้ำกินไปตั้งสามลูกแหน่ะ"
เจ้าตัวเล็กคุยจ้อพร้อมอวดยิ้มน่ารัก
"อร่อยจริงเหรอคะ ขี้โม้หรือเปล่าไหนเอามาให้น้าปรางชิมดูซิ"
ปรางวรัญแกล้งทำหน้าไม่เชื่อให้เด็กน้อยรีบเดินไปหาแม่บ้านที่นั่งส่งยิ้มอยู่ไม่ไกล
"ยายจ๋า ขอส้มให้หนูน้ำหน่อยค่ะ"
ป้านวลจึงหยิบเอาส้มในถุงกระดาษส่งให้สองลูก เด็กน้อยถือกลับไปที่เตียงก่อนจะยื่นให้คนที่นั่งมองอยู่บนเตียง
"ว๊า น้าไม่สบายไม่มีแรงปอกเลย หนูน้ำปอกให้น้าได้ไหมเอ่ย"
คนชอบแกล้งไม่เว้นแม้กระทั่งเด็ก
"ได้ค่ะ มาหนูน้ำปอกให้ค่ะ"
จากนั้นทุกคนก็มองเด็กน้อยที่ตั้งใจแกะเปลือกส้มลูกใหญ่กว่ากำปั้นตัวเองด้วยซ้ำ
"นี่ไงเสร็จแล้วค่ะ"เจ้าตัวเล็กโชว์ผลงานพร้อมยิ้มตาหยี
"หือเก่งจังเลยค่ะ น้าปรางเจ็บมือจังหยิบไม่ได้ป้อนหน่อยสิคะ"
คนที่นั่งดูพากันยิ้มทั้งเอ็นดูเด็กน้อยแกมหมั่นไส้ผู้ใหญ่ขี้แกล้งไปด้วย
"ขึ้นมานั่งกับน้านี่มาจะได้ป้อนได้นะ"
ชาญวิทย์เดินไปอุ้มลูกสาวขึ้นไปนั่งข้างคนบนเตียงก่อนจะถอยออกไปนั่งโซฟากับป้านวล
เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นเป็นระยะเมื่อคนป่วยแกล้งงับเอานิ้วเล็กๆที่ยื่นส้มใส่ปากให้ ทำเอาพ่อลูกอ่อนตื้นตันใจจนน้ำตาคลอที่นายจ้างช่างดีกับพวกเขาจริงๆจะมีสักกี่คนกันที่จะมาให้ความสนิทและไม่รังเกียจกับลูกจ้างที่แทบจะไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าอย่างเขาด้วยซ้ำ
"พรุ่งนี้เดี๋ยวพี่มารับสักหกโมงเช้านะคุณน้อง รีบหลับพักผ่อนล่ะ"
"ค่ะ ขอบคุณนะพี่ทิวา เดี๋ยวเจจะเลี้ยงอาหารทะเลมื้อใหญ่เป็นการตอบแทนเลยค่ะ
"นี่เห็นหน้าพี่เป็นคนเห็นแก่กินไปได้นะคะคุณน้อง แต่ขอปูแบบบุฟเฟ่ไม่อั้นก็ดีนะจ๊ะ"
คิกๆ
เจติส่ายหน้าขำกับคนที่ไม่ค่อยจะเห็นแก่กินสักเท่าไหร่ ผู้จัดการของเธอชอบมากก็คงเป็นเมนูปูนั่นแหล่ะ จะว่าไปก็นานพอสมควรไม่ได้ไปทานอะไรกันแบบนี้
"จัดไปเต็มที่เลยค่ะ เอาไว้ปิดกล้องเรื่องนี้ไปเที่ยวพักผ่อนด้วยกันนะพี่ทิวาเจจะเลี้ยงดูอย่างดีเลยค่ะ"
"แหมพี่ขอบคุณล่วงหน้าเลยค่ะคุณน้อง พี่ไม่ใช่คนเห็นแก่กินนะคะ แต่ถ้าอิ่มแบบไม่เสียสตังค์แบบนี้พี่ก็ไม่ปฏิเสธแน่นอนค่ะ"
ทิวาจีบปากจีบคอบอกแล้วหัวเราะชอบใจก่อนจะขับรถออกไปให้คนที่จะเป็นเจ้ามือส่ายหัวยิ้มตาม แม้อีกฝ่ายจะบอกชอบของฟรีแต่สุดท้ายก็หาวิธีช่วยเธอจ่ายอยู่ดีเพราะแบบนี้ทิวาถึงได้เป็นที่รักเคารพของน้องนักแสดงเพราะเขาไม่เคยที่จะเอาเปรียบใครแถมยังมีน้ำใจดูแลกันอีก
"เลี้ยวไปตามเส้นทางที่ป้ายชี้เลยค่ะพี่ทิวา"
เจติยาบอกเมื่อจีพีเอสที่บอกเส้นทางไปโรงพยาบาลในตัวเมืองระบุตำแหน่งตรงกับป้ายบอกสถานที่พอดี ทั้งคู่ออกจากกรุงเทพตั้งแต่หกโมงเช้าใช้เวลาเดินทางประมาณสามชั่วโมง
"จะว่าไปพี่ก็ไม่ได้มาแถบนี้หลายปีแล้วเหมือนกันนะดูอะไรจะเจริญขึ้นมากกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย"
"นั่นสิคะ เจก็ไม่ค่อยได้เข้ามาทางนี้ส่วนมากก็ไปที่บ้านพักหัวหินน่ะ เห็นปรางบอกว่าบ้านพักของครอบครัวเขาติดชายหาดด้วยนะคะ"
"เหรอคะแบบนี้ก็ดีนะสิเวลามาพักผ่อนจะได้ไม่ต้องคอยกังวลกับบุคคลภายนอกน่ะ"
"นั่นแหล่ะค่ะ เจถึงชวนมาด้วยกันนี่ไงช่วงที่เจหยุดรับงานพี่ทิวาก็มีเวลาว่างอยู่แล้ว เว้นแต่จะไปคุมสามหนุ่มนั่นน่ะ"
"อันนั้นก็คงต้องแวะไปดูบ้างเหมือนกันจ๊ะคุณน้อง ก็น้องเจพักเป็นเดือนนี่คะพี่ก็ขอไปดูอะไรให้มันกระชุ่มกระชวยหัวใจบ้างสิ นี่ปล่อยให้กระต๊อบกับยัยเหมียวดูพี่ก็ต้องคอยเช็คคอยกำกับอยู่ดี"
"เออพี่ทิวา ยัยจิณเพิ่งบอกเจเมื่อวันก่อนว่าคุณอัยศิกาเธออยากให้เจกับพายไปขึ้นปกนิตยสารเดือนพฤษภานี้ค่ะ เจเลยบอกไปว่าให้คอนเฟิรมวันเวลามาทางพี่ทิวาอีกทีเจไม่มีปัญหาแต่พายว่างตรงกันหรือเปล่าไม่รู้ต้องให้พี่เช็คอีกทีแล้วกัน"
"เหรอคะ เท่าที่พี่จำได้คิวน้องพายก็น่าจะได้อยู่นะเพราะช่วงนั้นนอกจากถ่ายละครก็ไม่ค่อยมีงานอีเว้นท์ไม่เหมือนช่วงใกล้สิ้นปีถ่ายนิตยสารถ้าในประเทศก็คงไม่เกินสามวันละมั้งเดี๋ยวให้เขายืนยันก่อนแล้วกันพี่จะได้ล็อควันให้"
"ค่ะเดี๋ยวเจบอกเพื่อนไปตามนี้"
เจติยายืนกอดอกอยู่ไม่ห่างจากเตียงคนไข้ใบหน้าหวานตอนนี้เรียบตึงจนพาให้บรรยากาศในห้องเย็นยะเยือกแปลกๆหากคนป่วยที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงให้คุณหมอวัยกลางคนตรวจร่างกายกลับมีเหงื่อซึมออกที่ฝ่ามือและไรผมจนต้องเผลอเอาหลังมือปาดออก คู่หมั้นคนสวยมาถึงเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนหลังจากนั้นไม่นานแพทย์หญิงที่รับผิดชอบการรักษาก็ตามเข้ามาในห้องตรวจและบรรยากาศพาเย็นสันหลังก็ตามมาเมื่อคุณหมอพูดถึงอาการบาดเจ็บของคนไข้ขึ้นมา
"ตอนนี้อาการปวดแผลยังมีอยู่หรือเปล่าคะ"